เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 18 เงินเยอะนักหรือไง
ผู้เป็นแม่ลงบันไดไปได้ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เธอสะพายกระเป๋า หยุดเดิน แล้วถามขึ้นช้าๆ “อวี่เอ๋อร์ ลูกทำอะไรน่ะ”
เด็กสาวกำกระดาษในมือไว้แน่น “ไม่มีอะไรค่ะ”
เธอผลักประตูเพื่อเข้าไปห้องเปียโน นั่งลงบนม้านั่ง คุณหนูคนเล็กหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา แล้วลองเล่นตามด้วยตัวเอง ดวงตานั้นเป็นประกาย
ส่วนหัวใจรู้สึกจุกแน่น
ฉินอวี่มองไปที่กระดาษที่อยู่บนโต๊ะด้วยความคลางใจ นี่คือโน้ตดนตรีที่เธอยังเล่นไม่ได้สักทีมาหลายปี ลายมือที่เขียนโน้ตตวัดและมีรอยลบ ดูเหมือนเพิ่งจะมีใครทิ้งมันโดยไม่ใส่ใจ
แต่เจ้าของโน้ตนี่เป็นใครกัน
ฉินอวี่วางไวโอลินไว้ข้างๆ หลังพิงเก้าอี้ สายตามองต่ำ
เธอเคยเห็นลายมือพี่สาวมาก่อน มันไม่เรียบร้อย แถมยังเขียนตัวใหญ่ไปนิด ไม่ใช่ของฉินหร่านแน่ๆ แถมพี่เจ้าปัญหายังบอกเองว่าไม่ได้เล่นไวโอลินแล้ว
ฉินอวี่คิดอะไรไม่ออกจนตื้อไปหมด
คืนนั้น เด็กสาวซ้อมไวโอลินอย่างเหม่อลอย
ในที่สุด เธอก็เลิกเล่น แล้วมายืนอยู่หน้ากระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ลูกคนโปรดของบ้านพับกระดาษ นำกลับไปที่ห้องตัวเอง และเก็บมันไว้ในลิ้นชัก
**
ชั้นล่าง
หลังจากที่ฉินอวี่ขึ้นไปข้างบนกับผู้เป็นแม่ หลินฉีและหลินหว่านยังพูดคุยกันต่อ
“พี่ได้ยินมาว่าหาปัญหามาให้อีกแล้ว แม่นั่นนำลูกอีกคนเข้ามาอยู่บ้านเหรอ” สาวสูงศักดิ์จิบชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หลินฉียิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่มีสง่าราศี เขาจับกรอบแว่นสีทองที่อยู่บนสันจมูก แล้วพูดขึ้นว่า “นั่นคงหมายถึงฉินหร่านสินะครับ เธอเป็นเด็กสาวที่หน้าตาดีนะ”
ผู้เป็นพี่หน้านิ่วคิ้วขมวด เธอเพิ่งจะกลับมาที่อวิ๋นเฉิง และรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกใหม่เพียงเล็กน้อย
น้องชายเธอบอกว่าเด็กสาวนี่หน้าตาสวย
“อย่ามาปิดพี่ พี่ได้ยินมาว่าแม่นั่นนิสัยแย่ใช่ไหม” หลินหว่านวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ตาของเธอเฉยเมย พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “เด็กนั่นชอบก่อเรื่องวิวาทเลยโดนไล่ออกจากโรงเรียน จึงพักเรียนไปหนึ่งปี ตอนนี้ ภรรยาเธออยากให้เธอมาตามล้างตามเช็ดขี้ให้ยัยเด็กนั่นสิบปีมานี้ น้องสะใภ้ฉันไม่เปลี่ยนจริงๆ ไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ”
หลินฉีเกิดมาก็เป็นผู้ดีแล้ว ส่วนผู้เป็นพี่นั้นยังแต่งงานเข้าตระกูลที่มีชื่ออีก แม้จะเป็นการแต่งงานครั้งที่สองก็ตาม แต่พี่สะใภ้คนนี้ก็ยังดูถูกคุณนายหลินอยู่
“พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมกะจะช่วยจริงๆ” น้องชายส่ายหัว ยิ้มเล็กน้อย “แต่แม่หนูนี่โชคดีอยู่แล้ว เธอมีจดหมายรับรองทำให้เข้าเรียนที่อี่จงได้ แถมยังไม่อาศัยอยู่ที่บ้านอีก หนูน้อยเก็บกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่สองแล้ว”
หลินหว่านเบ้ปาก
อารมณ์ของหนิงฉิงเพิ่งจะคลายลงเมื่อถึงมุมของบันได และแล้วพี่สะใภ้จอมจิกก็พูดขึ้นอีกครั้ง
ด้วยน้ำเสียงที่มีนัยแฝง “มารยาของแม่นั่นคือ…”
“พี่ครับ” หลินฉีขัดขึ้น
ผู้เป็นพี่ส่ายหน้า “พี่เตือนไว้เลยนะว่าหมาที่กัดมันไม่เห่าหรอก ไม่สังเกตหรือไงว่าตอนนี้แกกับหลานจิ่นเริ่มใจอ่อนแล้ว”
ในโลกธุรกิจมีวิธีสกปรกมากมาย หลินฉีไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ เขายังต้องเงียบไป
พี่สาวตระกูลหลินขอให้ป้าจางช่วยเติมน้ำให้ เธอจิบน้ำแล้วพูดด้วยท่าทีดั่งนางพญา “ฉันยอมรับแค่อวี่เอ๋อร์ให้เป็นหลานของตระกูลเราคนเดียว”
“ผมรู้ว่าพี่ชอบอวี่เอ๋อร์ครับ” หลินฉีจุดบุหรี่สูบ
ตระกูลหลินชอบฉินอวี่มาก
ความรักในครอบครัวนี้ปกติมาพร้อมกับเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ ด้วย แม้ว่าเด็กคนโปรดจะเป็นเพียงลูกเลี้ยง แต่นับว่าเป็นเด็กที่นำความภาคภูมิมาให้พ่อแม่
เมื่อพูดถึงหลานสาวคนเดียวของบ้าน สีหน้าท่าทางที่ตึงของหลินหว่านก็ผ่อนคลายลงบ้าง “อีกสักพัก พี่จะพาอวี่เอ๋อร์ไปเที่ยวเมืองหลวง สามีพี่ชอบไวโอลิน และก็เอ่ยถึงหลานมาหลายครั้งแล้ว อีกอย่าง อาจารย์เว่ยหลินกำลังมองหาลูกศิษย์ ไว้พี่จะพาอวี่เอ๋อร์ไปหาท่านรอบหน้าด้วย”
หลินฉีอึ้งไป ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด “นับว่าเป็นโชคของอวี่เอ๋อร์หากชนะใจท่านปรมาจารย์ได้”
ตรงมุมบันได หนิงฉิงหยุดอยู่นานก่อนจะเดินลงบันได
ขณะที่น้องสะใภ้เดินลงมาถึงด้านล่าง พี่สะใภ้นั่งจิบชาด้วยท่าทีสง่างาม ไม่พูดไม่จาสักคำ
นายหญิงของบ้านจึงตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อส่งของทันที
เฉินซูหลานอยู่ในห้องพักผู้ป่วยในแยก พร้อมพยาบาลส่วนตัว
“ลุงๆ ป้าๆ ต่างอยากมาเยี่ยมแม่ทั้งนั้นค่ะ หนิงเว่ยก็อยู่ที่อวิ๋นเฉิงด้วยนะคะ” หญิงชราคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง แต่อารมณ์ของเธอยังไม่สู้ดี ผู้เป็นลูกเม้มปาก “หนูจองโรงแรมไว้แล้ว แม่เข้ามาวันมะรืนได้เลย”
เมื่อสองสามวันก่อนที่ผู้เฒ่าเฉินป่วย ไม่มีญาติคนไหนใส่ใจถามสักคน
หลังจากรู้ว่าคุณยายเฉินย้ายมาที่อวิ๋นเฉิง ตอนนี้พวกนั้นแต่ละคนกลับโทรหาเธอ
หนิงฉิงหงุดหงิดเมื่อต้องรับมือกับญาติพวกนี้ แต่เธอเองก็กลัวว่าพวกนั้นจะไปคฤหาสน์ตระกูลหลินเพื่อตามหาเธอ หากเป็นแบบนั้น หนิงฉิงมีหวังได้เสียหน้าต่อหน้าพี่สะใภ้อีกรอบแน่
**
วันรับค่าจ้างของเด็กพาร์ตไทม์
การทำอาหารสองมื้อต่อวันเป็นเรื่องง่ายมาก แถมเด็กสาวยังไม่ต้องล้างถ้วยชามอีกต่างหาก ในวันรับค่าจ้าง อาหารสองมื้อที่ใช้เวลาทำไม่ถึงชั่วโมงสามารถสร้างรายได้ให้เธอวันละสองร้อยแล้ว
ตอนเย็น เด็กหน้าสวยออกไปหาอะไรกินหลังจากทำอาหารเสร็จ
ตอนนี้ เธอกำลังกินบะหมี่ที่รถเข็นนอกโรงเรียน
คิ้วคู่นั้นดูงามประณีตขณะที่เด็กสาวทานอาหารช้าๆ อย่างใจลอย
วัยรุ่นหลายคนเบียดเสียดกันเพื่อมานั่งกินที่รถเข็นร้านนี้
ไม่ไกลจากร้าน ในรถโฟล์ก ลู่จ้าวอิ่งพูดขึ้นเบาๆ “เดี๋ยวนะ เธอกินแค่เนี้ยนะ?”
บะหมี่เปล่าที่ใส่วิญญาณผักมาสองสามใบลอยอยู่ในชาม
มันช่างจืดชืดไม่มีรสชาติ นายน้อยลู่มองเห็นว่าวัยรุ่นคนอื่นต่างสั่งบะหมี่เนื้อทั้งนั้น
ชายหนุ่มวางมือบนพวงมาลัย “ฉันเพิ่งให้เงินค่าจ้างแม่เด็กนี่ไปวันนี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าลดน้ำหนักอยู่นะ?”
เฉิงเจวี้ยนมองลอดหน้าต่างเพื่อดูฉินหร่าน
เธอนั่งหย่อนขาในกางเกงลำลอง
“ลงไป”
ลู่จ้าวอิ่ง “…ฮะ?”
“ฉันหิว ไปซื้อบะหมี่เนื้อมาให้หน่อย” หมอหนุ่มพูดเนิบๆ
ผู้ช่วย “…” ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเอาอาหารที่ฉินหร่านทำให้หมากินไปเหรอ
นายน้อยลู่ลูบจมูก แล้วเดินออกจากรถเพื่อซื้อเนื้อให้เจ้านาย
เขาเข้าไปทักเด็กสาวเหมือนเจอกันโดยบังเอิญ
ก่อนจะออกจากร้าน ชายหนุ่มยังแบ่งเนื้อครึ่งหนึ่งในชามของเขาให้เธอด้วย
รถโฟล์กสวาเกนคันดำออกตัวไปช้าๆ ภายในรถ ผู้ช่วยมองดูเด็กพาร์ตไทม์คีบเนื้อเข้าปาก ในขณะที่เธอเอนพักหลัง
ปลายนิ้วมือช่างเรียวยาวเสียจริง
“เด็กนี่ไม่ได้ลดน้ำหนักแฮะ” ชายคนขับรถงงอีกครั้ง
นายน้อยหน้าหล่อไม่ได้พูดอะไร เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นดูสดใส “ไปกันเถอะ พ่อบ้านเฉิงกังวลแย่แล้ว”
ทั้งสองหนุ่มมาถึงที่คฤหาสน์
ลู่จ้าวอิ่งหยุดรถ ก่อนหยิบบุหรี่มาไว้ปาก จากนั้นมือถือในกระเป๋าเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมา แล้วเห็นว่ามีข้อความส่งมา
“อ๊ะ” ผู้ช่วยหนุ่มพูดขึ้นอย่างแปลกใจตอนที่นายน้อยลุกขึ้นจากเตียงอย่างเอื่อยเฉื่อย “คำสั่งของเราเมื่อคืนถูกตีกลับครับ”
**
ณ โรงเรียนอีจง
ดาวโรงเรียนนั่งเท้าคางเล่นเกม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ข้อความถูกส่งมารัวๆ
เธอไถดูอย่างไม่ใส่ใจนัก
หลังจากจบเกม เด็กสาวก็เลิกดู
เธอยืนหันหน้าหาโต๊ะ ก่อนจะโน้มตัวลงมาหยิบหูฟังที่อยู่ใต้โต๊ะ ติดกระดุมเสื้อคลุม แล้วเดินไปยังห้องน้ำ
ฉินหร่านเดินเข้าไปที่ห้องสุดท้าย
เด็กหอคนใหม่สวมหูฟัง เปิดเครื่องเปลี่ยนเสียง แล้วพูดขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “ไอ้โง่คนไหนที่เพิ่มราคางานห้าเท่าจากราคาปกติ มันมีเงินเยอะนักหรือไง”