เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 432 พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม !
ภายในเวลาไม่นาน
ลูกน้องก็กลับมาอีกครั้งโดยมีชายหนุ่มร่างสูงเดินตามหลัง
“คุณชายสี่” ชายคนนั้นเหลือบมองห้องหนังสืออย่างเงียบๆ ก้มตัวเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยความเคารพ
คุณชายสี่ตระกูลฉินยังมีเอกสารอยู่ในมือ ความเด็ดขาดบริเวณหว่างคิ้วคลายออกโดยสมบูรณ์ เหมือนคนเข้าถึงง่าย “ฉินเจา ช่วงนี้ฝึกงานที่สำนักงานใหญ่เป็นยังไงบ้าง?”
“ขอบคุณคุณชายสี่ที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ” ฉินเจาผงกหัว
“เดือนหน้าจะมีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งคน พอถึงตอนนั้นก็คงต้องรบกวนนายดูแลเขาด้วย” คุณชายสี่ตระกูลฉินหรี่ตา ดูเหมือนเขาจะชื่นชม “คนคนนั้น”เป็นพิเศษ เขาถามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบริษัทไม่กี่คำก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นให้ฉินเจากลับไปพักผ่อน
ลูกน้องพาฉินเจาออกมาจากห้องหนังสือ
ด้านนอก หลังจากที่ฉินเจาลงไปข้างล่างแล้ว ในที่สุดเขาก็ชะงักเท้าตอนที่อยู่หน้าประตู ลดเสียงถาม “คุณ คนที่คุณชายสี่เพิ่งบอกว่าจะเข้ามาเพิ่ม…”
ลูกน้องลังเลอยู่พักหนึ่ง
ฉินเจาเห็นท่าทางเขาดูแปลกไป ในใจย่อมรู้ดี เขาไม่ได้ถามซักไซ้อะไรแต่กลับไปที่ห้องเพื่อให้คนรีบสืบข้อมูลของทางฝั่งคุณชายสี่ตระกูลฉิน
หลังจากเขาเดินไปแล้ว ลูกน้องที่กำลังมองแผ่นหลังเขาด้วยความลังเลก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“คุณชายสี่” ลูกน้องกลับมาถึงที่ห้องหนังสือก็ก้มหน้ารายงาน “คุณชายฉินเจาน่าจะลงมือตรวจสอบเรื่องฉินหลิงแล้ว”
แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงทายาทสายตรงของตระกูลฉินเท่านั้นที่ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานใหญ่ และสามารถดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำตระกูลได้
หลังจากทายาทสายตรงของตระกูลฉินผ่านการล้มหายตายจาก คุณชายสี่ตระกูลฉินก็โผล่เข้ามา ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลโอวหยาง ผู้บริหารระดับสูงของตระกูลฉินรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี
ฉินเจาก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มทายาทสายรอง เมื่อไม่มีสายเลือดของทายาทสายตรง เขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป
ทว่าตอนนี้ได้มีการเปิดเผยว่าทายาทสายตรงได้กลับมาแล้ว…
“ฉินซิวเฉินปิดข่าวฉินหลิงดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉินอวี่ พวกเราก็คงสืบไม่พบ นายให้คนเผยข่าวให้ฉินเจารู้ถือว่ามีไหวพริบดีนี่” คุณชายสี่ตระกูลฉินวางปากกาในมือลง เงยหน้าขึ้น ดวงตาเฉียบคม “ฉินเจาคนนี้ ดีไปหมดทุกอย่าง ลงมือโหดเหี้ยมไปหน่อย ทำอะไรผลีผลาม แบบนี้ถึงจะเป็นสไตล์ฉัน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้…ฉินซิวเฉินจะปล่อยเขาไปหรือไม่”
พอพูดมาจนถึงตอนท้าย เขาก็หัวเราะ ก้มหน้าหยิบพู่กันวาดลงไปทีละเส้น ฝึกคัดลายมืออย่างใจเย็น
**
วันจันทร์
ฉินหร่านมาถึงห้องปฏิบัติการตั้งแต่เช้า เวลาหกโมงครึ่ง
ตอนที่เธอเปลี่ยนชุดป้องกันเดินเข้าไป นักวิจัยเลี่ยวก็มาถึงนานแล้ว เขากำลังก้มหน้าปรับเครื่องเซนเซอร์
“เธอมาพอดีเลย นี่คือเครื่องชนอนุภาคT8-900” นักวิจัยเลี่ยวเว้นที่ให้ฉินหร่านและชี้ไปที่คอมพิวเตอร์สองสามเครื่องที่อยู่ด้านล่างถัดจากข้างลำตัว “ระบบควบคุมวงปิดที่ควบคุมโดยตัวควบคุม 18 ตัวได้ติดตั้งCPUสองเครื่องแล้ว”
ฉินหร่านติดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จก็เดินไปถึงด้านในสุดของห้องปฏิบัติการ เธอเงยหน้ามองเครื่องชนอนุภาคโปรตอน ด้านในมีลูปปิดประมาณ 300 ตัวสัญญาณเตือนประมาณ 600 ตัวและเซนเซอร์ตรวจจับรังสีเกือบ 20,000 ตัว
เธอเพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน รุ่นพี่เยี่ยกับจั่วชิวหรงก็ตามเข้ามา
“รุ่นน้อง วันนี้เธอมาเช้าจัง?” รุ่นพี่เยี่ยถืออุปกรณ์ทดลองมาจากห้องข้างๆ เมื่อเห็นฉินหร่านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฉินหร่านละสายตาจากเครื่องชนอนุภาค หลุบตาลงพลางพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “โครงการมีทิศทางใหม่ก็เลยมาลองทดสอบที่ห้องปฏิบัติการเสียหน่อย”
“เครื่องชนอนุภาค?” จั่วชิวหรงไม่ได้สนใจสองคนนั้น สายตาเธอเคลื่อนมาทางอุปกรณ์ทดลอง พูดด้วยความตกใจ “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เครื่องชนอนุภาควัสดุโลหะที่เป็นที่ต้องการค่อนข้างขาดแคลน ในโลกนี้มีอยู่ไม่มาก อุปกรณ์ประเภทนี้มีเฉพาะในสถาบันวิจัยเท่านั้น การที่จู่ๆ ก็โผล่อยู่ในห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์อย่างตอนนี้ อย่าว่าแต่จั่วชิวหลงเลย เพราะแม้แต่รุ่นพี่เยี่ยก็ตกใจเช่นกัน
“สถาบันวิจัยจัดสรรมาให้ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์น่ะ” นักวิจัยเลี่ยวยังคงพูดเรียบๆ เขาเหลือบมองฉินหร่าน “เป็นทรัพยากรที่รุ่นน้องของพวกเธอช่วงชิงมาได้”
การประเมินห้องปฏิบัติการในแต่ละปีจะมีรางวัลให้แก่นักศึกษาที่โดดเด่น
ได้ยินนักวิจัยเลี่ยวพูดมาขนาดนี้
รุ่นพี่เยี่ยก็นิ่งไป จากนั้นก็มองฉินหร่าน “รุ่นน้อง การประเมินห้องปฏิบัติการปีนี้เธอทำอะไรไปบ้าง?”
ฉินหร่านกระแอม “ไม่มีอะไร”
จั่วชิวหรงที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ขณะที่รุ่นพี่เยี่ยคุยกับฉินหร่าน นักวิจัยเลี่ยวก็ยื่นมือประคองแว่นตาพลางมองทั้งสามคนที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ “เมื่อวานฉันยื่นคำร้องลงไปดูเครื่องปฏิกรณ์ที่ชั้นใต้ดินอีกครั้ง คาดว่าคงได้รับแจ้งภายในสองวันนี้ พวกเธอสามคนเตรียมตัวกันให้พร้อม”
จั่วชิวหรงอึ้งเมื่อฟังจบ “นักวิจัยเลี่ยว?”
รุ่นพี่เยี่ยคิดได้สักพักก็ตอบสนอง เขาเอามือปิดปาก หัวเราะเบาๆ “รุ่นน้อง นี่พวกเราอาศัยบารมีเธอสินะ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ได้ไปดูเครื่องปฏิกรณ์เป็นครั้งที่สอง”
เขารู้ว่านักวิจัยเลี่ยวให้ความสำคัญกับฉินหร่าน การยื่นคำร้องเครื่องปฏิกรณ์คราวนี้ก็ต้องเป็นเพราะฉินหร่านอย่างแน่นอน
รุ่นพี่เยี่ยเพิ่งพูดจบ นักวิจัยเลี่ยวก็หันกลับมา มือเขาพาดที่ขอบโต๊ะพลางมองมาทางฉินหร่านและกล่าวข้อควรระวัง “เธอเตรียมตัวให้ดี...”
เมื่อจั่วชิวหรงที่หอบคอมพิวเตอร์ไว้ในมือเห็นนักวิจัยเลี่ยวกำลังคุยกับฉินหร่าน เธอก็จับคอมพิวเตอร์แน่นขึ้นจนนิ้วเป็นสีขาว
จนกระทั่งนักวิจัยเลี่ยวพูดจบ จั่วชิวหรงก็ถึงจะเปิดคอมพิวเตอร์เดินมาข้างๆ นักวิจัยเลี่ยว “นักวิจัยเลี่ยว คุณช่วยดูบทความให้ฉันหน่อยสิคะ ถ้าไม่มีส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว ฉันจะได้ส่งไป”
นักวิจัยเลี่ยววางของที่อยู่ในมือ รับคอมพิวเตอร์จั่วชิวหรงมาวางที่โต๊ะข้างๆ ค่อยๆ เปิดอ่าน
จั่วชิวหรงมีความทะเยอทะยานอยู่เสมอ เนื้อหาที่สามารถให้นักวิจัยเลี่ยวดูได้ ย่อมไม่มีทางเป็นเนื้อหาที่ย่ำแย่อะไร นักวิจัยเลี่ยวอ่านจบก็ผงกหัว แสดงสีหน้าพึงพอใจเล็กน้อย “คราวนี้ไม่มีอะไรที่ต้องแก้แล้ว”
ในที่สุดจั่วชิวหรงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทันใดนั้นรุ่นพี่เยี่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันมามองฉินหร่าน “รุ่นน้อง ฉันจำได้ว่าคราวก่อนเธอก็เขียนบทความSCIไม่ใช่เหรอ? อย่าลืมว่าเขียนเสร็จแล้วก็ให้นักวิจัยเลี่ยวช่วยแก้ให้ด้วยล่ะ บทความที่นักวิจัยเลี่ยวแก้ให้ไม่มีทางโดนคัดออก”
ฉินหร่านพิงเก้าอี้ เธอจัดเรียงอุปกรณ์ทดลองอย่างระมัดระวัง นิ่งไปสักพักก็ไม่ได้ตอบ พูดอย่างคลุมเครือ “ขอบคุณรุ่นพี่เยี่ย”
จั่วชิวหรงที่ได้ยินทั้งสองคุยกันอยู่ข้างๆ มองไปทางฉินหร่าน “รุ่นน้อง เขียนเร็วๆ หน่อยนะ จะได้ทันวารสารฤดูกาลนี้”
**
กองบรรณาธิการฟิสิกส์และเคมีของวารสารSCI
บทความมากมายที่ส่งมาสัปดาห์ก่อนผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว บทความส่วนใหญ่ล้วนถูกปฏิเสธ หัวหน้ากองบรรณาธิการที่รับผิดชอบการตรวจสอบเบื้องต้นขมวดคิ้ว “ยังไม่เจอบทความคุณภาพเลยสักอัน”
บรรณาธิการบริหารที่อยู่ข้างๆ ไปยกกาแฟมาเสิร์ฟสองแก้ว แก้วหนึ่งให้หัวหน้าบรรณาธิการ “ผลการทดลองส่วนใหญ่ไม่เห็นความแปลกใหม่อะไรเลย แต่ดันพยายามอย่างมากในการสร้างคำสร้างประโยค”
คนที่ตีพิมพ์บทความSCIเหล่านี้อยู่ในกรอบมากเกินไป ระบบการประเมินค่าบทความSCIจึงปะปนไปด้วยชื่อเสียงและผลประโยชน์
หัวหน้าบรรณาธิการและบรรณาธิการบริหารตรวจทานต้นฉบับทุกวัน บทความส่วนใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการตกเป็นประเด็นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขียนออกมาเพียงเพื่อที่จะได้ตีพิมพ์บทความลงSCI ดังนั้นบทความที่ถูกตีพิมพ์ของปีที่แล้วจึงไม่ได้รับการอ้างอิง
หัวหน้าบรรณาธิการดื่มกาแฟ พยักหน้า “อ่านต่ออีกสักสองสามฉบับก็เลิกงานเถอะ”
เขาเอื้อมมือเปิดต้นฉบับในโฟลเดอร์
น้อยมากที่เขาจะเจอชื่อเอกสารแบบนี้ ——
(เครื่องปฏิกรณ์ในแบบฟิวชันบีบอัด)
หัวหน้าบรรณาธิการเห็นชื่อหัวข้อนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ วันนี้เขาเห็นชื่อหัวข้อคล้ายกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ในรอบสิบปีที่ผ่านมา เครื่องปฏิกรณ์ก็ยังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอด แต่เนื้อหาของนักศึกษาส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เป็นคำพูดโบราณคร่ำครึ ก็จะมีสีสันฉูดฉาด
เขาดื่มกาแฟไปอีกครั้งก่อนจะอ่านต่อ
“ที่สรุปมานี้…” หัวหน้าบรรณาธิการวางแก้วลงทันที เขาเอื้อมมือกดคิ้วแล้วรีบอ่านต่อ
ต่างจากต้นฉบับอื่นๆ ต้นฉบับนี้ไม่ได้ใช้คำสันธานที่สวยหรูเกินไป แต่โครงสร้างกลับสมบูรณ์แบบ ตรรกะแข็งแกร่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือมุมมองการวิจัยนั้นมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก
การทดลองนี้…
หัวหน้าบรรณาธิการพบไฟล์แนบและเปิดมันทันที ในนั้นไม่เพียงแค่วาดองค์ประกอบเครื่องแรงดัน แต่ยังแบ่งการทดลองออกเป็นหลายส่วนอย่างละเอียด รวมไปถึงการผลักดันพลังงาน…
“อัตราการใช้ประโยชน์ 52%…” เมื่อดูข้อมูลชุดสุดท้าย หัวหน้าบรรณาธิการก็เงยหน้าขึ้นทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรไปที่สถาบันวิจัยทางฟิสิกส์ที่รัฐ M
การจัดทำวารสารเป็นการร่วมมือระหว่างห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์หลากหลายประเทศ
โทรศัพท์ดังได้ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ผมจะส่งบทความฉบับหนึ่งให้พวกคุณ” ขณะถือโทรศัพท์ หัวหน้าบรรณาธิการก็ส่งเนื้อหาทั้งหมดในโฟลเดอร์ไปด้วย “พวกคุณลองอ่านผลการทดลองนี้ดูซิ มีความเป็นไปได้หรือเปล่า”
ผลการทดลองเหล่านี้มีนักศึกษาหลายคนชอบแอบอ้างสถิติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ
กองบรรณาธิการเข้มงวดกับข้อกำหนดเหล่านี้มาก ไม่ใช่ว่าเขียนผลลัพธ์ขึ้นมามั่วๆ แล้วพวกเขาจะเชื่อ
น้ำเสียงของเขาฟังดูประหม่าไปหน่อย ผู้ดูแลสถาบันวิจัยทางฟิสิกส์ที่รัฐ M ถึงกับอึ้ง “ผลการทดลองอะไร?”
“อัตราการแปลงพลังงานที่สูงถึง 52%” หัวหน้าบรรณาธิการกล่าวอย่างจริงจัง “อัตราการแปลงพลังงานสูงสุดที่พวกเราทำกับเครื่องปฏิกรณ์ตอนนี้อยู่ที่ 42% เอง ถ้าการทดลองนี้ทำลายสถิติได้ การวิจัยด้านพลังงานก็จะมีแนวทางใหม่ในการวิจัยแล้ว”
“52%?” คนของรัฐ M ก็มีสีหน้าตกตะลึง เขาเปิดอีเมลรวบรวมเอกสารแล้วกวาดตาอ่าน “นี่ห้องปฏิบัติการที่ไหนที่ทำวิจัยนี้ออกมา ไม่เห็นมีข่าวคราวเลยสักนิด…คุณรอสักครู่ ผมจะเอาไปให้ศาสตราจารย์ดูก่อน”
หัวหน้าบรรณาธิการวางสายและเปิดช่องทางการติดต่อเบื้องต้นของฉินหร่าน มีเพียงที่อยู่และอีเมลเท่านั้น เขาส่งอีเมลให้ฉินหร่านไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
บรรณาธิการบริหารเดินมา “คุณเจอบทความอะไร ถึงกับต้องให้สถาบันวิจัยยืนยันผลเลยเหรอ?”
หัวหน้าบรรณาธิการได้แต่ส่งบทความของฉินหร่านให้เขาอ่าน
หลังจากบรรณาธิการบริหารอ่านจบก็ถึงกับผงะไปทั้งตัว “ถ้าเป็นความจริง…ก็ถือว่าเป็นบทความที่มีคุณภาพที่สุดเท่าที่พวกเราได้รับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน วงการฟิสิกส์จะมีข่าวใหม่แล้ว”
หัวหน้าบรรณาธิการหยิบบุหรี่จากกระเป๋าพลางผงกหัว ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเลย แม้จะถึงเวลาเลิกงานก็ยังไม่ไปไหน
แต่กำลังรอสายโทรศัพท์
เวลาเที่ยงครึ่ง โทรศัพท์ในสำนักงานก็ดังขึ้น
หัวหน้าบรรณาธิการรีบวิ่งเข้าไปรับสาย