เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 261 ทำไมผู้เข้าสอบแต่ละคนต้องตกใจถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ?!
“ไม่ใช่ค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหร่านก็เลิกคิ้ว เธอหยุดตัวหยุดอยู่ที่บันได พลางมองพ่อบ้านเฉิงก่อนพูดอย่างสุภาพ “วันนี้เป็นวันสอบค่ะ”
แน่นอนว่าพ่อบ้านเฉิงรู้ว่าวันนี้เป็นวันสอบ
ไม่กี่วันก่อนเขายังคิดภาพเตรียมสอบไว้ในหัวอยู่เลย
แต่เพราะปัญหาบาดเจ็บที่มือของฉินหร่านในช่วงนี้ พ่อบ้านเฉิงจึงกำชับทุกคนในคฤหาสน์แห่งนี้อย่างเข้มงวด ใครก็ไม่อาจพูดถึงเรื่องการสอบได้
ตั้งแต่ที่ฉินหร่านกลับมาเมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ไม่มีเอ่ยปาก
พ่อบ้านเฉิงเห็นฉินหร่านมีท่าทางไม่ใส่ใจมาตลอดเช่นนี้ ยังคิดว่าลืมเรื่องการสอบไปเสียแล้ว ใครจะไปรู้ว่าในตอนนี้เป็นตัวเธอเองที่พูดถึงเรื่องสอบ
“อ้อ เรื่องสอบ ผมทราบครับ…” เฉิงมู่ตอบกลับ จากนั้นมองฉินหร่านอย่างระมัดระวัง “ดังนั้น คุณหนูฉินต้องการไปสอบสินะครับ?”
ฉินหร่าน “อืม” ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นเดินไปที่โต๊ะอาหาร เฉิงเจวี้ยนเขยิบเก้าอี้ด้านข้างให้เธอนั่งลง
พ่อบ้านเฉิงไปที่ห้องครัวเพื่อเสิร์ฟอาหารให้ฉินหร่าน
เฉิงเจวี้ยนรับประทานเสร็จแล้วก็ไปที่โต๊ะช่วยเธอจัดกระเป๋าดินสอ เขาใส่ดินสอลงไป ลำตัวครึ่งหนึ่งพิงอยู่บนโต๊ะพลางเหล่าดินสออย่างเชื่องช้าก่อนหันไปถามเธอว่า “เอาใบเข้าสอบไปรึยัง?”
“เอาไปแล้ว” ฉินหร่านตักไข่ต้มเข้าปากเป็นคำสุดท้าย จากนั้นลุกไปหยิบใบเข้าสอบกับบัตรประชาชน
เฉิงเจวี้ยนรับมาใส่กระเป๋าดินสอ
เฉิงมู่กับซือลี่หมิงกลับมาจากการวิ่งยามเช้าแล้ว ก็เห็นเฉิงเจวี้ยนกำลังเหลาดินสออย่างตั้งใจ เขาหยุดชะงัก “นายน้อยเจวี้ยน?”
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้เงยหน้า เพียงพูดปัดไปว่า “เก็บกวาดหน่อยนะ เดี๋ยวพวกเราจะไปโรงเรียนอวิ๋นเฉิงกัน”
“อ้อ” เฉิงมู่ไม่กล้าถามอะไร ก่อนล้างจากอย่างรวดเร็ว แล้วออกรถพาฉินหร่านเข้าสอบที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิง
**
ทั่วท้องถนนอวิ๋นเฉิงล้วนมีแต่ป้ายแบนเนอร์ตั้งไว้ อบอวลไปด้วยบรรยากาศการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้จุดการสอบ มีตำรวจจราจรกลุ่มหนึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ รถทุกคันที่ขับผ่านมาต่างรู้ว่าต้องชะลอความเร็วลง
โดยไม่มีเสียงเป่านกหวีด
เมืองที่วุ่นวายมาโดยตลอดในช่วงนี้ก็สงบลงเป็นพิเศษ
แม้ว่าเฉิงมู่จะมาก่อนหนึ่งชั่วโมง ทว่าในขณะนี้ก็มีคนไม่น้อยถึงที่หมายแล้ว
โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิงเป็นสนามสอบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่เฉิงมู่จะขับหาที่จอดรถเจอสักที่ ในที่สุดก็ได้จอดรถ
เมื่อลงจากรถ เฉิงมู่ไม่ได้เปิดประตูทันที
ด้านนอกอากาศร้อนจัด ภายในห้องก็ไม่ได้เปิดแอร์
เฉิงเจวี้ยนยกมือดูนาฬิกาข้อมือ แปดโมง ยังเหลือเวลาสอบอีกหนึ่งชั่วโมง เขาหันไปมองฉินหร่าน “จะเข้าไปตอนนี้เลยหรือว่ารออีกสักพัก?”
ฉินหร่านก้มหน้ามองโทรศัพท์ คิดอยู่สักครู่ “เฉียวเซิงกับหลินซือหรานอยู่ข้างนอกแล้ว เดี๋ยวฉันไปหาพวกเขาเลย”
เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า เขาเปิดประตูลงไปก่อน จากนั้นเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูรถฝั่งฉินหร่าน
ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนของเขา เมื่อยืนท่ามกลางผู้คนก็ราวกับหงส์ในฝูงอีกา
เขากวาดสายตาครั้งหนึ่งก็เห็นเฉียวเซิงที่ยืนรออยู่ประตูโรงเรียน
“อยู่ทางนั้น” เขายื่นมือหยิบหมวกแก๊ปสีดำใส่บนหัวเธอ จากนั้นพาเธอไปที่ประตูโรงเรียนฝั่งนั้น
มีผู้คนสัญจรไปมาที่ทางประตูทางเข้าจำนวนมาก เนื่องจากเป็นวันสอบ ผู้ปกครองและนักเรียนส่วนใหญ่ล้วนมีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่เฉิงเจวี้ยนก็เดินอย่างไม่รีบร้อน
ราวกับเดินอยู่ในม้วนภาพวาดของจิตรกรหมึกดำ เมื่อใบหน้าถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ก็โดดเด่นยิ่งกว่าสิ่งใด
เดิมขณะที่คุณนายเฉียวกำลังกำชับเฉียวเซิงอยู่นั้น เมื่อได้เห็นออร่าสว่างไสวของทั้งสองคนที่เดินเข้ามา ปากที่พูดอยู่ก็พลันหยุดชะงัก สีหน้าแววตาเปลี่ยนเป็นระแวงเล็กน้อยอย่างแทบไม่เคยเป็น
“เจ๊หร่าน ทางนี้!” เฉียวเซิงไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นแม่ พลางโบกมือให้ฉินหร่านอย่างกระตือรือร้น
เฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านเดินเข้ามา เฉียวเซิงจึงแนะนำให้คุณนายเฉียวด้วยความดีใจ “แม่ คนนี้คือเจ๊หร่าน ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”
“แน่นอนว่าแม่จำได้” แม่ของเฉียวเซิงไม่กล้ามองเฉิงเจวี้ยน เพียงมองฉินหร่านที่อยู่หลังเขา “ต้องขอบใจเธอมาก ที่ทำให้คะแนนของเจ้าลูกคนนี้ดีขึ้นมาก…”
พูดอยู่ครึ่งประโยค สายตาก็เหลือบเห็นเฝือกบนมือซ้ายของฉินหร่าน คุณนายเฉียวก็ถึงกับพูดไม่ออก
ไม่รู้ว่าเฉียวเซิงพูดให้เธอฟังเป็นกี่สิบรอบว่าคะแนนทั้งห้าวิชาของฉินหร่านล้วนอยู่อันดับหนึ่ง
แต่คุณนายเฉียวก็ไม่ได้แสดงสีหน้าเสียดายออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหร่าน เพียงยิ้ม “วันหน้าหากมีเรื่องอะไร ก็ไว้วานเจ้าลูกคนนี้ได้เลย เขาเป็นพวกเนื้อหนังหนา ไม่ตายง่ายๆ หรอกจ้ะ”
การสอบใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ผู้เข้าสอบทั้งสามคนก็เข้าสู่สนามสอบ
**
การสอบเข้ามหาลัยไม่เหมือนกับการสอบทั่วไป
ผู้คุมสอบตรวจตราอย่างเข้มงวด
ผู้เข้าสอบทุกคนต้องผ่านเครื่องตรวจจับโลหะก่อนเข้าสนามสอบ ฉินหร่านสอบที่ตึกA205 เมื่อเธอเข้าไปสนามสอบก็เปิดให้เข้าแล้ว อาจารย์คุมสอบถือเครื่องตรวจจับยืนอยู่ที่ประตู
ฉินหร่านผ่านเครื่องตรวจสอบมาได้อย่างปลอดภัย ตำแหน่งที่เหลือในห้องสอบมีไม่มาก ทุกคนในห้องล้วนเป็นคนแปลกหน้า
หมายเลขการสอบของฉินหร่านคือ19อยู่สองที่นั่งหลังสุดแถวที่สามซึ่งมีเพียงที่ว่างหนึ่งที่ เธอเดินไปฝั่งนั้น
ด้านหลังมีชายท่าทางหนักแน่นคนหนึ่งเดินตามหลังเธอ
“ติ้ด____” เสียงเครื่องตรวจดังขึ้น
ชายหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าไม่เข้าใจ
อาจารย์ผู้คุมสอบถือกรรไกรออกมาอย่างเงียบๆ ตัดโซ่เหล็กที่ติดกับกางเกงขาด
ชายหนุ่มมองกางเกงของตัวเอง “…?”
การสอบช่วงเช้าของวันที่เจ็ดคือวิชาภาษาจีน
ฉินหร่านหยิบกระดาษข้อสอบ กวาดสายตาเพื่อคำนวณระดับความยากของการสอบครั้งนี้ เป็นระดับที่ยากมาก เมื่อประเมินข้อสอบภาษาจีนเสร็จ ก็มีคนอยากจบชีวิตของตัวเอง
มือซ้ายของเธอใช้งานไม่สะดวก จึงใช้กล่องดินสอทับกระดาษคำตอบไว้ พลางเขียนลงกระดาษข้อสอบอย่างช้าๆ เธอใช้มือขวาเขียนอย่างรวดเร็ว ทว่าเนื่องจากมือซ้ายไม่สามารถทับกระดาษข้อสอบไว้ได้ ความเร็วของเธอจึงไม่นับว่าเร็วมากเป็นพิเศษ
การใช้มือเดียวเป็นอะไรที่ไม่สะดวกจริงๆ
เมื่อทำข้อสอบเขียนเสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาสิบนาทีก่อนออดดัง
แต่สนามสอบที่ฉินหร่านนั่งอยู่ไม่มีใครสักคนที่ส่งข้อสอบก่อน
หากบอกว่าการสอบภาษาศาสตร์ในช่วงเช้าก็ทำให้จิตใจของทุกคนทรุดฮวบ เช่นนั้นในช่วงบ่าย เมื่อทุกคนได้กระดาษข้อสอบวิชาคณิต ชื่อผู้ออกข้อสอบก็ทำให้สมองของทุกคนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
_____
โฮ่วเต๋อหลง
ทันทีหลังจากนั้นมีเพียงสองคำที่ดังกึกก้องอยู่ในหัว
ฉิบหาย
ปีนี้ข้อสอบวิชาเลขมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ยังไม่ทันสอบเสร็จ ก็มีนักเรียนวิ่งร้องไห้ออกมาจากสนามสอบ
พ่อบ้านเฉิงที่ถือน้ำซุปบ๊วยดองยืนอยู่ด้านนอกประตู เมื่อเห็นนักเรียนเข้าสอบที่วิ่งออกมากอดพ่อแม่ก่อนเวลาก็มองเฉิงเจวี้ยนอย่างกังวล “นายน้อยครับ คุณว่าคุณหนูฉินจะเป็นยังไงบ้าง? เมื่อครู่ผมได้ยินผู้เข้าสอบหลายคนล้วนบอกว่าคำถามยากมาก”
ขณะที่เขากำลังพูด ก็เห็นฉินหร่านเดินออกมาจากประตูโรงเรียน
มือซ้ายใส่เฝือก มือขวาถือกล่องดินสอ
ไม่มีสีหน้ากังวลแม้แต่น้อย
พ่อบ้านเฉิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อา เขาลืมไปเลย คุณหนูฉินน่าจะสัมผัสไม่ถึงความยากของข้อสอบล่ะมั้ง?
“สอบเป็นยังไงบ้าง?” เฉิงเจวี้ยนยื่นน้ำซุปบ๊วยให้เธอ
ฉินหร่านดื่มอึกหนึ่ง พลางหรี่ตาตอบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “พอได้แหละ”
พ่อบ้านเฉิง “…”
ทำไมตอนนี้คุณหนูฉินถึงวางมาดอยู่ได้
พ่อบ้านเฉิงรู้สึกว่าคุณหนูฉินของพวกเขาอาจจะไม่ได้คิดเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่าน แต่กลับเป็นไม่รู้สึกถึงความยากของข้อสอบแม้แต่น้อยเลยต่างหาก
จริงๆ นะ
**
เนื่องจากวันที่เจ็ดข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
วันที่สองของการสอบวิชาปรัชญายากกว่าที่ผ่านมา แต่ไม่มีผู้เข้าสอบคนไหนล้มพับไปเหมือนเมื่อวาน อย่างน้อยไม่มีใครสอบไปสักพักก็กล้ามเนื้อหัวใจตายจนต้องไปขอความช่วยเหลือที่รถพยาบาล
เมื่อช่วงบ่ายสอบวิชาอังกฤษเสร็จ กลุ่มห้องเก้าที่เงียบมาโดยตลอด ทันใดนั้นลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง
คนจำนวนนั้นพิมพ์ข้อความส่งในกลุ่มอย่างบ้าคลั่ง
เหอเหวิน: ปลดปล่อยกัน @เซียวเฉิง ว่าไงบ้าง?
ตัวแทนวิชาชีวะ: ไปดิ ไปดิ! วันนี้นักเรียนห้องเก้าต้องมาให้ครบ!
เซี่ยเฟย: ไปOJ หรือBKดี?
เฉียวเซิง: ฉันถามเจ๊หร่านแป๊บ
ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่สอบวิชาอังกฤษเสร็จหมดแล้ว ทว่าเนื่องจากฉินหร่านใช้แขนซ้ายไม่สะดวก เมื่อฝนลงกระดาษคำตอบจึงช้ามากๆ อีกทั้งข้อสอบภาษาอังกฤษเป็นแบบเลือกตอบส่วนใหญ่
เมื่อเธอออกมา เฉียวเซิงกับหลินซือหรานก็ตามเธอออกมาติด ๆ
“เจ๊หร่าน จะไปตามนัดไหม?” เฉียวเซิงไม่กล้าถามฉินหร่านว่าสอบเป็นยังไงบ้าง
ฉินหร่านรับปากโดยไม่คิด
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้เข้าร่วมกับงานเลี้ยงจบการศึกษาของพวกปีสามด้วย ทว่าเรื่องมือของฉินหร่านก็ไม่อาจมองข้ามได้ เขาจึงให้พ่อบ้านเฉิงไปกับเธอด้วย
ส่วนเฉิงมู่นั้น…
ตามเขาไปจัดการเรื่องสกุลเมิ่งกับเมิ่งซินหราน
ห้องเก้าจัดงานที่ห้องโถงใหญ่ของKTVสองห้อง พวกเขาทั้งหมดรอฉินหร่านและเฉียวเซิงด้านล่าง
เดิมพ่อบ้านเฉิงคิดว่าเพื่อนร่วมชั้นของฉินหร่านต่างเป็นนักเรียนธรรมดา
เขาหรี่ตามองฉินหร่านด้านหลัง ทั้งเอ่ยทักทายเซี่ยเฟย “สวัสดีครับ”
เขามองไปยังสวีเหยากวงที่อยู่ท่ามกลางผู้คน
พ่อบ้านเฉิงชะงักตกใจเล็กน้อย เรื่องของสกุลสวี ในฐานะที่พ่อบ้านเฉิงคือผู้ดูแลของบ้านสกุลเฉิงย่อมรู้เบื้องลึกเบื้องหลังหลังดี ทว่าเขาไม่คิดว่าต่อให้ผู้อาวุโสสวีอยู่อวิ๋นเฉิงก็ช่างปะไร แต่หลานของเขายังเรียนอยู่ที่อวิ๋นเฉิงเนี่ยนะ?
สวีเหยากวงก็เห็นพ่อบ้านเฉิงเช่นเดียวกัน ใบหน้าอันประณีตของเขาขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตกใจจนเกินไป
“เดี๋ยวก่อน…” เดิมหัวหน้าห้องอยากตบไหล่ลูกพี่ฉิน อยากดื่มเหล้ากับเธอให้เต็มที่ชนิดไม่เมาไม่กลับ เมื่อก้มหัวมองก็พบว่ามือซ้ายของฉินหร่านมีเฝือกหุ้มอยู่
สีหน้าของหัวหน้าห้องเปลี่ยนไป “เจ๊หร่าน เกิดอะไรขึ้นกับมือซ้ายของเธอ?!”
“ไม่มีอะไร” ฉินหร่านก้มหน้าพลางยิ้ม พูดอย่างไม่คิดอะไรมากว่า “ไม่กี่วันก่อนไม่ระวังจนมือหัก”
เนื่องจากประโยคนี้ ทำให้เสียงเซ็งแซ่ของห้องเก้าตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่สวีเหยากวงก็มองฉินหร่านด้วยความตกใจ
ก่อนหน้านี้พ่อบ้านเฉิงไม่กล้ายกเรื่องมือซ้ายที่บาดเจ็บของฉินหร่านมาพูด แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว
ความจริงฉินหร่านจะเข้าร่วมการสอบหรือไม่ก็ไม่เป็นผล…
ในเมื่อเธอจะสอบหรือไม่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ทว่านักเรียนร่วมชั้นของฉินหร่านนี่มันอะไร ได้ยินว่ามือซ้ายของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ ทุกคนตื่นตระหนกตกใจกันขนาดนี้เชียวหรือ? ราวกับเสียเงินพันล้านไปอย่างไรอย่างนั้น?!