เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 341 ลูกพี่เลือกมาทั้งที เหยียนซีจะปฏิเสธได้หรือ?
“ล้อเล่นน่า หร่านหร่านจะสอบตกหมดได้ยังไง?!” หนานฮุ่ยเหยาถลึงตาใส่สิงไคทีหนึ่ง “ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาคณิตศาสตร์ยากขนาดนั้นเธอก็ทำได้เต็มมาแล้ว”
สิงไครีบเปิดกระป๋องเครื่องดื่มส่งให้หนานฮุ่ยเหยา พลางหัวเราะ “ลูกพี่หนาน พี่พูดถูกแล้วครับ พูดถูกแล้วครับ”
ยังไงซะก็เป็นถึงจอหงวนระดับประเทศ
“ประธานปีสองบอกว่าข้อสอบปีที่แล้วก็ยากพอแล้ว เพราะปีที่แล้วมีคนสอบตกเยอะอยู่” หนานฮุ่ยเหยาไม่สนใจสิงไค แต่หันไปมองฉินหร่าน ขณะที่ตะเกียบแทงอยู่บนข้าว “ยังไงปีนี้ก็ยากกว่าเดิม สอบวิชาเดียวก็ยากเกินพอแล้ว ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากก็ช่างปะไร แต่ข้อสอบในมหาลัยยากกว่าเดิมแบบนี้……”
รุ่นพี่ประธานปีสองภาควิชาวิศวกรรมอัตโนมัติล้วนได้แต่จุดเทียนอวยพรให้พวกเรา
ฉินหร่านกินข้าวอย่างไม่ใส่ใจพลางฟังทั้งสองต่อปากต่อคำกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ก่อนเงยหน้าขึ้นกะทันหันในช่วงท้าย “เทอมที่แล้วพวกเธอเรียนหลักสูตรอะไรกันนะ?”
สิงไคที่ถือกระป๋องเครื่องดื่มพลันหยุดชะงักไป พลางค่อยๆ หันมองฉินหร่าน
ขณะเดียวกันตะเกียบในมือของหนานฮุ่ยเหยาก็พลันหยุดชะงัก ก่อนเงยหน้าช้า ๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ สิงไคเปิดปากพูดอย่างแข็งทื่อว่า “ก็เป็นหลักสูตรพื้นฐานทั่วไปของคณิตศาสตร์ระดับสูงเอย คอมพิวเตอร์พื้นฐานเอย ภาษาอังกฤษระดับมหาลัยกับฟิสิกส์ขั้นสูง”
นับว่ามหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเรียนล่วงหน้าไปไว ฉินหร่านคิดคำนวณครู่หนึ่ง ยังเรียนไม่ถึงด้านวิศวกรรมออกแบบกับดิจิตอลอิเล็กทรอนิคส์
เธอกินข้าวเสร็จก็วางตะเกียบลง แล้วจัดการกับถาดอาหารของตัวเอง
หนานฮุ่ยเหยาและสิงไคที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถือตะเกียบอยู่คนละคู่พลางมองเธอโดยไม่ขยับเขยื้อน
ฉินหร่านยกถาดอาหารของตัวเอง ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่ขยับไปไหน
เธอโค้งตัวลงเล็กน้อย ก่อนก้มตัวเคาะโต๊ะ พลางเลิกคิ้ว “ฉันไปห้องสมุดแล้วนะ”
ในที่สุดทั้งสองก็รู้สึกตัว ก่อนรีบพยักหน้า
รอให้ฉินหร่านเดินหายวับไปแล้ว ทั้งสองจึงค่อยๆ ดึงสติกลับมา
พลางมองหน้าหากัน
“พี่หนาน เมื่อกี้พี่หร่านถามอะไรเรานะ?” สิงไคโพล่งถาม
หนานฮุ่ยเหยาเอาหัวเคาะตัว “เธอถามพวกเราว่าเรียนหลักสูตรอะไรบ้าง”
“เห้ยๆ……” ในที่สุดสิงไคก็ได้สติกลับมา เขาวางตะเกียบดัง “ปัง” พลางมองหนานฮุ่ยเหยา “ฉันคิดมาตลอดว่าเขาไปห้องสมุดเรียนหลักสูตรวิศวกรรมอัตโนมัติด้วยตัวเอง”
ฉินหร่านเป็นคนไอคิวสูง สิงไคจึงรู้สึกว่าการที่เธอเรียนควบสองสาขาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
ยังไงซะก็เป็นถึงยอดนักรบผู้มีพรสวรรค์
“นายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้ฉันนึกอะไรได้ หนังสือบนโต๊ะของเธอล้วนเป็นหนังสือเกี่ยวกับวิศวกรรมนิวเคลียร์ที่ใช้สอบซ่อมของเทอมที่แล้ว แล้วก็มีแบบฝึกหัดเกี่ยวกับวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์แปลกๆ กองหนึ่ง” หนานฮุ่ยเหยาตอบกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ไม่ว่าจะเป็นแบบฝึกหัดการแปลงข้อมูลอะไรเกี่ยวกับวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ก็มีหมด แต่ไม่มีวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติเลย
สิงไค: “……”
เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้……
ทำไมยังเอาเวลาไปอ่านสอบซ่อมเทอมทีแล้ว แต่ไม่ยอมอ่านวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติเล่า? ? ! !
**
วันนี้เป็นวันพุธ ฉินหร่านมีเรียนทั้งช่วงบ่าย แต่ช่วงเย็นไม่มีเรียน
ยังไม่ทันไร ฉินหลิงก็โทรมาหา
มือข้างหนึ่งของฉินหร่านปิดกระเป๋าเป้ด้านหลัง มืออีกข้างล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบโทรศัพท์ด้านใน จากนั้นใส่หูฟัง
ฉิงหลิงที่อยู่ปลายสายอยู่ในท่านั่งยองบนริมถนน ฉินซิวเฉินไม่อยากแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์ จึงยืนขึ้นเดินไปรออยู่บริเวณรถตู้อีกฝั่ง ฉินหลิงหันหลังมองแวบหนึ่ง ก่อนเอามือป้องปาก พูดเสียงเบาว่า: “พี่ครับ วันนี้เย็นพวกเราไปกินข้าวกับคุณอาด้วยกันไหมครับ?”
“กินข้าวอะไร?” เธอมองเข้าไปในห้องสมุด เนื่องจากคุยโทรศัพท์อยู่จึงไม่ได้เข้าไป พลางดึงหมวกฮู้ด
“พรุ่งนี้พวกผมกับคุณอาจะออกเดินทางไปเมือง C ประมาณเดือนนึงถึงกลับ”
ฉินหลิงลดเสียงต่ำลง เขาเอียงหัวมองฉินซิวเฉิงที่อยู่อีกฝั่ง
เมือง C เป็นเมืองหลวงเก่าของฉงซิ่ง
ฉินหร่านยืนพิงกำแพง แววตาเปล่งประกายวาวลึก แต่ไม่ได้ปฏิเสธอย่างใด “เธอส่งที่อยู่มาให้พี่”ฉินหลิงมองฉินซิวเฉิงพลางส่งสัญญาณมือบอก “OK” ตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ตอนบ่ายพี่มีเรียนไหมครับ? ให้ผมกับคุณอาไปรับไหม?”
“แล้วแต่เธอ” มืออีกข้างหนึ่งของฉินหร่านเล่นสายหูฟัง ก่อนพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถึงแล้วก็โทรหาพี่ละกัน”
เธอพูดคุยกับฉินหลิงอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางสายไป
จากนั้นเปิดรูปโปรไฟล์ของเฉิงเจวี้ยนในแชทบอกเขาว่าเย็นนี้ไม่ต้องมารับแล้ว
แชทเพิ่งถูกส่งไป ก็มีข้อความหนึ่งในวีแชทเด้งขึ้น เป็นเหยียนซี
[ท่านมหาเทพ พวกเรามีพื้นหลังMVมาให้ท่านเลือกสามที่ ท่านรู้สึกว่าอันไหนดีครับ?]
[นำเสนอรูปภาพที่หนึ่ง]
[นำเสนอรูปภาพที่สอง]
[นำเสนอรูปภาพที่สาม]
เขาส่งตัวอย่างกราฟิกทั้งสามรูปให้เลือกทีเดียว
ฉินหร่านกวาดตามองปราดหนึ่ง ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เมื่อเห็นว่ารูปที่สองคือเมือง C ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ฉินหลิงแสดงให้ดูไม่มีผิด
เมือง C เป็นเมืองหลวงเก่าของฉงชิ่ง ด้านในมีสมบัติโบราณสถานที่มีชื่อเสียงมากมาย ฉินหร่านเปรยตามองรอบหนึ่ง ก่อนกดเลือกสถานที่หนึ่งไป
โทรศัพท์อีกด้านหนึ่ง เหยียนซีที่จ้องรูปโปรไฟล์ของฉินหร่านอย่างไม่วางตาก็ได้รับคำตอบกลับมาหลังจากผ่านไปสามวินาที
เขาหันไปมองหัวหน้าใหญ่วางแวบหนึ่ง จากนั้นวางปากกาในมือลง “ท่านมหาเทพเลือกเมือง C ครับ”
“เมือง C ?” หัวหน้าใหญ่วางผงกหัว “งั้นฉันจะให้กลุ่มหุ้นส่วนติดต่อไปเมือง C ไป อาจจะช้าหน่อยนะ”
หัวหน้าใหญ่วางออกไปคุยกับกลุ่มหุ้นส่วน
ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างเขาพูดขึ้น “ทำไมท้ายที่สุดแล้วถึงเลือกเมือง C ละ? เมือง C ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอครับ? ไม่ใช่เพราะมันไกลเกินไปหรอกเหรอ พี่เหยียนจะไม่พิจารณาดูอีกทีเหรอครับ?”
สถานที่ทั้งสาม มีอยู่สองที่ที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ เพราะหุ้นส่วนทุกคนต่างมีคอนเน็กชั่น
ทว่าสำหรับเมือง C ถึงแม้กลุ่มหุ้นส่วนจะเห็นด้วย แต่เนื่องจากเหยียนซียังไม่ได้เจรจาเห็นชอบกับทางฝั่งนั้น
“นายจะไปรู้อะไร?” หัวหน้าใหญ่วางถือโทรศัพท์พลางหัวเราะเยาะ “ลูกพี่เป็นคนเลือกสถานที่เองนี่”
เหยียนซีสามารถปฏิเสธสิ่งที่ลูกพี่เลือกได้ด้วยหรือ?
**
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง ฉินซิวเฉินเข้าไปจัดการทำเรื่องใบลาหยุดให้ฉินหลิงก่อน พร้อมเอาแบบฝึกหัดและข้อสอบมาด้วย ก่อนพาเขาขึ้นรถถึงไปรับฉินหร่านได้
วันนี้ฉินซิวเฉินยังคงนั่งทำงานอยู่ในรถตู้ส่วนตัว
เขากับฉินหลิงนั่งอยู่ด้านหลังของรถ โดยมีผู้จัดการเป็นคนขับรถ เขาขับรถมาถึงทางเท้า มุ่งตรงไปยังทางฝั่งเมืองของมหาวิทยาลัย
เมื่อได้ยินเฉิงหลิงบอกว่าฉินหร่านอยู่ที่มหาวิทยาลัย ผู้จัดการก็จำได้มาโดยตลอด
ทว่ายังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วฉินหร่านอยู่ที่มหาวิทยาลัยไหนกันแน่ พลางมองกระจกหลังแวบหนึ่ง ก่อนถามว่า “นายน้อยหลิง พี่สาวของคุณอยู่มหา’ลัยไหนครับ?”
ฉินซิวเฉินสบตามองพลางเอียงหัวเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
เพราะเขาไม่รู้เรื่องข่าวคราวของฉินหร่านแม้แต่น้อย
ฉินหลิงปิดปากเงียบ
เรื่องของฉินฮั่นชิว……ดูเหมือนว่าเขาก็เกรงกลัวผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย มีเพียงพูดออกไปไม่กี่ประโยคบางครั้งเท่านั้น ว่าเธอชอบเล่นเกมเหมือนกับฉินหลิง
ฉินหลิงนั่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม ขณะที่มือวางอยู่บนแลปท็อปด้วยท่าทางจริงจังราวกับคนแก่ไม่มีผิด ก่อนตอบอย่างช้าๆ “มหาวิทยาลัยเมืองหลวง”
อยู่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเหมือนกันรึ?
ผู้จัดการยังคงมองกระจกรถ ถามด้วยความแปลกใจ “เรียนคณะศิลปศาสตร์เหมือนกันเหรอครับ?”
เขาจำได้ว่าฉินอวี่คนนั้นก็เรียนที่คณะศิลปศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเช่นเดียวกัน
ทว่าการที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ก็พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา
“เปล่า ภาคฟิสิกส์” ฉินหลิงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่สาวของตัวเองเรียนสาขาวิศวกรรมอัตโนมัติหรือว่าวิศวกรรมนิวเคลียร์กันแน่
ผู้จัดการติดตามฉินซิวเฉินมานาน ย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำดี ทั้งรู้ด้วยว่ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงคือหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีสี่คณะหลักอันมีชื่อเสียง
เมื่อได้ยินฉิงหลิงสะกดคำว่าภาคฟิสิกส์ออกมาทีละคำ สายตาที่มองกระจกมองหลังอยู่นั้นก็พลันตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รับคำตอบเช่นนี้ “พี่สาวของคุณเรียนอยู่ที่สี่คณะหลักของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง?”
สี่คณะหลักในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยอื่นที่อิงตามแบบแผนหรือยัดเงินก็สามารถเข้าได้
สามารถเข้าเรียนคณะหลักได้ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั้งสิ้น
สีหน้าของฉินหลิงทั้งจริงจังและเยือกเย็น พลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างสงบนิ่งว่า: “ใช่แล้ว”
“ทำไมไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย?” ผู้จัดการนึกถึงเมื่อช่วงเย็นที่แล้ว ที่ถามเธอว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยไหน เธอก็บอกแค่ว่าเมืองหลวง
แต่ไม่ได้บอกว่าเรียนที่สี่คณะหลัก แม้แต่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็ไม่ได้เอ่ยถึง
ฉินหลิงละสายตา ราวกับว่ายังมีเรื่องคาใจ: “แล้วทำไมต้องพูดเรื่องนี้กับนายด้วย?”
ผู้จัดการ: “……”
ผู้จัดการขับรถด้วยความสับสนอย่างยิ่ง ก่อนจอดลงหน้าประตูมหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเพื่อรอฉินหร่านออกมา
เมื่อขับถึงมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เวลาก็ล่วงเลยมาใกล้ห้าโมงครึ่งแล้ว เป็นเวลาที่ฉินหร่านใกล้เลิกเรียน
ฉินหลิงจัดกระเป๋าวางให้เรียบร้อย ก่อนหยิบโทรศัพท์ลงจากรถ ความรู้สึกตื่นเต้นประกายออกมาจากแววตาอย่างชัดเจน ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องที่หน้าประตูใหญ่อย่างไม่วางตา
ฉินซิวเฉินสวมหน้ากากปิดปาก จากนั้นใส่เสื้อกันลมขนาดใหญ่ยาวน่าเกลียดตัวหนึ่งเพื่อปกปิดรูปร่างของตัวเอง พร้อมหมวกฮู้ดกันลม
ยืนอยู่หลังฉินหลิง
ผู้จัดการแทบจะทนมองสภาพเสื้อกันลมของฉิวซิวเฉิงไม่ได้
เสื้อกันลมตัวนี้เป็นของจากตลาดแผงลอยทั่วไป ทั้งบนและล่างมีขนาดความกว้างเท่ากัน และไม่มีการเย็บขอบ สภาพแย่กว่ากระสอบทรายมากนัก
ตอนนี้สภาพของฉินซิวเฉินราวกับราวตากผ้าเดินได้ ทว่ามองไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ เมื่อดูจากด้านหลังเหมือนถังใส่น้ำถังหนึ่งที่มีขนาดสูงหนึ่งเมตรกับอีกแปดร้อยเซนติเมตร อย่าว่าแต่แฟนคลับเลย แม้แต่แม่ผู้ให้กำเนิดของเขาคงนึกไม่ออกว่าเขาคือใคร
ผู้จัดการจอดรถเรียบร้อย ก่อนเดินมาหาฉินซิวเฉิน พลางมองประตูใหญ่อันรุ่งโรจน์และเก่าแก่ของมหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ก่อนพูดเสียงต่ำว่า: “ซุปตาร์ฉิน ที่แท้หลานสาวของท่านก็เป็นนักศึกษาของสี่คณะหลัก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้เข้าร่วมกับห้องปฏิบัติการไหม ตระกูลฉินเองถูกแยกจากสถาบันวิจัยนานเท่าไหร่แล้วนะ?”
หลังจากท่านอาวุโสเสียชีวิตลง ทุกคนต่างเฝ้ามองการล่มสลายของสกุลฉิน ทายาทสายตรงก็หายไปหมด ทั้งเกิดการแย่งชิงของบรรดาญาติฝ่ายในเสียเอง จนในที่สุดอำนาจในการดูแลสถาบันวิจัยของสกุลฉินก็ถูกปัดตก และถูกสกุลโอวหยางเข้ามาแทนที่ เวลานี้ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ทายาทสายตรงของตระกูลฉินหายไปหมดสิ้น ส่วนทายาทสายรองก็ไม่มีใครถูกเลือกสักคน