เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 8 อุปสรรคในการถอนหมั้น
คนในตระกูลเย่ โดยเฉพาะผู้อาวุโสตระกูลเย่ ลุงใหญ่และลุงรองของเย่เทียนเฉินต่างรู้สึกขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก
ตระกูลฉีมาขอถอนหมั้น หากข่าวนี้แพร่ออกไปคงจะสร้างความขายหน้าและความอัปยศยิ่งกว่าเรื่องที่เย่เทียนเฉินแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วอาบน้ำเสียอีก
เรื่องเย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ แม้ว่าจะกลายเป็นเรื่องขบขัน แต่ผู้คนก็ยังมองว่าเป็นการกระทำของบุตรชายเสเพลโง่เง่าไร้การศึกษา
บุตรชายเสเพลประเภทนี้มีมากมายในเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กล่าวอีกก็คือ หลิ่วหรูเหมยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีคุณชายกี่คนที่อยากจะแอบดูเธออาบน้ำ
เพียงแต่เย่เทียนเฉินใจกล้ากว่าเล็กน้อย ทำมันออกมาจริงๆ ก็เท่านั้น ไม่นับว่าขายหน้าอะไรมาก
แต่ว่าครั้งนี้ฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีมาขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูถูกตระกูลเย่ กลับคำไปมา ถึงกับไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา
นี่ถึงจะเป็นการทำให้ตระกูลเย่กลายเป็นตัวตลกอย่างแท้จริง เกรงว่าในอนาคตคงไม่อาจเงยหน้าได้อีก
เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องลูกสาวนามฉีหรูเสวี่ยกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉินเกิดรักแรกพบและมีใจต่อกันที่ฉีชางเซิ่งพูด ใครก็ฟังออกว่าเป็นแค่ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลเย่และตระกูลฉีไม่เสียหน้าเกินไปนักก็เท่านั้น
จริงๆ แล้วเป็นเพราะตระกูลฉีเห็นว่าตระกูลเย่ตกต่ำลง ไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวดองกันอีก จึงต้องการถอนหมั้น เพื่อจะไปเกี่ยวดองกับตระกูลฉิน ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งถึงจะถูก
ใครจะรู้ว่าตอนที่ฉีชางเซิ่งได้เสนอเงื่อนไขที่ดีมากทั้งสองข้อ โดยหนึ่งคือจะให้เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินเป็นเลขาธิการคณะกรรมการ สองคือจะนำหุ้นของเครืออุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงในจีนครึ่งหนึ่งแบ่งให้ตระกูลเย่ ยังไม่ทันรอให้พวกผู้ใหญ่ของตระกูลเย่เปิดปาก เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้นพูดจนจบไปแล้ว ตอบรับข้อเสนอทั้งสองข้อในรวดเดียว ราวกับเกรงว่าตระกูลฉีจะเปลี่ยนใจ
“แน่นอนๆ พวกเราตระกูลฉีรักษาคำพูด เทียนเฉินวางใจเถอะ ขอเพียงตกลงถอนหมั้น ฉันจะทำตามสัญญาทันที”
ฉีชางเซิ่งเห็นว่าเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องเปิดปากเห็นด้วยแล้ว ในใจยินดีเป็นอย่างมาก จึงรีบพูดออกมา
ตระกูลฉีในตอนนี้อยากให้ตระกูลเย่ตกลงถอนหมั้นเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงตระกูลเย่ตกลง ตระกูลฉีก็จะสามารถร่วมมือกับตระกูลฉินอย่างเข้มแข็งได้
ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการจะนับเป็นอะไร หุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวังนับเป็นอะไร ขอเพียงทั้งสองตระกูลร่วมมือกัน ก็สามารถนำกลับมาได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า
“หุบปาก ไสหัวออกไปซะ ผู้ใหญ่คุยกัน ไม่มีที่ให้เด็กมาสอดปาก”
เย่มู่ไป๋ลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่ด่าเย่เทียนเฉินออกมา
“ไอเด็กไร้สัมมาคารวะ ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ ยังไม่ไสหัวออกไปอีก?”
ลุงรองเย่เฮ่อกั๋วใช้ตาถลึงมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางตะโกนออกมา
การพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันของเย่เทียนเฉินทำให้แผนของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วรวนหมดแล้ว
เดิมทีพวกเขารู้ว่าตระกูลฉีต้องการยกเลิกการแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อตระกูลฉีต้องการจะทำเรื่องชดเชย ก็ค่อยๆ ต่อรองราคา เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์เพิ่มอีกเล็กน้อย ต้องทราบว่าตอนนี้ตระกูลเย่กำลังตกต่ำลง จะอาศัยเพียงกำลังของบรรพบุรุษเพื่อยกระดับนั้นลำบากมาก แล้วทำไมจึงไม่ให้ตระกูลฉีจัดการเรื่องนี้แทน
แต่พอเย่เทียนเฉินพูดออกไปแบบนี้ ก็ทำให้เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วไม่มีทางทำอะไรได้อีก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ในใจย่อมผิดหวัง จึงด่าเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง
เย่หงและหลัวเยี่ยนต่างก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ลูกชายจะเปิดปากพูดขึ้นมา ยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วย เย่เทียนเฉินไม่ได้คำนึงถึงเลยแม้แต่น้อย จะอย่างไรก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง
“ไสหัว? ไสหัวอะไร? คุณลองไสหัวให้ผมดูหน่อยสิ?”
เย่เทียนเฉินไม่มองลุงใหญ่กับลุงรองด้วยซ้ำ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าสองคนนี้ไม่ได้มองตนเองเป็นญาติแม้แต่น้อย ในสายตาของพวกเขามีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น ในช่วงเวลาสำคัญต่างก็สละได้ทุกสิ่ง
เย่เทียนเฉินคิดว่าไม่ควรค่าแก่การเคารพ
“แก….อวดดีเกินไปแล้ว ไอ้หลานไม่รักดี”
เย่มู่ไป๋ที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงกล่าวออกมา
“น้องสาม ดูลูกชายที่แกสอนสิ นี่เป็นท่าทีที่ใช้พูดกับผู้ใหญ่เหรอ? จะไม่จัดการสักหน่อยเหรอไง?” เย่เฮ่อกั๋วต่อว่าเย่หงผู้เป็นน้องสาม
เย่หงกำลังต้องการพูดถึงเย่เทียนเฉินลูกชายอยู่พอดี ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อีกทั้งพ่อของเขาก็ยังอยู่ด้วย เย่หงเป็นลูกที่กตัญญู ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร บิดาจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เขาก็อยากให้ครอบครัวสามัคคีกัน
แต่เย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นก่อนมาเกิดใหม่ หรือหลังเกิดใหม่ เขาก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับคนกลุ่มนี้ เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มองเขาเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย
“ลูกชายที่พ่อของผมสอน ดีกว่าลูกชายที่ครอบครัวของพวกคุณทั้งสองสอนตั้งเยอะ อีกอย่างผมอยากจะอธิบายอะไรสักอย่างหน่อย คนที่ถอนหมั้นกับตระกูลฉีคือผม ไม่ใช่พวกคุณ สิ่งที่ตระกูลฉีชดใช้ก็ควรจะเป็นผมที่ได้รับ ถ้าหากพวกคุณอยากได้ พวกคุณก็ไปถอนหมั้นกับตระกูลฉีเองสิ ผมไม่ถอนหมั้นอีกครั้งหรอก!”
เย่เทียนเฉินไม่ให้โอกาสเย่หงผู้เป็นพ่อได้เอ่ยปาก เขารู้ว่าพ่อเป็นคนกตัญญู และคอยคิดอ่านให้ครอบครัวอยู่ตลอด หากเปิดปากพูดออกมาก็คงเป็นการพูดประนีประนอม การทำแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ยังต้องรับการโจมตีจากลุงทั้งสองอีกด้วย ดั่งคำพูดที่ว่าม้าดีถูกคนขี่ คนดีถูกข่มเหง
“แก….”
“พ่อ พ่อดูไอหลานนอกคอกคนนี้ ลูกตามใจจนเป็นอะไรไปแล้ว กล้ามาพูดแบบนี้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ตระกูลเย่ของพวกเรายังมีกฎเกณฑ์อยู่หรือเปล่า?”
เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วโกรธจนทนไม่ไหว ทำได้เพียงให้เย่หย่วนซานมาจัดการ
“ผู้อาวุโสเย่ ผมคิดว่าเรื่องนี้จัดการตามนี้เถอะครับ การชดเชยสองอย่างนี้ ตระกูลฉีของพวกเราจะทำสุดความความสามารถ” ฉีชางเซิ่งชิงพูดก่อน
ฉีชางเซิ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์ อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีขนาดนี้ ตระกูลฉีก็เป็นตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าต้องรู้ถึงความคิดของลูกชายทั้งสองของตระกูลเย่ หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาจะเรียกราคาสูง ในเมื่อเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องเห็นด้วยแล้ว ก็ต้องรีบคว้าเอาคำพูดนี้เป็นการตกลง
เย่หย่วนซานมองเย่หงครั้งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรในใจก็คิดว่าลูกชายคนที่สามกตัญญู ไม่แก่งแย่งชิงดี ไม่เหมือนลูกคนโตกับลูกคนรอง ที่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องทรัพย์สินตระกูลเย่ ดังนั้นสุดท้ายคิดเปิดปากพูดออกไปว่า
“ตกลง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน กลับไปบอกพี่เหมิงเซียนด้วยว่า สิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หวังว่าจะไม่ตำหนิกัน”
“ผู้อาวุโสพูดอะไรอย่างนั้น ตระกูลฉีของผมทำไม่ถูกเอง ผมขอเป็นตัวแทนของตระกูลฉีแสดงความขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อน!”
ฉีชางเซิ่งรีบลุกขึ้นพลางพูดอย่างเกรงใจ
เมื่อเห็นว่าฉีชางเซิ่งจากไปแล้ว เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดิมทีพวกเขาสามารถหาประโยชน์ได้จากเรื่องนี้ ตอนนี้ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ทั้งหมดก็เพราะเย่เทียนเฉิน
“วันนี้ท้องฟ้าสดใส ทุกที่ทิวทัศน์ดีงาม ทิวทัศน์ดีงาม….” เย่เทียนเฉินยิ้มพลางร้องเพลงออกมา
“น้องสาม แกสอนลูกได้ดีจริงๆ เหอะ!” เย่มู่ไป๋โกรธจนพูดเสียดสีออกมาอย่างเย็นชา แล้วหมุนตัวเดินจากไป
“พ่อ นี่….”
เย่เฮ่อกั๋วเองก็โกรธจนทนไม่ไหว ผลประโยชน์สักนิดก็ไม่ได้ กลับตกไปเป็นของบ้านน้องสามจนหมด จึงคิดจะให้ เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดาเป็นคนจัดการ
“หุบหาก หยุดซะ เรื่องนี้ให้จบแค่นี้” เย่หย่วนซานตำหนิเย่เฮ่อกั๋ว
การถอนหมั้นก็จบเพียงเท่านี้ เย่เทียนเฉินต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวของตน
เมื่อเดินออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว พบว่าเย่หงผู้เป็นบิดารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยทำให้พี่ชายทั้งสองโกรธ แม้ว่ากับบิดาหรือพี่ชายทั้งสองจะทำตัวไม่ดีกับเขามากนัก ถึงขั้นกับกีดกัน เย่หงก็พยายามรักษาความสามัคคีของคนในครอบครัวมาโดยตลอด เขาคิดว่าอย่างไรเสียเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ
เย่เทียนเฉินกับเย่หงสองพ่อลูกเดินอยู่ข้างหน้าสุด มารดากับน้องสาวเดินตามหลัง เดินออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่ด้วยกัน พอเห็นว่าเย่หงสูบบุหรี่ไปสองมวนติดๆ กัน เย่เทียนเฉินก็ตบบ่าของบิดาพลางกล่าวว่า
“อย่าไปคิดมากเลยครับ ย้ายออกจากบ้านหลักตระกูลเย่กันเถอะ ทำไมต้องทำให้ตนเองทุกข์ใจด้วย?”
เย่หงเงยหน้ามองลูกชาย ทันใดนั้นก็พบกับความเปลี่ยนแปลง เย่เทียนเฉินเมื่อก่อนนั้นไม่มีทางเชื่อฟังแบบนี้ และจะไม่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด เวลาสองพ่อลูกคุยกัน ถ้าไม่ลงไม้ลงมือก็มีปากเสียงกันรุนแรง แต่ตอนนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นกลมเกลียวกัน
“เทียนเฉิน ลูก….”
“ต่อจากนี้ลูกจะเชื่อฟัง จะไม่ให้พ่อและแม่ต้องกังวลอีก เดิมทีพวกเราก็มีบ้านอยู่ข้างนอก ลุงใหญ่ลุงรองก็ไม่อยากให้พวกเรากลับไปแย่งชิงสมบัติของตระกูลกับพวกเขา ในเมื่อชาตินี้เกิดเป็นพี่น้องกันแล้ว ก็ยอมให้พวกเขาไปเถอะ ผมคิดว่าพ่อก็คงไม่สนใจสมบัติพวกนั้นหรอก แค่อยากให้ครอบครัวสามัคคีกัน”
พอได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เย่หงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาไม่คิดเลยว่าลูกชายจะมองได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้
จริงๆ เขารู้มานานแล้วว่าพี่ใหญ่กับพี่รองมีอคติกับตน ตลอดที่อยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่หรือทิ้งห้องเอาไว้ที่นั่น ระหว่างพี่น้องมีแต่การทะเลาะ บางทีการย้ายออกมาคงจะทำให้กลมเกลียวกันมากกว่านี้!
เพียงแต่เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดามีอายุมากแล้ว เย่หงจึงอยากจะแสดงความกตัญญูให้ถึงที่สุด ตอนนี้พอฟัง เย่เทียนเฉินพูด ดูแล้วคงไม่จำเป็นจริงๆ
“ตกลง พวกเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่น จากนี้ครอบครัวเราสี่คนจะมีความสุขกันสักที” เย่หงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินพยักหน้า สุดท้ายก็เชื่อฟังผู้เป็นพ่อ ต่อไปนี้พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องมาบ้านหลักตระกูลเย่เพื่อรองรับอารมณ์ของลุงใหญ่ลุงรองอีกต่อไป
“พี่ชาย พี่กับพ่อกำลังคุยอะไรกันหรอ ทำไมถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้?”
เย่เชี่ยนเหวินปล่อยมือหลัวเยี่ยน เดินมาถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่บอกหรอก มันเป็นความลับ!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวยั่ว
“ชิ แม่ พี่แกล้งหนู มีความลับกันสองคนกับพ่อ ไม่ยอมบอกพวกเราเลย” เย่เชี่ยนเหวินทำปากจู๋น่ารัก พูดพลางแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน
เย่หงยิ้ม หันไปหาลูกสาวกับภรรยาแล้วบอกว่า “พ่อตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว จากนี้พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียว ค่อยกลับมาช่วงเทศกาลกับวันเกิดของพ่อ”
“พ่อพูดจริงเหรอ? ดีจริงๆ ฮิๆ” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางหัวเราะออกมาเป็นคนแรก
หลัวเยี่ยนกลับมองสามีของตนด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนความคิด จริงๆ เธอก็เคยเตือนสามีมานานแล้วว่าให้ย้ายออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแค่สี่คน แต่สามีไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด
ตอนนี้เพิ่งจะเดินกับลูกชายยังไม่ถึงสิบเมตรก็เปลี่ยนความคิดเสียแล้ว น่าแปลกจริงๆ แต่ขณะเดียวกันรู้สึกดีใจ เพราะแบบนี้ก็หมายความว่าทั้งสี่คนสามารถใช้ชีวิตกันอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องกล้ำกลืนความคับข้องใจเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว
“ไปเถอะ กลับบ้านกัน กลับไปกินมื้อใหญ่!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ
มองดูเงาหลังของลูกชาย เย่หงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาเสียงเบา “น้องเยี่ยน เธอคิดว่าลูกชายเปลี่ยนไปหรือเปล่า?”
“อืม เปลี่ยนไปเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เป็นลูกผู้ชายมากขึ้นทุกวัน พวกเราสมควรยินดีถึงจะถูก”
หลัวเยี่ยนยิ้ม พยักหน้าติดต่อกัน ดูเหมือนเธอจะจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกชาย จากนี้ครอบครัวสี่คนก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
……………………………