เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 24 ความสงสัยของคุณชายสวี และไวโอลินที่คุ้นหู
ฉินหร่านกำลังเล่นเกม พอหยุดเล่นกะทันหันเล่นทำให้นิ้วลื่นจนตัวละครในเกมเกือบตาย
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไร้อารมณ์
ลู่จ้าวอิ่งไม่คิดว่าปฏิกิริยาของนายน้อยผิดปกติแต่อย่างใด
“นายครับ นายว่าทำไมจู่ๆ พวกนั้นถึงรับงาน ผมล่ะงง ไม่ใช่ว่าพวกนั้น…” ผู้ช่วยหนุ่มอยากจะพูดบางอย่าง แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนสวยที่นั่งมาด้วย เขาจึงรีบเงียบปาก แล้วมองไปรอบๆ แทน “โห ดูพระจันทร์วันนี้สิ ฮ่าๆๆๆ…”
เด็กสาวที่นั่งมาด้วยยังก้มหน้าดูมือถือนิ่งๆ ต่อ
เธอไม่ได้พูดอะไร สีหน้าท่าทางก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ราวกับเธอไม่ได้ยินอะไรเลย ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกโล่งกขึ้นมา แล้วค่อยชำเลืองมองนายน้อย
ฝั่งเจ้านายเอียงคอเล็กน้อย แสงไฟจราจรข้างนอกรถทำให้ใบหน้านั้นไม่ชัด ดังนั้นจึงทำให้ไม่เห็นสีหน้าเขา แต่มือที่กุมพวงมาลัยไว้กลับไม่ได้นิ่ง
ต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่เฉิงเจวี้ยนจะสตาร์ตรถอีกครั้ง
ระหว่างทางกลับโรงเรียน ผู้ช่วยคนทะเล้นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่นั่งข้างคนขับ ยุกยิกไปมา มองดูรอบๆ บางทีก็เล่นมือถือสักพัก จากนั้นก็ดึงสายเข็มขัดนิรภัยอีกรอบ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ไม่สุข
หลังจากมาถึงโรงเรียน ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้พูดว่าจะไปส่งฉินหร่าน
ตอนที่เด็กสาวกลับมา เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำให้ยังไม่หมดเวลาช่วงศึกษาด้วยตัวเอง
ประตูหอเปิดอยู่
เด็กสาวกลับเข้าไป แล้วอาบน้ำเป็นอย่างแรก
ตอนที่ฉินหร่านสระผมเสร็จแล้วเดินออกมา เพื่อนร่วมโต๊ะเธอกลับมาพร้อมหนังสืออีกสองสามเล่ม
ด้านหลังเพื่อนคนนี้ มีเด็กผู้หญิงตามมาอีกคน เธอผมสั้น มีแว่นกรอบดำอยู่บนสันจมูก ผิวขาวราวหยวกกล้วย ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นดำขลับ โต เป็นประกาย เด็กที่อยู่หลังหลินซือหรานก้มหน้าอยู่ เธอเงียบมาก เชื่อฟัง และมีหน้าตาสวย เมื่อมองผ่านๆ ดูเหมือนจะเป็นเด็กดี
ฉินหร่านชำเลืองดูเด็กใหม่ แล้วก้มหน้าเพื่อเช็ดผมต่อ
เด็กหญิงคนนั้นสวมชุดนอนแขนสั้นตัวใหญ่ เชือกสีแดงที่คาดรอบข้อมือดูเด่นขึ้นไปอีก ทำให้ผิวเด็กสาวดูขาวละเอียดขึ้น
“ฉินหร่าน กลับมาแล้วเหรอ” กรรมการสาวดึงกระดาษสองแผ่นบนโต๊ะยื่นให้เด็กอีกคน “พานหมิงเย่ว์”
เด็กอีกคนดูเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่
พอได้ยินเสียงเรียก เธอรีบหันหน้ามารับการบ้านทันที “ขอบใจจ้ะ”
หลินซือหรานยิ้ม แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เธอหยิบขวดน้ำไปที่ห้องซักรีด แล้วเดินออกไปพร้อมพานหมิงเย่ว์
“ผู้หญิงคนนั้นเพื่อนร่วมโต๊ะฉันเองแหละ สวยใช่มะ”
เด็กหญิงคนใหม่ฟังอย่างเงียบๆ ตอนที่กำลังจะกลับหอ เธอหยุด แล้วหยิบอมยิ้มออกมาจากกระเป๋า “หลินซือหราน ช่วยเอานี่ให้เพื่อนร่วมโต๊ะเธอได้ไหม”
กรรมการสาวจึงเปลี่ยนไปถือชวดด้วยมืออีกด้าน
เด็กสาวรับอมยิ้มมา แล้วเอียงคอ “เพื่อนร่วมโต๊ะฉันเป็นคนเท่สุดๆเลยนา จะกินไอ้นี่เหรอ”
พานหมิงเย่ว์เม้มปาก ทำท่าจะหัวเราะ แล้วตอบกลับมา “อืม”
ตกกลางคืน
หลินซือหรานตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำด้วยความงัวเงีย เธอเห็นลำแสงลอดผ่านช่องว่างระหว่างม่านของเตียงเพื่อนสาวคนสวยออกมา
บนเตียงนั้น
ฉินหร่านวางหนังสือลงข้างเตียง หยิบกระเป๋าที่เกี่ยวตะขอไว้ แล้วเทของที่อยู่ด้านในออกมา
เด็กสาวหยิบมือถือสีดำออกมา แล้วเปิดออก
หน้าจอยังแสดงจุดสีแดงที่ห้องพยาบาลโรงเรียนอยู่
“อย่าคิดถึงมันดีกว่า เราก็ลองค้นหาแล้ว ไม่เห็นมีร่องรอยที่ชัดเจนอะไรนี่นา” เธอพูดกับตัวเอง
จากนั้นก็โยนมือถือไปข้างๆ หยิบคอมพิวเตอร์ออกมาในขณะที่นั่งขัดสมาธิ แล้วเปิดมันอย่างเกียจคร้าน
นิ้วมือของเด็กสาวพิมพ์รหัสบนคีย์บอร์ด
จุดสีแดงในมือถือยังเด้งเตือนไม่หยุด หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่นาที จุดนั้นก็หายไป หน้าจอกลายมาเป็นโฮมเพจปกติของมือถืออีกครั้ง
**
วันถัดมา
ช่วงเช้าวันนี้มีสี่คาบ ได้แก่ อังกฤษ จีน เลข และฟิสิกส์ จึงทำให้ทุกคนง่วงเหงาหาวนอน และมึนตึ้บ
หลังจากคาบที่สี่จบลง สวีเหยากวงนำการบ้านไปส่งที่ห้องพักครู เด็กหนุ่มบังเอิญเห็นการบ้านภาษาอังกฤษที่อู๋เหยียนทำเมื่อสองวันก่อน
เด็กสาวคนนี้พักในหอห้องเดียวกับฉินหร่าน และเป็นตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษ
“อาจารย์เกา ดิฉันบอกแล้วว่าแม่เด็กนี่เป็นตัวสร้างปัญหา ดูผลสอบเธอสิ อาจารย์คงหาคนที่จะทำคะแนนได้ศูนย์แบบยัยนี่ไม่มีอีกแล้ว รู้ไหมว่าคะแนนวิชาภาษาอังกฤษห้องคุณน่ะต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยอยู่สามจุด” หลี่ไอ้หรงทำเสียงหึๆ ความเย้ยหยันที่แฝงในเสียงนั้นยากจะปกปิดได้ เธอเคยพูดไว้นานแล้วว่า การจะเปลี่ยนเด็กดื้อคนนี้มันยากเกินไป
คะแนนเฉลี่ยวิชาอังกฤษของห้อง 3/9 ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยของทั้งระดับอยู่สามจุด และต่ำกว่าคะแนนภาษาอังกฤษห้องบ๊วยอยู่สองจุด
ครูสาวผู้มาดมั่นขอบคุณตัวเองที่ยืนกรานจุดยืนออกไปตัวหน้าอาจารย์ใหญ่สวี
อาจารย์ชายวางแว่นลง สีหน้ายังยิ้มแย้ม โดยไม่ฉายแววของความเศร้าหรือความสุข “เด็กวัยนี้ก็ดื้อด้านแบบนี้แหละครับ เราถึงต้องสอนค่านิยมที่ถูกต้องให้พวกเขาไง”
“ฝืนไปให้ได้ตลอดก็แล้วกัน” ครูสาวยื่นการบ้านให้อู๋เหยียน
คุณชายสวีเคาะประตู “ผมมาส่งการบ้านฟิสิกส์ครับ”
พอเห็นหน้าเด็กหนุ่ม ครูภาษาอังกฤษรีบเปลี่ยนสีหน้าบูดบึ้งของเธอ “อ้อ นักเรียนสวีนี่เอง คะแนนภาษาอังกฤษของเธอยังสูงสุดในโรงเรียนอยู่นะจ๊ะ ได้ตั้ง 136 คะแนนแน่ะ”
สิ่งที่นักเรียนได้ทำคือ ข้อสอบสิบชุดจากสิบโรงเรียน ซึ่งยากมาก และยังว่ากันว่านักเรียนที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นปีที่สามของระดับมัธยมปลายไม่ควรนิ่งนอนใจ คะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนอี่จงอยู่ที่หกสิบเก้าคะแนน
อันดับหนึ่งได้หนึ่งร้อยสามสิบหกคะแนน ตามมาด้วยอันดับสองที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าคะแนน ส่วนอันดับสามได้คะแนนเพียง หนึ่งร้อยสิบเจ็ดคะแนนเท่านั้น
นักเรียนที่เพิ่งเดินเข้าห้องมาทักทายอาจารย์ แล้วรับแบบฝึกชุดใหม่ไป
ตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษเดินอย่างเนิบนาบ
เพื่อนร่วมชั้นหยุด ตอนที่เธอเดินผ่าน
หลี่ไอ้หรงดึงกระดาษคำตอบของเด็กใหม่ไร้มารยาทแยกออกมา แล้ววางไว้บนสุด โดยมีเลข “ศูนย์” เขียนไว้แบบหยาบๆ ให้เห็นได้ชัด
คุณชายสวีเองเห็นมันทันที
คะแนนเต็มข้อสอบภาษาอังกฤษแบบกากบาทอยู่ที่ 115 คะแนน ซึ่งนับว่าเยอะมาก
แต่เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ตั้งใจเลือกคำตอบ
ต่อให้ใช้เท้าทำ ไม่ใช่ว่ามันต้องถูกสักข้อทุกๆ สิบสองข้อมั่งเหรอ
ตัวของคุณชายสวีเองมีคำถามหลายเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
“ฉันขอดูกระดาษคำตอบหน่อยได้ไหม” ตัวแทนฟิสิกส์ถามขึ้น น้าเสียงสุขุม สุภาพแต่แฝงไว้ด้วยความเฉยเมย “ของฉินหร่านน่ะ”
อู๋เหยียนไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะคุยกับเธอ เด็กสาวจึงหน้าแดง แล้วตอบแบบพูดไม่ค่อยออก “อ้อ ได้สิ”
เธอรีบส่งกระดาษคำตอบของเด็กใหม่ให้เพื่อนร่วมห้องที่ขอดูทันที
ตัวแทนฟิสิกส์วางข้อสอบฟิสิกส์ไว้บนโต๊ะตัวเอง แล้วหยิบข้อสอบอังกฤษออกมา จากนั้นเขาเริ่มดูไปที่กระดาษคำตอบของฉินหร่าน
เฉียวเซิงยังรอทานข้าวเย็นกับเพื่อนสนิทอยู่ เด็กช่างจ้อนั่งอยู่ที่โต๊ะ เหยียดขามาทางทางเดิน แล้วถือลูกบาสเล่นในมือ
เขาชะโงกหัวมาดู แล้วคลี่ยิ้มทันที “ไม่มีทางอ่ะ ยัยนั่นกินศูนย์อีกแล้วเหรอ เร็วหน่อยคุณชายสวี เอาผลคะแนนมาให้ฉัน เดี๋ยวจะได้ไปล้อยัยนั่น”
ปกติ ดาวโรงเรียนคนใหม่เย็นชาไร้อารมณ์ และตั้งแต่ถูกเลือกให้ได้รับตำแหน่งนี้ ชื่อเสียงของเธอจึงกระจายไปไกล
แต่ละห้อง จะมีเด็กผู้ชายมากมายมาเกาะหน้าต่างห้องสามทับเก้า
แต่เธอเป็นดาวโรงเรียนที่ไม่เหมือนใคร และไม่ใส่ใจใครด้วย ในห้องเรียน เด็กหน้าสวยจะคุยแค่กับหลิน ซือหรานและเฉียวเซิง
คนนอกบางคนอยากจะแก้เผ็ดเด็กใหม่จอมหยิ่งคนนี้ แต่ก็เลิกล้มไปเมื่อนึกถึงเฉียวเซิง
ใครบ้างในโรงเรียนอี่จงที่ไม่รู้ว่า หนุ่มช่างจ้อคนนี้เป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง และตึกโรงเรียนตึกใหม่สร้างเสร็จได้เพราะเงินบริจาคของครอบครัวนี้
เพื่อนสนิทจอมเย็นชายื่นกระดาษให้คุณหนูบ้านรวย คิ้วคุณชายสวีผูกกันเป็นปม
กระดาษเขียนคำตอบมาทุกข้อ แต่ก็ยังได้ศูนย์คะแนน คุณชายสวีคิดอยู่พักหนึ่ง และคิดว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ
“เร็วดิ่ ฉินอวี่รอพวกเราอยู่นา” เด็กช่างจ้อทับกระดาษด้วยหนังสือ หันกลับมาหมุนลูกบาสอีกครั้ง แล้วเร่งเพื่อนสนิท
ทั้งสองคนตกลงว่าจะไปฟังฉินอวี่ซ้อมไวโอลิน ซึ่งเธอบอกว่าเป็นเพลงใหม่
พอพูดถึงเด็กสาวห้องสามทับหนึ่งสวีเหยากวงจึงชะงักไป แล้วเลิกคิดเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ เขารีบเร่งความเร็วให้ไวขึ้น
**
ตอนที่เด็กพาร์ตไทม์ไปที่ห้องพยาบาลโรงเรียน ผู้ช่วยลู่เพิ่งจะส่งคนไข้คนสุดท้ายเสร็จ
จากนั้น เขาหันหน้ามา แล้วเกาหัวตัวเอง “นายน้อยเจวี้ยน คุณว่าทำไม(เขา)ถึงรับงานนี้”
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้นอนเลยตลอดวันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ยาก เขาเอนพิงโซฟาโดยมีแล็ปท็อปวางบนขา
จากการที่เอนหลังพิงโซฟาเล็กน้อย ใบหน้าเขาดูเกียจคร้าน ขนตายาวคู่นั้นทิ่มลงราวกับแปรงสีฟัน บนคอมพิวเตอร์ด้านหน้าหมอหนุ่มมีกองข้อมูลในนั้นมากมาย แล้วดูเหมือนเจ้าของแล็ปท็อปกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด
“ไม่ได้สิ ผมได้ยินมาว่าคนนี้ไม่รับงานมากว่าหนึ่งปีแล้วนา” ลู่จ้าวอิ่งจู่ๆ ก็ยืนพรวดขึ้น และอยากจะพูดต่อ “ออเดอร์…แต่เราจะกินอะไรกันดีมื้อกลางวัน”
เขาแข็งทื่อไป และเปลี่ยนหัวข้อทันทีทันใด
ส่วนอีกคนค่อยๆ ปิดแล็ปท็อปลงแบบนิ่งๆ
ฉินหร่านปรายตามอง เธอหรี่ตาลูกบ๊วยสุกเล็กน้อย แล้วทำเสียงหึๆ โดยไร้อารมณ์ ตอนที่เห็นว่าตาของผู้ช่วยหนุ่มเบิกกว้าง “ปลา”
ชายหนุ่มที่ตื่นเต้นออกนอกหน้ารีบคว้ากุญแจรถไป “เออใช่ พ่อบ้านหวังขอให้ผมไปรับวัตถุดิบของเย็นนี้มานี่”
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็เกือบหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
เด็กสาวล้างมือ ก่อนหยิบแจ็กเกตแล้วเดินออกไป
พระอาทิตย์กำลังส่องแสงจ้า
เธอจึงต้องนำหมวกมีปีกมาใส่ตอนที่เดินผ่านตึกศิลป์
มีเสียงไวโอลินดังมาจากหน้าต่างที่เปิดไว้บนชั้นสอง เสียงนั้นฟังดูคุ้นๆ
เด็กสาวชะงัก สายตานั้นเยียบเย็นตอนที่เธอใช้มือกดปีกหมวด แล้วมองไปยังชั้นสอง