เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 416 ฉินหร่านนำพามาซึ่งวงแหวนแห่งแสงสว่างของตน
ฉินหร่านมอบภาพนั้นที่อยู่กับเฉิงมู่ให้นายท่านเฉิง เฉิงเวินหรูคิดว่าเฉิงมู่ต้องการมาส่งภาพให้ฉินหร่าน
“นั่นเขา” ฉินหร่านพูดขึ้นสบายๆ “แต่ยังมีคนอื่นอีก”
“ใคร” ได้ยินฉินหร่านพูดขนาดนี้ เฉิงเวินหรูแปลกใจนิดหน่อย เธอไขว่ห้างเล็กน้อย ท่านั่งเป็นระเบียบมากเมื่อเทียบกับท่าทางเกียจคร้านของฉินหร่าน “คนของตระกูลเฉิงเหรอ”
วันนี้วันเกิดของนายท่าน ประตูทางเข้าถูกปิดอย่างเข้มงวด โดยปกติแล้วคนที่เข้ามาล้วนเป็นคนของตระกูลเฉิง
ฉินหร่านเหลือบตาขึ้น น้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก “น่าจะแบบนั้นแหละ”
“ใช่คนของตระกูลเฉิงจริงเหรอ” เฉิงเวินหรูมองที่ประตูทางเข้า เฉิงเจวี้ยนมักไม่ชอบติดต่อกับคนมากมายของตระกูลเฉิง
นอกจากจิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ถู่
ในตอนที่ฉินหร่านฝึกทหาร นายท่านยังต้องออกหน้าไปทักทายเฉิงชิงอวี่
เฉิงเวินหรูนึกไม่ออกจริงๆ เฉิงมู่จะพาคนแบบไหนมาพบฉินหร่านได้
ลานด้านข้างของเฉิงเวินหรูกับเฉิงมู่ห่างกันค่อนข้างไกล
หลังจากประมาณสิบนาที ด้านนอกของประตูลานมีคนเคาะประตู
“น่าจะเป็นเฉิงมู่” เฉิงเวินหรูถือถ้วยชา มองที่ประตูทางเข้าของลาน ตอบเสียงดัง “เข้ามา”
เธอเพิ่งพูดจบ คนที่อยู่ด้านนอกผลักประตูเข้ามา เป็นเฉิงมู่เดินนำมาจริงด้วย
ในมือของเขายังกอดกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเก่าแก่ไว้ด้วย ตามมาด้วยวัยรุ่นชายคนหนึ่งท่าทางนอบน้อมอยู่ด้านหลัง
เฉิงเวินหรูไม่ได้สนใจเฉิงมู่ สายตามองจ้องตรงไปยังด้านหลังเฉิงมู่ น้ำเสียงคงเดิม “เฉิงมู่ นี่คุณพาใคร…”
แต่เดิมเธออยากถามเฉิงมู่ว่าพาใครมา เพิ่งพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เฉิงมู่หยุดลง ชายหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นที่อยู่ด้านหลังเขาก็เผยทั่วทั้งใบหน้าออกมา
ผอมมาก แล้วเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่ทะมัดทะแมงมากคนหนึ่ง
ชื่อเสียงของซือลี่หมิงแพร่สะพัดรวดเร็วในตระกูลเฉิง ฐานทัพตระกูลเฉิงมีข้อมูล ‘ขาวสะอาด’ ของเขาครบถ้วน แต่เดิมคนระดับพ่อบ้านตระกูลเฉิงขึ้นไปล้วนเคยถามถึงวัยรุ่นคนนี้ ชัดเจนว่าเฉิงเวินหรูก็ไม่แปลกใจ
รับรู้ได้โดยธรรมชาติ ว่าชายหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นที่อยู่ด้านหลังเฉิงมู่คือซือลี่หมิงดาวรุ่งคนใหม่สุดฮอตเมื่อไม่กี่เดือนในช่วงนี้ของตระกูลเฉิง
เฉิงเวินหรูวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แม้ว่าในใจจะตื่นตะลึงมาก ที่ใบหน้ายังคงประคองกลิ่นอายของคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิงไว้อยู่ เธอนั่งตัวตรง เหลือบตา ถึงแม้ภายนอกจะแสร้งเป็นนิ่งเฉย แต่น้ำเสียงยังหลุดความตกใจออกมา “คุณซือ?”
เฉิงมู่มองเฉิงเวินหรูอย่างนิ่งเฉย จากนั้นจึงแนะนำซือลี่หมิง “เสี่ยวซือ นี่คือคุณหนูใหญ่”
ซือลี่หมิงตอบอย่างนอบน้อมทันที “สวัสดีคุณหนูใหญ่”
คุณหนูใหญ่ นั่นคือพี่สาวคนโตของพวกเขา
ซือลี่หมิงมีมาตรฐานอยู่ในใจอยู่แล้ว
ทักทายเสร็จ ซือลี่หมิงจึงมองฉินหร่าน “คุณฉิน ฉันทำแผนตารางที่คุณให้ฉันเสร็จหมดแล้ว” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย “คุณจะตรวจสอบตอนไหน”
ฉินหร่านดื่มชาหนึ่งอึก มองซือลี่หมิง พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่จำเป็น ฉันเพิ่งดูไป คุณก้าวหน้าเร็วมาก”
ได้รับการยอมรับจากฉินหร่าน หลังของซือลี่หมิงจึงยืดตรง
เขาก้มหน้า เห็นว่าฉินหร่านดื่มชาในมือหมดแล้ว จึงรีบเดินไปอีกด้านของฉินหร่าน รินชาถ้วยใหม่ให้ฉินหร่านอย่างชำนาญมาก
มองสีชา ก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ชาที่ฉินหร่านชอบ
ซือลี่หมิงมองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีต่อการชงชา เขาจึงรินชาที่คุณภาพไม่ค่อยดีนักจนหมด
ตรงข้ามฉินหร่าน เฉิงเวินหรูที่ยังคงนั่งอยู่เก้าอี้หินขนาดเล็กพยุงถ้วยชาด้วยท่าทางสมบูรณ์แบบ พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
การมีซือลี่หมิงมาอยู่ในตระกูลเฉิง แม้ว่าจะโดดเด่นที่สุดในช่วงอายุ และต่อมาในฐานทัพก็ขาดไม่ได้เลย ในมุมที่สำคัญคือเห็นได้ชัดว่าเฉิงเหราฮั่นไม่ยอมแพ้ที่จะชักชวนซือลี่หมิง
แต่ตอนนี้…
ใครจะบอกเธอได้บ้าง ว่าตอนนี้เธอกำลังพบเจอสถานการณ์แบบไหนอยู่?
ด้านหน้านี้คือซือลี่หมิงเหรอ
ซือลี่หมิงเขากำลังทำอะไร
รินชาให้หร่านหร่านงั้นเหรอ
อีกทั้งเฉิงมู่ เรียกไม่ดีแบบนี้ได้ไง เรียกเขาด้วยชื่อเล่นว่าเสี่ยวซือเนี่ยนะ
สมองของเฉิงเวินหรูยังรวนเรอยู่ นอกประตูลานก็มีร่างสูงเพรียวเข้ามา เป็นเฉิงเจวี้ยน
“ไปกินข้าวที่ห้องโถง” เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่นอกประตูลาน มองไปที่ฉินหร่านก่อน จึงมองไปที่เฉิงเวินหรูอย่างเชื่องช้า
สีหน้าของเฉิงเจวี้ยนเรียบนิ่ง เธอส่งเสียง ‘อือ’ แต่ไม่ยืนขึ้น เธอให้ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนไปก่อน
เฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านเดินมาถึงด้านหน้า
ซือลี่หมิงอยู่ด้านหลังทั้งสองคนหนึ่งก้าว หลังจากส่งเสียงเรียก ‘นายท่าน’ จึงรายงานเรื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแก่เฉิงเจวี้ยน
หลังจากทั้งสามคนเดินไป เฉิงเวินหรูยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าตกอยู่ในภวังค์
เฉิงมู่ไม่ได้จากไปทันที เขาหยุดอยู่ที่เดิมสักพัก มองเฉิงเวินหรูด้วยความเห็นใจอย่างมาก “คุณหนูใหญ่ คุณยังโอเครึเปล่า”
เฉิงเวินหรูพยักหน้า ดวงตาสีดำทั้งสองข้างทอแสงวูบวาบเล็กน้อย “คุณเห็นว่าฉันสบายดีเหรอ”
“ไม่ดี” เฉิงมู่พูดตามตรง
เฉิงเวินหรู “…”
อย่างไรที่ด้านนอกก็อากาศหนาว ชาในมือของเฉิงเวินหรูเย็นแล้ว เธอดื่มลงไป จากนั้นจึงเงยหน้า “คุณซือคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกับน้องชายสามของฉันและหร่านหร่านหรอ”
น้ำเสียงค่อนข้างสั่นเครือ
“คุณพูดถึงเสี่ยวซือเหรอ” เฉิงมู่เหลือบตา “ก่อนหน้านี้เสี่ยวซือก็ได้ดูแลคุณฉิน แต่ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างอ่อนแอ หลังจากคุณฉินสอนเขาได้ครึ่งเดือน ไม่ออกไปพบผู้คน นายท่านเจวี้ยนจึงส่งเขาไปยังฐานทัพของตระกูลเฉิง…”
เฉิงมู่พูดจบ ก็พบว่าเฉิงเวินหรูไม่ส่งเสียงออกมาเลยพักหนึ่ง
“ช่วงนี้เสี่ยวซือถดถอยไปเล็กน้อย” พูดถึงตรงนี้ เขาหยุดลง “คุณหนูใหญ่ คุณยังไม่ไปเหรอ”
คำไหนประโยคไหนก็เสี่ยวซือ
เฉิงเวินหรู “…”
ขอทีเถอะ หุบปาก!
**
งานเลี้ยงครอบครัวของตระกูลเฉิงอยู่ที่ห้องโถงหลักอันกว้างขวาง สามารถรองรับได้สองร้อยคนในทีเดียว ตอนนี้ทุกคนที่มาถึงล้วนเป็นคนระดับผู้บริหารของตระกูลเฉิง แต่ละคนที่อยากมาล้วนมีกลุ่มเล็กๆ แบ่งเป็นกลุ่มนั่งพูดคุยกัน
“นายน้อย ที่สนามฝึกพวกเราพบคนของคุณหนูใหญ่” ลูกมือของเฉิงเหราฮั่นเข้ามาจากด้านข้าง พูดเสียงเบา
เฉิงเหราฮั่นหรี่ตาเล็กน้อย เยาะเย้ย “คนของเธอจับจ้องที่ฉันหรือจับจ้องซือลี่หมิง?”
“คุณซือลี่หมิง ฉันได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ชักชวนนายน้อยสามให้ไปเยี่ยมเยียนคุณซือลี่หมิงไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง” ลูกมือแนบมือป้องปาก ลดเสียงเบา
“พวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่ดูเหรอว่าคุณซือเป็นคนแบบไหน” เฉิงเหราฮั่นหลบตาลง ปกปิดท่าทีของดวงตา
วันนี้ที่มาห้องโถงหลัก ได้ยินคนที่เกี่ยวข้องหลายคนพูดคุยกันถึง ‘คุณหนูฉิน’ คนนั้น ทั้งในคำพูดยังมีการชื่นชมหลายคำ
เฉิงเหราฮั่นหรี่ตาครุ่นคิด
นายท่านอยู่ที่แท่นที่นั่งหลัก ได้รับการมาเยี่ยมเยียนจากหัวหน้าผู้ดูแลแต่ละฝ่ายรวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง
เขาสวมเสื้อคอจีนสีอ่อน เต็มไปด้วยพละกำลัง สายตามองออกไปนอกประตูเป็นครั้งคราว
ตอนที่เห็นร่างของคนทั้งสองอยู่นอกประตู ดวงตาของนายท่านเป็นประกาย “หร่านหร่าน มานี่”
เฉิงเหราฮั่นที่นั่งอยู่ข้างนายท่านสัมผัสได้ว่านี่คือผู้หญิงคนนั้นที่เฉิงเจวี้ยนพากลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้า มองไปที่นอกประตู
นอกประตู ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนกำลังเดินเข้ามาด้านใน รูปลักษณ์ของทั้งสองคนดูดีไปเสียหมด เฉิงเจวี้ยนดูดีตั้งแต่ยังเด็ก ทั่วทั้งร่างมีสง่าราศี ไม่อย่างนั้นที่เมืองหลวงคงไม่มีข่าวลือว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งตระกูลเฉิง’
อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย
เฉิงเหราฮั่นมองฉินหร่าน ดวงตาพลุกพล่าน มือที่วางอยู่โต๊ะก็ชะงักลง ‘คุณหนูฉิน’ ท่านนี้…นอกจากใบหน้านั้น อย่างอื่นต่างไปจากข้อมูลที่เขาได้รับเป็นอย่างมาก
นายท่านเฉิงยิ้มบางให้ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยน ทั้งสองนั่งลงที่ข้างขวาของเขา
เห็นได้ถึงความสำคัญของทั้งสองคน
ทั้งสองคนมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน เฉิงเวินหรูก็มาถึง
เพียงแต่สีหน้าของเธอแปลกไป วันนี้กลับพูดน้อย คนอื่นไม่รับรู้
คนในห้องโถงก็ใช่ว่าจะมองสีหน้าไม่ออก รู้ว่านายท่านให้ความสำคัญกับฉินหร่าน ตอนไปเข้าพบนายท่าน ต่างกล่าวชื่นชมคุณหนูฉินท่านนี้เป็นการพิเศษ
จะว่าไปแล้วล้วนมีแต่คำว่า ‘เป็นการพิเศษ’
อย่างอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรที่สามารถนำมาใช้ได้เลย
กระนั้น…
มีคนส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิงเคยได้ยินว่านายท่านเฉิงจัดการเรื่องที่มหาวิทยาลัยห้ฉินหร่าน
เฉิงเหราฮั่นนั่งอยู่ตรงข้ามทั้งสองคน ฟังผู้คนทักทาย อดยิ้มเยาะไม่ได้
ติ๊ง
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
เป็นข่าวจากโอวหยางเวย
เฉิงเหราฮั่นดูข่าวที่ส่งมา อดหัวเราะไม่ได้
“นายน้อย” แท่นที่นั่งหลัก คนส่วนมากต่างมองมาที่เฉิงเหราฮั่น หัวหน้าสถานที่เหลือบมองเขา ทั้งสองคนเห็นว่าครั้งก่อนไม่ค่อยมีความสุข “มีเรื่องน่ายินดีอะไรรึเปล่า”
แม้แต่นายท่านเฉิงก็มองเขา
“ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง” เฉิงเหราฮั่นวางโทรศัพท์ลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ “คุณโอวหยางบอกว่าเธอเพิ่งผ่านการทดสอบสมาชิกระดับกลางของ 129 และได้เป็นสมาชิกระดับกลางอย่างเป็นทางการ”
ขณะที่พูด ทุกคนในห้องโถงมองหน้ากัน แม้แต่หัวหน้าสถานที่ยังอดพยักหน้าไม่ได้ “ฉันจำได้ว่าปีก่อนเธอเพิ่งสอบเข้านี่ ทั้งยังโดดเด่นใน 129 ด้วย” เฉิงเหราฮั่นพูดเบาๆ เขามองไปทางฉินหร่านแล้วยิ้มออกมา “พูดแล้ว คุณหนูฉินท่านนี้ที่อยู่ข้างน้องชายสาม อายุของคุณกับโอวหยางเวยห่างกันไม่มาก จะว่าไป ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงสินะ ที่เดียวกันกับคุณโอวหยางเมื่อก่อนนี้ ไม่รู้เลยจริงๆ”
คนที่อยู่แท่นนั่งหลักกับแท่นรองล้วนไม่กล้ารับคำ ทุกคนต่างก้มหน้า นี่เฉิงเหราฮั่นกำลังพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดอยู่รึเปล่า