เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 2 นี่คือนายใหญ่ของบ้าน
ครอบครัวหลินเป็นตระกูลผู้ดี เป็นที่รู้จักมาแล้วเป็นระยะเวลาสามรุ่นในเมืองอวิ๋นเฉิง
หลินฉีอายุยังไม่ถึงห้าสิบดีในปีนี้ แต่กลับไม่มีรูปร่างอ้วนเผละอย่างที่คนอื่นๆ ในวัยเขามักจะมีกัน ร่องรอยความเป็นหนุ่ม ความอ่อนโยน และความสง่ายังปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ สายตาเขาภายใต้กรอบแว่นสีทองแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหลายปี
แม้แต่ฉินหร่านเองก็ยังคิดว่าหนิงฉิงโชคดีที่ได้แต่งงานกับหลินฉี
เขากำบุหรี่ที่อยู่ในมือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงวางบุหรี่ลง “เสี่ยวฉิงบอกผมเรื่องหร่านหร่านแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ผมส่งคนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ”
เฉินซูหลานมาจากบ้านนอก จึงไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมอะไรนัก เธอรู้สึกด้อยค่าและตระหนกที่ต้องมาอยู่ในบ้านผู้รากมากดีแบบนี้เป็นครั้งแรก
แม้ท่าทีของหลินฉีที่มีต่อเธอจะดีก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี
ชายเจ้าของบ้านเองก็รู้สึกได้ เขาจึงยิ้มและนั่งดื่มชากับเฉินซูหลานเขาชวนหญิงชราพูดคุยบ้าง เพื่อคลายความกระอักกระอ่วนของหญิงชราลง ระหว่างรอหนิงฉิงกลับมา
ฉินหร่านเอนหลังบนโซฟาอย่างขี้เกียจ ขณะกดมือถือเพื่อเล่นเกม
นิ้วเธอเรียวยาว สวยได้รูป ยิ่งดูขาวขึ้นภายใต้แสงที่สาดส่องมาจากหน้าต่างที่สูงจรดเพดาน
คิ้วของเด็กสาวหรุบต่ำ และจากมุมที่หลินจิ่นเซวียนมอง เขาสามารถมองเห็นขนตายาวเป็นแพของเธอที่กะพริบปริบๆ ได้ถนัดตา
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มกำลังแอบมอง จึงได้เงยหน้าขึ้น
ดวงตาเธอใสเป็นประกาย แต่ทว่ากลับไม่มีแววของความตื่นตระหนกเหมือนของเฉินซูหลานอยู่ในนั้นเลย
มันสงบราวกับทะเลสาบอันเยือกเย็น มืดมิดและนิ่งลึก
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือความเย็นชา
ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือส่อแววความหัวรั้นและแววอันธพาลที่ฝังลึกถึงแก่นในจนปิดไว้ไม่มิด
มือที่ถือถ้วยชาของหลินจิ่นเซวียนนิ่งไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอายแม้แต่น้อยที่ถูกจับได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาเพียงแต่ยิ้มอยู่ไกลๆ
ฉินหร่านเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างแนบเนียน เธอค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วกลับมากดมือถือต่อ
หลินจิ่นเซวียนผู้ไม่เคยถูกเมิน รู้สึกอึ้งอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ได้สติ และปิดหน้าจอมือถือที่สว่างจ้าลง จากนั้นก็เอนหลัง พร้อมหัวเราะหึๆ
ชายหนุ่มมีแววของความขี้เล่นปรากฏอยู่บนใบหน้าขรึมที่รูปทรงได้รูปของเขา
แน่นอนว่าคำบอกเล่าของหลินฉีนั่นถูกต้อง เธอคนนี้เป็นตัวปัญหา
เธอถือดีสุดๆ
เฉินซูหลานรู้ว่าหลานสาวรักและชอบเล่นเกมเวลาเบื่อ ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะอบรมสั่งสอนหลานหรอก แต่ทุกครั้งที่เธอมองไปที่ดวงตาดั่งลูกบ๊วยสุกเหลืองคู่นั้นทีไร จะก็เห็นหางตาเธอพร่าเลือนเสมือนมีม่านหมอก
ใครจะทำลงกัน
แล้วผู้เป็นยายก็จะลืมความโกรธทั้งหมดที่มีไปสิ้น
เธอจะทำอะไรได้อีกเล่า
คงทำได้แต่เพียงคุ้นชินกับมันไป
นี่ยังไม่รวมเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเกมอีก แม้ว่าฉินหร่านจะโดดเรียน แต่เธอก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตามใจลูกหลานขนาดนี้
แต่ตอนนี้ ฉินหร่านถูกไล่ออกมาปีหนึ่งแล้ว ตัวเธอเองก็เพิ่งจะตรวจเจอโรคอีก เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ผู้เป็นยายจะต้องลืมความน่ารักน่าเอ็นดูของหลานสาวคนนี้ไป ไม่ว่าจะต้องใช้ไม้ไหน เฉินซูหลานตัดสินใจที่จะให้เด็กคนนี้ได้เรียนที่โรงเรียนในอวิ๋นเฉิงให้ได้
หลินฉี นายใหญ่ของตระกูลหลินก็นั่งอยู่ต่อหน้า หญิงชราจึงอยากให้หลานสาวสร้างความประทับใจดีๆ กับเขาไว้บ้าง เธอเตือนให้หลานสาวหยุดเล่นเกม และทำตัวดีๆ ต่อหน้าเจ้าของบ้านไปมากกว่าหนึ่งหนแล้ว
เธอก็แค่….ใจร้ายกับหลานคนนี้ไม่ลงจริงๆ
หญิงชรากังวลใจ นี่คือนายใหญ่ ใครกันจะคอยดูแลฉินหร่านเมื่อเธอไม่อยู่
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างมีความคิดอยู่ในใจ จึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก จนกระทั่งหนิงฉิงกลับมาพร้อมกับฉินอวี่ บรรยากาศก็ค่อยๆ คลายความตึงเครียดลง
หลินฉีมองไปที่ฉินอวี่ที่เดินตามหนิงฉิงมาอย่างเรียบร้อย เขายิ้มให้ลูกเลี้ยงอย่างอบอุ่น
ป้าจางที่เย็นชาใส่ฉินหร่านและเฉินซูหลานมาตลอด รีบเข้าไปรับพวกเขา แล้วรับกระเป๋าโรงเรียนจากมือของเด็กสาวโดยเร็ว เธอทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “คุณผู้หญิง คุณหนู”
ทุกคนที่นั่งโซฟาอยู่ รวมถึงหลินฉีต่างพากันลุกขึ้นยืน
เพราะสายตาที่จ้องเขม็งของคุณยาย ฉินหร่านจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เธอยืนเอนพิงโซฟา แล้วจ้องไปที่ฉินอวี่และหนิงฉิงด้วยท่าทีเฉยเมย
เธอทั้งเย็นชาและหยิ่งทะนง
ฉินหร่านชำเลืองมองพวกเขาก่อนจะก้มหน้าดูมือถือต่อ ตอนนี้เธอไม่ได้เล่นเกมแล้ว แต่เหมือนกำลังคุยกับใครสักคนอยู่
ประวัติของลูกคนโตคนนี้แค่เทียบกับคนธรรมดาสามัญก็ถือได้ว่าต่ำต้อยกว่าอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรเมื่อมาเทียบกับหลินจิ่นเซวียนผู้สูงศักดิ์คนนี้
พอคิดเรื่องนี้ หนิงฉิงก็พานหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
เธอจะยังมีหน้าพูดถึงลูกสาวคนโตต่อหน้าทายาทของตระกูลหลินอย่างหลินจิ่นเซวียนได้อย่างไรกัน
การพูดถึงลูกคนนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวร่อไปหรอกหรือ
ดังนั้น เธอจึงหันไปพูดกับเฉินชูหลานและหลินฉีโดยไม่ทักทายฉินหร่านแม้แต่น้อย
“อวี่เอ๋อร์ซ้อมดนตรีสำหรับงานฉลองของโรงเรียนก็เลยกลับมาช้าน่ะค่ะ” เวลาพูดถึงฉินอวี่ทีไร หนิงฉิงดูจะตื่นเต้นทุกครั้ง
“แสดงไวโอลินเหรอ” เฉินซูหลานก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เธอมองไปยังฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ
ป้าจางที่กำลังนำชาสองที่มาเสิร์ฟ ยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของหญิงชรา “คุณหนูเรียนไวโอลินตั้งแต่เด็กค่ะ พอคุณหนูจบ ม.สาม เมื่อไหร่ โรงเรียนจะเชิญคุณหนูขึ้นแสดงงานจบการศึกษาค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้หนิงฉิงรู้สึกภูมิอกภูมิใจ นี่แหละลูกสาวที่เธอเฝ้าอบรมบ่มเพาะปั้นมาด้วยความตั้งใจ
ผู้เป็นยายเองก็รู้สึกยินดี แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยจากน้ำเสียงที่ตั้งใจเน้นหนักของป้าจาง
ทำให้รอยยิ้มบนในหน้าของเธอเจื่อนลงเล็กน้อย
หลังจากกลับบ้าน ฉินอวี่ก็เดินรี่เข้าไปหาหลินจิ่นเซวียนทันที เธอคล้องแขนเขา แล้วยิ้ม “พี่ชาย ทำไมถึงกลับมาบ้านได้ล่ะคะ”
“พี่มีงานต้องจัดการน่ะ” ผู้พี่หรี่ตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หาฟังได้ยาก
ท้ายที่สุด ฉินอวี่ก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนเดียวในบ้านตระกูลหลิน เพราะฉะนั้น เธอจึงได้รับการเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี รวมถึงจากหลินจิ่นเซวียนด้วย
ขณะที่คุยกันอยู่ เขาก็แอบมองฉินหร่าน ซึ่งมือหนึ่งกำลังล้วงกระเป๋า ส่วนอีกมือก็เล่นมือถือ ในขณะที่พิงโซฟาอย่างสบายใจ สายตาเธอหรุบต่ำ แต่ความรู้สึกเธอไม่แน่ชัดว่ารู้สึกอะไรอยู่
ฉินอวี่เห็นท่าทีแปลกๆ ของพี่ชายก็เอียงคอโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างทางกลับบ้าน คุณแม่บอกเธอล่วงหน้า ผู้เป็นน้องจึงรับรู้ว่าพี่สาวเข้ามาอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว
เธอมองไปที่ฉินหร่านครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับมา
บรรดาแม่บ้านตระเตรียมอาหารเย็นเสร็จสรรพด้วยความรวดเร็ว
ขณะที่ทานข้าวกันอยู่ หลินฉีชำเลืองมองไปที่ฉินหร่าน หลังจากตรองอยู่พักหนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นว่า “ให้เธอไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมอีจงแล้วกัน ทั้งเธอและอวี่เอ๋อร์จะได้ดูแลกัน”
โทนเสียงของเขาราบเรียบ
หลังจากที่หลินฉีพูดเรื่องนี้ บรรยากาศที่โต๊ะอาหารก็เปลี่ยนไป
ฉินอวี่ชะงักตอนที่ได้ยินคำพูดของพ่อเลี้ยง
เธอปรายตามองฉินร่านด้วยท่าทางเรียบเฉย “โรงเรียนอีจง? ชั้นเดียวกับหนูเหรอคะ”
ฉินหร่านอายุมากกว่าฉินอวี่หนึ่งปี
แม้แต่ป้าจางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะก็ยังปรายตามองฉินหร่านด้วยท่าทางยิ้มเยาะ
จากนั้น น้องคนเล็กก็รีบก้มหน้าลง
เชอะ เธอคิดว่าฉินหร่านจะมานี่เพื่อเรียนมหาวิทยาลัยเสียอีก
หนิงฉิงหน้าตึง เธอไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลหลินไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี
ข้างๆ เธอ สีหน้าของหลินฉียังคงเรียบนิ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม “พี่สาวของลูกต้องเรียน ม.หก ซ้ำเพราะเหตุผลบางอย่างน่ะ”
ผลการเรียนเธอคงไม่น่าจะดี ถ้าต้องเรียนซ้ำชั้นแบบนี้
“อ๋อค่ะ” ฉินอวี่ยิ้ม
จากนั้นเธอเพียงพยักหน้าและนั่งเงียบ
ทุกคนในตระกูลหลินต่างรู้ดีว่าฉินอวี่ครองตำแหน่งนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นติดท็อปห้าของระดับชั้นมาตลอด
สุดท้าย หนิงฉิงก็ตั้งสติได้อีกครั้ง เธอตั้งใจจะให้ฉินหร่านเรียนที่โรงเรียนเอกชน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าหลินฉีจะให้ลูกเจ้าปัญหาไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมอีจง
ทุกคนรู้ดีว่าที่นั่นเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นเฉิง
การให้คนแบบฉินหร่านที่มีประวัติด่างพร้อยและผลการเรียนตกต่ำไปเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแบบนี้ หมายความว่า หลินฉีคงไม่เพียงต้องเสียเวลาไปมากกับเรื่องนี้ แต่คงต้องติดหนี้บุญคุณอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนด้วยเป็นแน่
โรงเรียนมัธยมอีจงมีแต่เด็กระดับหัวกะทิ นักเรียนแบบฉินหร่านคงไม่เข้ากับที่นั่น
“การจะเข้าเรียนที่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ” หนิงฉิงเองก็ตระหนักเรื่องนี้ดี จนเธอรู้สึกเครียด และจู่ๆ ก็พานจะกินข้าวไม่ลงเสียอย่างนั้น
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หร่านหร่าน แม่จำได้ว่าลูกเคยสมัครเรียนไวโอลินตอนยังเด็กไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เรียนถึงระดับไหนแล้วล่ะ”
โรงเรียนอีจงมีโปรแกรมสายศิลป์