เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 371 แซ่เฉิง บอสใหญ่ และความเป็นมา วันนี้เจ๊หร่านพิจารณาเสร็จหรือยัง?
- Home
- เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
- ตอนที่ 371 แซ่เฉิง บอสใหญ่ และความเป็นมา วันนี้เจ๊หร่านพิจารณาเสร็จหรือยัง?
ถิงหลาน
เฉิงเวินหรูทำงานที่บริษัทยังไม่เสร็จก็มาที่นี่แต่เช้า
เฉิงเจวี้ยนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาชั้นล่าง แยกขาเล็กน้อยและเอาโน๊ตบุ๊กวางไว้บนเข่า
เฉิงมู่ถือพลั่วและชุดเครื่องมือนั่งยองๆ อยู่ในมุมเล็กๆ ด้วยท่าทางจริงจัง ปากเอาแต่บ่นพึมพำว่าพี่ชายเขาไม่ดูแลดอกไม้ให้ดี
เฉิงเวินหรูเดินไปดูชั้นบนมาหนึ่งรอบก็ยังไม่พบฉินหร่านก่อนจะมานั่งตรงข้ามเฉิงเจวี้ยน “หร่านหร่านยังไม่เลิกเรียนเหรอ?”
“รออีกเดี๋ยว” เฉิงเจวี้ยนเคาะแป้นพิมพ์อย่างเอื่อยเฉื่อยโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“งั้นรออีกหน่อยก็ได้” เฉิงเวินหรูทอดถอนใจด้วยความเสียดาย เธอนั่งตัวตรง ปลายนิ้วเคาะเข่าพลางหรี่ตา “นายเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่าว่าคนใหม่ที่จะเข้าสถาบันวิจัยไม่ใช่คนของสี่ตระกูลหลัก”
สถาบันวิจัยมุ่งวิจัยทางด้านวิศวกรรมอัตโนมัติและด้านอาวุธ
เฉิงเจวี้ยนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แววตาเป็นสีจาง “งั้นเหรอ?”
“ทำไมอารมณ์นายดูไม่เปลี่ยนแปลงเลยล่ะ?” เฉิงเวินหรูกอดอก กดคางลง “นายเริ่มสู้กับพี่ใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใครบอกพี่ว่าผมจะสู้กับเขา?” เฉิงเจวี้ยนยกมุมปากพลางเหลือบมองเธอ ปลายนิ้วบนแป้นพิมพ์หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว
“ลือกันหมดทั้งตระกูลแล้ว” เฉิงเวินหรูโน้มตัวไปข้างหน้า “เรื่องหัวหน้าหน่วยสองนั่นน่ะ ตำแหน่งอันเจิดจรัสของพี่ใหญ่ในตระกูลเฉิงถูกนายสั่นคลอนแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว เห็นเงียบๆ แบบนี้ก็ทำให้คนแตกตื่นได้เหมือนกันนะเนี่ย”
“นั่นมันนอกเหนือจากการควบคุมต่างหาก” พอพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงเจวี้ยนก็อดหัวเราะไม่ได้ ท่วงท่าอันสง่างามรินไหลออกทางหน้าผาก “ผมไม่สู้กับเขาหรอก”
เฉิงเวินหรูเอนหลัง ขมวดคิ้ว “ยังไม่สู้อีกเหรอ? นายต้องรู้ไว้นะว่าสุดท้ายแล้วคนอย่างพี่ใหญ่ไม่เหลือทางรอดให้นาย”
ยังดีที่ตระกูลเฉิงอยู่ภายใต้การควบคุมของนายท่านเฉิง
ตระกูลฉินเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกันจนตอนนี้ยังเบียดเข้ามาอยู่ในสี่ตระกูลหลักไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญที่สุดของแต่ละตระกูลคือผู้นำที่มีความสามารถและคุณธรรม จิตใจกว้างขวางปราศจากอคติ มีเมตตากว่าคนทั่วไป มิฉะนั้นจะทำการใหญ่ไม่สำเร็จ
ตอนที่นายท่านเฉิงตั้งชื่อนี้ให้เฉิงเหราฮั่น นายท่านเฉิงก็หวังว่าเขาจะเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง
แต่ไม่คิดว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นเหมือนแม่ของเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับวันนายท่านเฉิงก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังในตัวเฉิงเหราฮั่นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากเฉิงเจวี้ยนไม่ได้ให้ความสนใจกับตระกูลเฉิง ส่วนเฉิงเวินหรูก็เอาแต่ทุ่มเทให้บริษัท จึงทำให้เฉิงเหราฮั่นมีอำนาจในตระกูลเฉิงแต่เพียงผู้เดียว
“จะสู้ก็สู้” เสียงแหบพร่าของเฉิงเจวี้ยนฟังดูเฉยชาเล็กน้อย “แต่คนที่สู้ไม่ใช่ผม”
เขาวางโน๊ตบุ๊กลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ มองไปทางเฉิงเวินหรูพูดอย่างไม่เร่งรีบ “เป็นพี่”
“ฉัน?” เฉิงเวินหรูถึงกับผงะ จากนั้นก็ส่ายหน้าหลุดยิ้ม “เป็นฉันได้ไง?”
“แค่พี่เท่านั้น” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวกุญแจรถขึ้นมา ขณะเดินไปที่หน้าประตูก็ชะงักเล็กน้อยแล้วพูดอย่างนุ่มนวล “ตระกูลเฉิงยังต้องการคนตระกูลเฉิงมาสืบทอด”
ปิดประตูเบาๆ
เฉิงเวินหรูนั่งบนโซฟา ดวงตาเฉียบคมหรี่ลง
“คุณหนูใหญ่ ดื่มชาครับ” เฉิงมู่ล้างมือเสร็จก็วิ่งไปรินชาที่ห้องครัวมาวางไว้ข้างมือเฉิงเวินหรู
เฉิงเวินหรูยื่นมือไปรับมา
มือกำลังถือถ้วยชา
ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วเคาะถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉิงเจวี้ยนคุยเรื่องนี้กับเธอ
แต่เมื่อก่อนเฉิงเจวี้ยนรับปากเธอส่งเดช ต่อจากนั้นควรทำอะไรต่อไปก็ยังทำอย่างนั้น อย่างมากที่สุดเขาก็รับช่วงเรื่องตระกูลเฉิงไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ควรก็ส่งต่อให้คนตระกูลเฉิง
ฐานทัพก็เป็นแบบนี้ในช่วงแรก เขาเข้าร่วมการฝึกพิเศษเป็นเวลาครึ่งปีก็ปีนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งผู้รับผิดชอบฐานทัพ แต่พอสอนคนออกมาได้หนึ่งทีม เขาก็หนีหน้าไปเรียนถ่ายภาพ ตอนนั้นนายท่านเฉิงโมโหเขามาก แต่ท้ายที่สุดก็ยังทำใจยอมคุยกับเขา
ยังมีอีกหลายเรื่องอย่างเช่น มีข่าวลือว่าเขามีงานอดิเรกที่หลากหลาย ทำตัวเถลไถล ยโสโอหัง เป็นการยากที่จะทำการใหญ่
ทีแรกเฉิงเวินหรูก็คิดว่าเขาเป็นแบบนี้ จนกระทั่งต่อมา…
นายท่านป่วยหนัก เฉิงจินพาเธอไปงานประมูลและได้รู้จักกับ “ดอกไม้ลืมทุกข์” ที่มีบางอย่างคล้ายพืชสายพันธุ์ต่างดาว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาการป่วยของนายท่านก็มีอาการทรงตัว เฉิงจินกำชับเธอว่าจะเผยแพร่ออกไปไม่ได้
ต่อมาเฉิงเจวี้ยนก็พาเธอเปิดบริษัท
สังคมภายนอกต่างเล่าลือกันว่าฝีมือเธอนั้นไม่ธรรมดา แต่ความจริงแล้วฝีมือเธอด้อยกว่าเฉิงเจวี้ยนไม่ใช่น้อย แม้กระทั่งการตัดสินใจที่เด็ดขาดในสนามการค้าก็เรียนรู้มาจากเฉิงเจวี้ยน
เธอรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก บางครั้งผู้อาวุโสหลายคนในบริษัทที่เฉิงเจวี้ยนหามาก็สอนสิ่งใหม่ๆ ให้เธอ
เธอรู้ดีกว่าใครว่าตราบใดที่เฉิงเจวี้ยนมีความคิดที่จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉิง ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอคุยประเด็นนี้กับเฉิงเจวี้ยนมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเฉิงเจวี้ยนก็พูดแบบขอไปที มีเพียงครั้งนี้ที่…
ตระกูลเฉิงยังคงต้องการให้คนตระกูลเฉิงมาเป็นผู้สืบทอด…หมายความว่าอย่างไร?
เฉิงเวินหรูดื่มน้ำไปหนึ่งอึก พลันนึกไปถึงตอนที่นายท่านเฉิงรับเฉิงเจวี้ยนกลับบ้านตระกูลเฉิงเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเธอยังไม่เป็นผู้ใหญ่ จำได้แค่ว่าแต่ละปีผ่านไปด้วยดี และยังมีฝนดาวตกครั้งใหญ่ในรอบร้อยปีอีกด้วย
สถานการณ์ในเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้นำตระกูลใหญ่หลายตระกูลออกไปต่างถิ่นกันหมดภายในปีนั้น
หลังจากนายท่านเฉิงกลับมาก็พาเด็กชายวัยสามขวบที่หน้าตาเกลี้ยงเกลาราวกับหยกขาวเจียระไนมาด้วย เขาอยู่ในอาการโคม่ามาตลอดและฟื้นขึ้นมาได้ภายในสามวัน
นายท่านเฉิงแค่อธิบายให้เธอกับเฉิงเหราฮั่นฟังว่านั่นคือลูกชายคนสุดท้องของเขาเอง ส่วนเรื่องอื่นไม่มีการพูดถึง
แม่ของเฉิงเวินหรูจากไปหลังจากคลอดเธอ หลายปีที่ผ่านมานายท่านเฉิงก็ไม่ได้แต่งงานใหม่อีกเลย แต่จู่ๆ ก็มีลูกชายคลอดออกมาคนหนึ่งและยังเป็นที่รักของชายชราคนนี้มาก เฉิงเหราฮั่นรับไม่ได้ แต่เฉิงเวินหรูกลับรับได้
ตอนที่เฉิงเจวี้ยนยังเด็ก มีช่วงหนึ่งที่เฉิงเวินหรูเป็นคนเลี้ยงดูเขา ความสัมพันธ์พี่สาวน้องชายระหว่างทั้งสองคนจึงลึกซึ้งกว่าเฉิงเหราฮั่นมาก
เฉิงเวินหรูดื่มชาเสร็จแล้วก็คิดอะไรหลายๆ อย่าง
ทุกอย่างเหมือนมีเงื่อนงำและคล้ายจะไม่มี
เฉิงเวินหรูวางถ้วยชาลง มองไปทางเฉิงมู่และเคาะขาที่นั่งไขว่ห้าง “มู่มู่ น้องสามเก็บพวกนายมาได้ยังไง?”
เธอไม่รู้ว่าเฉิงจินทำงานอะไร แต่ดูจากคำพูดและมารยาทของเฉิงจินก็พอจะรู้ว่าเขาเก่งกว่าเหล่าผู้อาวุโสในบริษัทของเธอเสียอีก
“เก็บมา?” เฉิงมู่ส่ายหน้าทันทีที่ได้ยิน เขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็อธิบายอ้ำๆ อึ้งๆ
“อะไรนะ? นายพูดดังๆ หน่อยสิ” เฉิงเวินหรูเลิกคิ้ว
“ผมบอกว่าพวกพี่ๆ ผมพวกเขาไปต้มตุ๋นคุณชายเจวี้ยน!” เฉิงมู่พูดพลางหน้าแดง
เฉิงเวินหรูประหลาดใจกับคำพูดดังกล่าว เธอเอามือเท้าคาง นึกอยากจะลองถามเฉิงมู่ว่าพวกเขาไปทำเรื่องต้มตุ๋นได้อย่างไร
คราวนี้เฉิงมู่ไม่พูดออกมาสักคำ เอาแต่ก้มหน้าตัดแต่งดอกไม้
**
สภาพอากาศในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้นหนาวมาก
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด เฉิงเจวี้ยนจอดรถไว้ที่ปากทางเข้าแล้วเดินต่อไปอีกสองนาทีกว่าจะถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัย
เขายกมือดูเวลา คาดว่ารออีกหนึ่งนาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูมหาวิทยาลัยอย่างใจเย็น
ไม่ว่าเวลาไหน หน้าประตูมหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็มีคนอยู่จำนวนมาก
เฉิงเจวี้ยนรอจนครบหนึ่งนาทีก็เห็นคนที่สวมหมวกเสื้อสเวตเตอร์อยู่ท่ามกลางฝูงชน เธอลดศีรษะลงมาครึ่งหนึ่งเหมือนรำคาญ และยังเห็นสายหูฟังสีดำของเธอและเสื้อสเวตเตอร์สีขาวเลื่อนลงมา
ตอนนี้เมืองหลวงเข้าสู่ฤดูหนาวมานานแล้ว
สภาพอากาศเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิต่ำสุดลดลงเหลือสี่องศา ผู้คนมากมายต่างก็สวมเสื้อบุนวม
รอจนกระทั่งเธอเดินมาใกล้ เฉิงเจวี้ยนจึงเดินไปลากเข้ามา ดึงหมวกเธอลง “หนาวไหม? เสื้อโค้ตเธอล่ะ?”
เมื่อคืนเขาไปทำธุระบางอย่าง พอกลับมาตอนเช้าฉินหร่านก็ไปห้องเรียนสำหรับเรียนรู้ด้วยตัวเองที่มหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนเฉิงมู่ก็ไปหาพ่อของหลินซือหรานตั้งแต่เช้าตรู่
เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าถอดเสื้อคลุมตัวเองแล้วห่มตัวฉินหร่านตั้งแต่หัวลงมา จากนั้นก็เอียงหน้ามองฉินหร่านพลางครุ่นคิด เขาคิดว่าฤดูหนาวปีที่แล้ว เฉิงสุ่ยดูแลเธอดีมาก…
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เฉิงเจวี้ยนรู้สึกว่าที่เฉินซูหลานเป็นห่วงฉินหร่านก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ฉินหร่านทำตัวเองให้ถึงตายได้
“หนาวนิดหน่อย ตอนเช้าๆ ไม่ได้หนาวขนาดนี้” ฉินหร่านเอื้อมมือดึงเสื้อผ้าอย่างลวกๆ โผล่หน้าออกมาและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ที่มหาวิทยาลัยมีเครื่องปรับอากาศ เธอจึงแต่งตัวสบายๆ
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอโดยไม่พูดอะไร แค่ปล่อยมือแล้วหยิบกุญแจเปิดประตู ถามคำถามที่ถามอยู่ทุกวันด้วยเสียงเบาๆ “เจ๊หร่าน เธอพิจารณาหรือยัง?”
ฉินหร่านรวบเสื้อโดยไม่เงยหน้า เธอพูดอย่างคลุมเครือว่า “ยัง”
เฉิงเจวี้ยนหัวเราะเสียงทุ้ม “ก็ได้”
เขาขับรถกลับไปที่ถิงหลาน เฉิงเวินหรูยังนั่งที่โซฟาไม่ไปไหนคล้ายกับกำลังครุ่นคิดเรื่องราวในชีวิต
เมื่อเห็นฉินหร่านกลับมา ดวงตาก็เป็นประกาย เลิกคิดเรื่องทุกอย่าง “หร่านหร่าน พี่จะพาเธอไปร้านอาหารส่วนตัว ที่นั่นมีเนื้อต้มกับซี่โครงอร่อยสุดๆ ไปเลย!”
ฉินหร่านวางหนังสือทั้งหมดลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ
ด้านบนหนังสือมีกระดาษA4วางกลับหัวอยู่สองแผ่น
เฉิงมู่เดินมาดู เขาเห็นคำว่า “ข้อตกลง” รางๆ ที่ด้านหลังกระดาษ
เธอคิดอยู่สักพักก็มองไปทางเฉิงเวินหรู กล่าวขอโทษ “วันนี้ฉันนัดอาจารย์คนหนึ่งทานข้าวน่ะค่ะ”
“อาจารย์?” เฉิงเวินหรูนึกถึงอาจารย์เว่ยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “งั้น…พี่เชิญอาจารย์เว่ยมาทานข้าวด้วยกันดีไหม?”
ฉินหร่านถอดเสื้อคลุมออกเตรียมจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อได้ยินเฉิงเวินหรูพูดก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าตอบ “ไม่ใช่อาจารย์เว่ย”