เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 412 ฉันมีโปรเจกต์ การแข่งรอบชิงชนะเลิศ ICNE
ห้องปฏิบัติการ
ฉินหร่านพิมพ์ข้อมูลสุดท้ายเสร็จ หันข้าง ขนตายาวลู่ลงเล็กน้อย “รุ่นพี่เยี่ย”
รุ่นพี่เยี่ยรับข้อมูลไป มองฉินหร่าน อดที่จะอ้าปากไม่ได้ “รุ่นน้อง ฉันหาโปรเจกต์ใหม่ให้เธออีก…”
ฉินหร่านยังไม่ได้พูดอะไร นักวิจัยเลี่ยวที่ยุ่งอยู่เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงยังคงเย็นชา “ยืนยันคนของโปรเจกต์พวกคุณแล้วรึยัง”
รุ่นพี่เยี่ยเม้มปาก เขาพยักหน้า กำลังคิดจะใช้คำพูดที่เขาเตรียมไว้
จั่วชิวหรงที่ถืออุปกรณ์ทดลองเข้ามาพูดขึ้นอย่างสุภาพ “ขออภัยเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนของพวกเราไม่ยอมรับการเพิ่มคนเข้ามาใหม่อีก”
เพื่อกอบกู้ทีม เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนจึงไม่ให้จั่วชิวหรงโกรธ ตอนบ่ายจึงโทรไปบอกข่าวให้จั่วชิวหรงรู้ และปลอบโยนเธออยู่หลายคำ
ทั้งสองคนเลือกที่จะไม่ขัดใจทั้งรุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรง ทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อไม่ให้ใครสงสัยนัก รุ่นพี่เยี่ยฟังจบ จึงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เขาหันไปเปรียบเทียบข้อมูลการปรับแก้สนามแม่เหล็กที่ฉินหร่านให้เขาอยู่เงียบๆ
“เพื่อนร่วมทีมสองคนนั้นของคุณไม่ยินยอมเหรอ” นักวิจัยเลี่ยวมองจั่วชิวหรง จากนั้นจึงละสายตากลับ หันมองฉินหร่าน หยุดลงชั่วขณะก่อนพูดขึ้น “ถึงเพื่อนร่วมทีมสองคนจะไม่ยินยอมร่วมทีมกับคุณ อย่าเสียใจไป ช่วงนี้ให้สนใจในห้องปฏิบัติการกับโปรเจกต์ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ฉันจะถามศาสตราจารย์คนอื่นดูอีกที…”
แม้ว่านักวิจัยเลี่ยวจะไม่ได้รับศิษย์ แต่ศาสตราจารย์นักศึกษาปริญญาเอกหลายคนก็เคยได้รับการชี้แนะจากเขา
ในส่วนของทีมของรุ่นพี่เยี่ย เลี่ยวเกาอั๋งตั้งใจศึกษา จึงบังคับได้
จั่วชิวหรงยิ้มบางเมื่อได้ยิน ไม่ได้พูดอะไร มือทั้งสองข้างกำแน่น
ฉินหร่านกำลังเก็บหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดเมื่อตอนเที่ยงของตนกลับเข้ากระเป๋าเป้ ได้ยินคำพูดของเลี่ยวเกาอั๋ง เธอส่ายหน้า “ขอบคุณนักวิจัยเลี่ยว แต่ฉันมีโปรเจกต์งานวิจัยหนึ่งอยู่ในมือแล้ว ร่วมทีมกันกับเพื่อนร่วมชั้นปีแล้ว”
ได้ยินดังนั้น รุ่นพี่เยี่ยกับนักวิจัยเลี่ยวต่างประหลาดใจ
นักวิจัยเลี่ยวยังคงพูดน้อย รุ่นพี่เยี่ยพูดอย่างมีความสุข “งั้นก็ดีแล้ว”
จั่วชิวหรงพิงโต๊ะเล็กน้อย มองฉินหร่าน เม้มปากยิ้มด้วยความสงสัย “คิดไม่ถึงเลยว่ารุ่นน้องก็มีโปรเจกต์อยู่ในมือ เท่าที่ฉันรู้วันนี้มหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่ได้เปิดตัวโครงการใด รุ่นน้องเข้าร่วมโปรเจกต์ไหนเหรอ”
นิ้วของฉินหร่านดึงซิปกระเป๋าเป้ปิด เงยหน้ามองจั่วชิวหรง พูดขึ้นสบายๆ “การแข่งขันรอบชิง ICNE”
พูดจบ ก็ไม่ได้มองปฏิกิริยาตอบกลับของจั่วชิวหรง ทักทายเลี่ยวเกาอั๋งกับรุ่นพี่เยี่ยอย่างสุภาพ ถือกระเป๋าหนังสือตรงออกไป
ICNE โครงการทางวิชาการด้านฟิสิกส์ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักเรียนเรียนต่อ
ถ้ามีผลลัพธ์ของการเขียนบทความวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 25 ฉบับ ก็ยังไม่เท่าได้เหรียญรางวัลในการเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ICNE ครั้งเดียว
อีกทั้งนักเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัยแผนกฟิสิกส์น่าจะยังไม่รู้ว่าการแข่งขันนี้คืออะไร แต่เป็นโครงการวิจัยที่คนเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกอยากเข้าร่วมมากที่สุด
แม้แต่รุ่นพี่เยี่ยก็ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ จึงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงยิ้ม ในใจผ่อนคลายขึ้น: “ไม่แปลกที่ตอนบ่ายที่ฉันบอกรุ่นน้องว่าไม่มีโควต้าแล้ว รุ่นน้องยังใจเย็นอยู่มาก เธอมีโปรเจกต์ของตัวเองอยู่แล้ว การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ICNE ในจุดนี้รุ่นน้องมีความสามารถเพียงพอ… ถึงจะไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ฉันไม่ได้ลากรุ่นน้องเข้ามาโครงการวิจัยนี้ของฉัน ไม่งั้นน่าจะเป็นการขัดขวางเธอ”
เป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนี้ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ใฝ่ฝันของนักวิจัยฟิสิกส์ชั้นนำของโลก
รุ่นพี่เยี่ยอยากถามฉินหร่านว่าขาดลูกมือหรือผู้ร่วมงานหรือไม่
นักวิจัยเลี่ยวหันตัวกลับอีกครั้ง พยักหน้าเล็กน้อย ชื่นชมออกไปอย่างหาได้ยาก “โปรเจกต์นี้ของเธอ ยอดเยี่ยมจริงๆ”
จั่วชิวหรงที่อยู่อีกฝั่งเพียงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เดิมทีเธอคิดว่าฉินหร่านจะกระวนกระวายอยากจะมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ถึงได้อยากเข้าร่วมโครงการของเธอ เธอจึงขัดขวางอย่างสุดความสามารถ ใครจะไปรู้ว่าตัวของฉินหร่านก็มีโปรเจกต์…ทั้งยังเป็น ICNE…
ฉินหร่านพูดออกมาเองได้ จั่วชิวหรงก็ไม่รู้สึกว่าเธอพูดเสแสร้ง…
เมื่อเทียบความเป็นที่รู้จัก แม้ว่าโครงการที่เธอกับรุ่นพี่เยี่ยสมัครจะยอดเยี่ยมในหมู่ของโครงการโดยรวม แต่เมื่อเทียบกันกับ ICNE ของฉินหร่าน ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จั่วชิวหรงเม้มปาก ความอิจฉาริษยากัดกินหัวใจของเธอ…พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบในระดับเดียวกันเลย
**
ฉินหร่านไม่รับรู้ถึงความคิดของจั่วชิวหรงในตอนนี้
ในขณะเดียวกันเธอออกจากประตูทางเข้าของห้องปฏิบัติการ
ใกล้สิ้นสุดเดือนธันวาคม ในที่สุดก็ได้ต้อนรับหิมะแรกของเมืองหลวงแล้ว
เกล็ดหิมะไม่ได้หนาเป็นพิเศษ ความเร็วไม่มาก ร่วงลงจากบนฟ้าอย่างเชื่องช้า เกล็ดหิมะที่ค่อนข้างใหญ่ ละลายเมื่อร่วงลงบนพื้น
เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่ไฟข้างทาง หิมะเล็กน้อยร่วงอยู่ตามร่างกายและบนศีรษะ
แสงสว่างจากไฟข้างทาง ความหนาวเย็นถูกปกคลุมด้วยโทนสีอบอุ่น
เขาปัดเกล็ดหิมะที่ไหล่อย่างลวกๆ เงยหน้ามองฉินหร่าน แล้วหยุดทุกการกระทำ
รอฉินหร่านเดินมาด้านข้าง เขาจึงโอบกอดเธอ วางมือเย็นเยียบที่คอของเธอ เพียงครู่หนึ่งแล้วเอาออก ยิ้มถาม “เธอหนาวไหม”
“ไม่หนาว” ฉินหร่านพยักหน้าให้เขาขับรถ รถไม่ได้ดับเครื่องยนต์ แอร์ยังคงเปิดอยู่ รอเขาขึ้นมาด้านหน้า ฉินหร่านจึงถามเขาว่ารออยู่ด้านนอกนานแค่ไหน
“สิบนาทีมั้ง” เฉิงเจวี้ยนขับรถไปยังถนนสายหลักเอียงหน้ามองเธอ
จู่ๆ คืนนี้ก็หิมะตก คนบนถนนจึงน้อย เวลาที่เขาขับรถมาน้อยกว่าที่ผ่านมา
ฉินหร่านพยักหน้า มือวางที่หน้าต่าง เท้าคางครุ่นคิดเรื่องห้องปฏิบัติการ
ตอนนี้ห้องปฏิบัติการล้วนแต่เป็นงานวิจัยของนักวิจัยเลี่ยว ต่อไปเวลาอาจจะดึกมากขึ้น…
คิดเช่นนั้น ฉินหร่านอดพิงประตูรถไม่ได้ มองไปทางเฉิงเจวี้ยน
ครุ่นคิด
ทั้งสองคนกลับมายังถิงหลาน
ในห้องโถง บนตักเฉิงเวินหรูมีคอมพิวเตอร์วางอยู่ เห็นฉินหร่านกลับมา เธอวางคอมพิวเตอร์ลงด้านข้าง “หร่านหร่าน กลับมาแล้วเหรอ”
เฉิงมู่ยืนขึ้นจากด้านข้างโต๊ะไม้ ทักทายฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยน
ฉินหร่านเปลี่ยนรองเท้าข้างระเบียงทางเข้า วางกระเป๋าเป้ลงด้านข้าง ทักทายเฉิงเวินหรู เฉิงเจวี้ยนยื่นเท้าเข้าไปยังรองเท้าหนานุ่มอย่างเกียจคร้าน
“ใช่แล้ว หร่านหร่าน นี่คือพัสดุของเธอ” เฉิงเวินหรูยื่นกล่องใบค่อนข้างยาวบนโต๊ะให้ฉินหร่าน และชี้ถามฉินหร่านไปที่ข้อความลงนาม “นี่คืออักษรอะไร”
ฉินหร่านก้มหน้ามอง
เม้มปากจากนั้นจึงฉีกใบรายการที่แปะอยู่ด้านบนออกอย่างใจเย็น โยนลงถังขยะ
เรียบง่าย
“เพื่อนของฉันเป็นลูกครึ่งต่างประเทศ เขียนตัวจีนไม่ได้” เธอเอียงศีรษะ อธิบายเฉิงเวินหรู
เฉิงเวินหรูพยักหน้า “ไม่แปลกใจเลย”
เธอดูอยู่ตั้งนาน ก็ดูไม่ออก
ฉินหร่านจึงรื้อพัสดุ เฉิงมู่รีบลงไปด้านล่าง นำกรรไกรตัดแต่งดอกไม่ของตนมายื่นให้ฉินหร่าน ให้เธอตัดเทป “คุณฉิน เพื่อนของคุณส่งอะไรมา”
“น่าจะเป็นรูปภาพ” ฉินหร่านแกะออกอย่างใจเย็น
เฉิงเจวี้ยนนั่งลงตรงข้ามเธอสบายๆ มองกล่องพัสดุของเธอ เลิกคิ้วเล็กน้อย
กล่องผนึกห่อหุ้มไว้สองชั้น
“เพื่อนของเธออยู่นอกเมืองเหรอ” เขาพิงโซฟา
ผนึกอีกอันเป็นของนอกเมืองอย่างเห็นได้ชัด
ฉินหร่านพยักหน้า ตัดเทปออกเสียง ครืด
“ของเข้ามาจากนอกเมืองแต่กลับไม่ได้รับการตรวจสอบงั้นเหรอ” เฉิงเวินหรูไขว่ห้างมองพัสดุของฉินหร่าน
เฉิงมู่ความจำยังดีอยู่ เขาฉุกคิดขึ้นได้ “คุณฉินมีเพื่อนนักข่าวภาคสนามอยู่คนหนึ่ง”
“นักข่าวภาคสนามเหรอ” เฉิงเวินหรูค่อนข้างประหลาดใจ มองไม่ออกอย่างสิ้นเชิง “ร้ายกาจมาก”
กล้าไปเป็นนักข่าวของภาคสนาม ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ฉินหร่านรื้อเปิดกล่องขนาดใหญ่ออกมา
ด้านในบรรจุกล่องของขวัญไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าสง่างามเรียบง่าย ทั้งยังมีกล่องไม้ขนาดเล็กสองกล่อง
เฉิงเจวี้ยนกวาดมอง ก็รู้ว่าในกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบรรจุรูปภาพไว้ เขาพูดขึ้นอย่างใจเย็น: “เธอเตรียมของขวัญไว้ด้วยเหรอ”
รูปภาพนี้เตรียมไว้ให้ใคร ไม่ต้องเดา
ฉินหร่านตอบ ‘อือ’ อย่างใจเย็น เธอเปิดชิ้นส่วนเล็กที่ละเอียดอ่อนด้านนอกของสี่เหลี่ยมผืนผ้า เปิดฝาออก
ด้านในเป็นภาพวาดที่ม้วนไว้เรียบร้อย ตรงขอบเป็นสีเหลืองจางเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เฉิงเวินหรูก็เคยนำรูปภาพมาให้นายท่านเฉิงหลายครั้ง ทันทีที่เห็นรูปลักษณ์ ก็รู้ว่าน่าจะเป็นของโบราณ เห็นการกระทำของฉินหร่านที่จะหยิบขึ้นมาอย่างขอไปที เธอรีบพูดขึ้น “อย่าเปิดออกตามอำเภอใจ ระวังความเสียหาย”
ฉินหร่านจึงวางมือ ปิดฝา
เฉิงเวินหรูยังชี้ไปที่กล่องไม้อีกสองใบ “แล้วสองอันนั้นคืออะไร”
ฉินหร่านก็ไม่รู้
เธอแค่ให้จระเข้ยักษ์ส่งรูปภาพมาให้
ครุ่นคิด หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมา
ด้านในเป็นปิ่นปักผมสีฟ้า บนปิ่นยังมีหยกฝังอยู่รอบๆ พู่สีทอง บ่งบอกถึงระยะเวลายาวนาน แต่เห็นได้ชัดว่าเก็บรักษาอย่างดี สีสันสดใส ฝีมือประณีตงดงาม
ฉินหร่านมองไม่ออกว่านี่คือปิ่นอะไร
เพียงหยิบออกมา เล่นกับแสงไฟ “ดูไม่ออกว่าหนักขนาดนี้”
คนนอกที่มักจะไม่ค่อยเข้าใจประเมินค่าอยู่เล็กน้อย
หันข้าง เฉิงเวินหรูจึงละสายตากลับ เธอมองฉินหร่าน ค่อนข้างแปลกใจ “เพื่อนคนไหนส่งสิ่งนี้ให้เธอ”
“เพื่อนซี้มั้ง” ฉินหร่านหรี่ตา ตอบกลับ