เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 433 เจ๊หร่าน : ฉันพิจารณาดีแล้ว
ทันทีที่รับสาย หัวหน้าบรรณาธิการก็เอ่ยขึ้นมาแทบรอไม่ไหว “ผลเป็นยังไงบ้างครับ?”
“พวกเราทำการทดลองมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรก49.2% และอีกครั้งคือ 51.3%” ปลายสายคือศาสตราจารย์ประจำสถาบันวิจัยแห่งรัฐ M น้ำเสียงเขาฟังดูเคร่งขรึม “ทีมไหนที่ทำการวิจัยบีบอัดนี้ออกมา พวกคุณติดต่อเขาได้ไหม?”
เนื้อหาในวารสารฉบับนี้ยังไม่มีข้อสรุป หัวหน้าบรรณาธิการและบรรณาธิการบริหารทำงานล่วงเวลาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้า และตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงกระปรี้กระเปร่า ดูไม่ออกว่าเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ผลการทดลองแต่ละครั้งจะแตกต่างกันเนื่องจากปริมาณคลาดเคลื่อนหรือปัจจัยต่างๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผลการทดลองที่ต่ำสุดจะอยู่ที่ 49.2% ก็ยังสูงกว่า 42% อยู่มาก นี่จึงนับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในด้านพลังงานนิวเคลียร์โดยไม่ต้องสงสัย
หัวหน้าบรรณาธิการนั่งบนเก้าอี้ ถอนหายใจออกมา “ผมก็ไม่ทราบช่องทางการติดต่อที่เฉพาะเจาะจง แต่ผมส่งอีเมลให้อีกฝ่ายไปแล้ว ถ้าผู้เขียนตอบกลับมา ผมจะรีบแจ้งให้คุณทราบนะครับ”
ทางฝั่งศาสตราจารย์จึงวางสายไป
หัวหน้าบรรณาธิการยังนั่งบนเก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อบรรณาธิการบริหารเห็นหัวหน้าบรรณาธิการไม่พูดไม่จาก็อดไม่ได้ที่จะเดินอ้อมโต๊ะมาหาเขา จ้องเขาอย่างเป็นกังวล “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงกันแน่ ผลการยืนยันถูกต้องหรือไม่ ? !”
พอได้ยินเสียงบรรณาธิการบริหาร หัวหน้าบรรณาธิการก็เงยหน้าขึ้นอย่างมึนๆ เขาร้อง “อ๊า” ด้วยความงงงวย ได้สติกลับมา
“ผลลัพธ์ไม่ได้คลาดเคลื่อนกันมาก บทความนี้ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบซ้ำ” หัวหน้าบรรณาธิการหยิบเมาส์และคลิกเปิดอีเมล เขาตรวจสอบอีเมลของตัวเองทีละรายการก็พบว่าคนคนนั้นยังไม่ตอบกลับมา “คุณจัดการให้หน่อย บทความวารสารประเภทที่หนึ่งฉบับล่าสุดของเราจะเปลี่ยนเป็นบทความนี้!”
“ประเภทที่หนึ่ง?” บรรณาธิการบริหารเงยหน้ามองมาทางหัวหน้าบรรณาธิการ
บทความSCIก็มีการจัดประเภทเช่นกัน
ทุกครึ่งเดือนจะมีการตีพิมพ์หนึ่งฉบับ ซึ่งบทความจะแบ่งออกเป็นประเภทที่หนึ่ง ประเภทที่สอง ประเภทที่สาม และยังมีบทความทั่วไป
นอกจากปัจจัยกระทบ[1]หลังจากตีพิมพ์บทความออกไปแล้ว การประเมินศักยภาพก่อนเผยแพร่ก็มีความสำคัญเช่นกัน
ปัจจุบันบทความที่กองบรรณาธิการได้รับเป็นส่วนใหญ่คือบทความทั่วไป บทความงานวิจัยประเภทที่สองและสามมีเพียงแค่10%เท่านั้น ส่วนบทความประเภทที่หนึ่ง โดยหลักแล้วจะมีแค่พวกศาสตราจารย์ระดับนักวิจัยเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งในแต่ละเดือนอาจทำได้แค่เลือกหนึ่งในไม่กี่ร้อยบทความออกมาตีพิมพ์
ซึ่งบทความประเภทที่หนึ่งจะถูกตีพิมพ์ลงบนหน้าปก รวมไปถึงตีพิมพ์พร้อมกับวารสารสิ่งพิมพ์ประเภทอื่น
นี่จึงเป็นของล้ำค่าและหายาก
บางครั้งก็หาบทความประเภทที่หนึ่งไม่ได้เลยตลอดทั้งเดือน
ในหนึ่งปีก็พบไม่ถึงยี่สิบบทความ
หลังจากบทความประเภทที่หนึ่งเผยแพร่ออกไป ปัจจัยกระทบที่น้อยที่สุดก็จะอยู่ที่ประมาณ9
ในแวดวงวิชาการจะประเมินผลการดำเนินงานของบุคคลผ่านการพิจารณาบทความSCI แต่ระบบยังจำเป็นต้องมีบทความประเภทที่หนึ่งมาสนับสนุนบารมีพวกเขา
“ใช่ ประเภทที่หนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนในวงการฟิสิกส์ที่สามารถทำลายสถิติขีดจำกัดพลังงานได้” หัวหน้าบรรณาธิการดูอีเมลทั้งหมดเสร็จแล้วก็ยังไม่เจออีเมลชาวจีนคนนั้นตอบกลับมา เขาอดสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้ “บทความนี้จะทำให้พวกที่บ้าการวิจัยพวกนั้นและห้องปฏิบัติการที่สำคัญหลายแห่งสั่นสะเทือน…ฉินหร่าน…แปลกจัง ผมหาข้อมูลอื่นของเธอไม่เจอเลย เธอเป็นหน้าใหม่ในวงการฟิสิกส์?”
ขณะนี้ในหัวของหัวหน้าบรรณาธิการก็เต็มไปด้วยข้อสงสัย
เขาสามารถคาดเดาถึงความปั่นป่วนที่ตามมากับบทความฉบับนี้ได้ แต่เขากลับรอการตอบกลับจากชาวจีนคนนี้ไม่ไหวแล้ว
“คุณเขียนจดหมายตอบกลับ เราจะส่งมันไป” หัวหน้าบรรณาธิการยืนขึ้นทันทีพลางมองไปทางบรรณาธิการบริหาร “หาวิธีที่เร็วที่สุด”
**
ในเวลานี้ เธอยังคงวิจัยโครงการวิศวกรรมนิวเคลียร์อยู่ เฉิงเจวี้ยนเป็นคนนำอาหารกลางวันจากถิงหลานมาส่งให้เธอ ส่วนหนานฮุ่ยเหยาและคนอื่นๆ ก็กำลังรีบเร่งตอบกลับเรื่องงานวิจัย ทั้งสามต่างก็ไม่ได้เอาเรื่องเจียงซานอี้มารบกวนเธอ
เวลาสี่ทุ่มครึ่ง
ฉินหร่านเพิ่งออกจากประตูห้องปฏิบัติการ
เฉิงเจวี้ยนเห็นเธอนั่งฝั่งข้างคนขับพร้อมกับหรี่ตาลงคล้ายกับง่วงมาก เขาเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศภายในรถขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงขับรถกลับอย่างเงียบๆ
ที่จอดรถชั้นใต้ดิน เฉิงเจวี้ยนจอดรถ ฉินหร่านก็ยังไม่ตื่น
ภายในรถไม่ได้เปิดไฟ บริเวณที่จอดรถก็มืด มีเพียงไฟหน้ารถเท่านั้นที่เปิดอยู่ ฉินหร่านพิงหัวบนกระจกรถ เส้นผมดำขลับห้อยที่กรอบหน้า
เฉิงเจวี้ยนวางมือบนพวงมาลัยพลางเอียงหน้ามองเธออยู่นาน
โทรศัพท์ที่วางอยู่หน้ารถสว่างขึ้น เฉิงเจวี้ยนเคลื่อนมือด้วยความรวดเร็ว ขณะที่มันกำลังจะดังขึ้นก็หยิบมาตัดสาย
เขาก้มหน้ามองก็พบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ท้องถิ่นที่ไม่ได้บันทึกไว้
เฉิงเจวี้ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เปิดประตูรถลงไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปิดประตูเพื่อให้แน่ใจว่าฉินหร่านจะไม่ตื่น
เขาเปิดหมายเลขโทรศัพท์ที่เพิ่งโทรมาเมื่อสักครู่นี้แล้วต่อสายไปอีกครั้ง
“ดึกขนาดนี้แล้ว มีอะไร?” เฉิงเจวี้ยนลดเสียงลงทั้งๆ ที่ปิดประตูรถแล้ว เขาเดินถอยออกไปไม่กี่ก้าวและหยุดอยู่ที่ข้างเสา สายตามองไปที่กระจกรถ ค่อยๆ พูดออกมา
เสียงแก่ที่อยู่ปลายสายค่อนข้างเนิบนาบ แต่กลับพูดด้วยความเคารพ “ตอนนี้คุณสะดวกมาที่พิพิธภัณฑ์ไหมครับ?”
สายตาเฉิงเจวี้ยนยังคงมองไปทางที่รถจอดอยู่ พูดเบาๆ “ตอนนี้ไม่ได้”
อีกฝ่ายชะงัก “อย่างนั้น…คุณสะดวกช่วงไหนครับ?”
“พรุ่งนี้ช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย” เฉิงเจวี้ยนเงยหน้า ประตูฝั่งข้างคนขับเปิดออก เขาถอนหายใจ “มีอะไรค่อยคุยกันตอนที่ผมไปถึง”
คนที่อยู่ปลายสายทักทายเสร็จ เฉิงเจวี้ยนก็วางสาย
เขาเดินไปที่ข้างรถ เปิดประตูฝั่งคนขับ ก้มตัวถอดกุญแจแล้วล็อกประตูรถ
ฉินหร่านออกมาแล้วยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากหลับเพิ่งตื่น เธอจึงไม่ได้มีท่าทางเฉลียวฉลาด หาวอย่างเกียจคร้าน
“พิพิธภัณฑ์” เฉิงเจวี้ยนเดินมาหาพร้อมกับเงยหน้ามองเธอ “อยากไปไหม?”
ถ้าไม่มีอะไร ฉินหร่านจะต้องไปแน่
ทว่าช่วงนี้เธอไม่เพียงแต่ติดงาน แต่ยังมีธุระเยอะแยะมากมาย
ฉินหร่านเปลี่ยนมือที่ถือกองเอกสาร ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยไป”
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองกลับมาถึงชั้นบนก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
แน่นอนว่าเฉิงมู่ไม่อยู่ในเวลานี้ พ่อครัวก็เลิกงานไปนานแล้ว
ฉินหร่านโยนกองเอกสารไว้บนโต๊ะ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงเจวี้ยนเดินเข้าไปในครัว
ทันทีที่ประตูห้องครัวเปิดออก ฉินหร่านก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ
เธอเดินตามเฉิงเจวี้ยนเข้าไปก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้าเตา ในมือยังถือตะเกียบคู่หนึ่ง ค่อยๆ กวนโจ๊กในหม้อ เขาถอดเสื้อโค้ทตั้งแต่กลับมาถึงบ้านแล้ว เสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นเผยให้เห็นข้อมือบาง
ฉินหร่านเดินเข้าไปอีกหน่อย หลุบตามองของสีขาวที่อยู่ในหม้อ “หิวจัง”
“พ่อครัวทิ้งหม้อไว้น่ะ” เฉิงเจวี้ยนดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “ใกล้แล้ว”
เขาปิดไฟเสร็จก็เทโจ๊กลงไปในชาม ส่งสัญญาณให้ฉินหร่านหยิบช้อน
ในห้องครัวมีตู้อยู่ทุกที่ ฉินหร่านเปิดมาสองตู้ก็เป็นพวกเครื่องปรุง จากนั้นก็เปิดตู้ที่สามต่อ เฉิงเจวี้ยนรอได้สักพักก็ยังไม่เห็นเธอ เขาจึงกลับไปที่ห้องครัว พบว่าเธอยังคงเปิดหาอยู่ที่หน้าตู้หนึ่ง
ดูท่าทางเธอค่อนข้างหงุดหงิด
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอแล้วเดินกลับไปพลางหัวเราะ
เขาถือโจ๊กที่เทเสร็จแล้วเดินย้อนกลับมา เดินมาถึงข้างหลังเธอแล้วเปิดตู้ที่อยู่เหนือศีรษะอย่างใจเย็น
ด้านในมีถ้วยชาม ตะเกียบ และช้อนวางอยู่
ฉินหร่าน “…”
เธอนึกถึงคำพูดที่ฉินฮั่นชิวชมเฉิงเจวี้ยนขึ้นมา…
ตอนนี้ดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องโกหก
โจ๊กยังร้อนไปหน่อย ฉินหร่านนั่งกินอย่างช้าๆ อยู่ริมโต๊ะอาหาร
เฉิงเจวี้ยนนั่งข้างๆ เธอพลางเปิดดูเอกสารที่เธอเอากลับมา ในนั้นมีข้อมูลที่จำเป็นต้องเรียบเรียงอยู่หลายอย่าง บางส่วนพวกหนานฮุ่ยเหยาก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว และยังมีบางส่วนที่รอให้ฉินหร่านกรอก
“คุณอ่านเข้าใจไหม?” ฉินหร่านนั่งไขว่ห้างพลางถือช้อนเงยหน้ามองเขา
เฉิงเจวี้ยนเปิดหน้ากระดาษ เหลือบมองเธอแล้วตอบด้วยความเอื่อยเฉื่อย “พอได้”
เขาไม่ได้เรียนวิศวกรรมนิวเคลียร์หรือระบบอัตโนมัติเป็นวิชาเอก แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉินหร่านเข้าร่วมการประเมินจนถึงตอนนี้ เขาได้ช่วยฉินหร่านกรอกข้อมูลทุกคืน ด้วยการอยู่กับมันมามากจึงคุ้นเคยกับมันโดยธรรมชาติ
“รอเธอเรียนจบ ฉันไปสมัครสอบเอกที่สี่ที่ม.เมืองหลวงยังได้เลย” เฉิงเจวี้ยนเอื้อมมือไปหยิบปากกา ช่วยเธอจัดการกับกองเอกสารหนาๆ พวกนี้พลางพูดด้วยเสียงเรียบๆ
แต่ยังคงอวดดี
“คุณเรียนมาแล้วกี่เอกกันแน่?” ฉินหร่านกินโจ๊กจนเสร็จ
เธอเรียนเอกด้านระบบอัตโนมัติและรองในสาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ เธอมักจะโดนคณบดีเจียงและคนอื่นๆ ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เธอไปสอบ
“อะไรที่สนใจก็เรียนหมด ห้าหรือหกเนี่ยแหละมั้ง? และยังมีอีกสองที่ไม่ได้ใบรับรองการสอบ” เฉิงเจวี้ยนพูดเรียบๆ หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จก็วางเอกสารไว้บนมือเธอ “ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ขึ้นไปนอนเถอะ”
เขาถือชามและช้อนเข้าไปในครัว จากนั้นก็เดินออกมาหลังจากล้างเสร็จ
เขาเห็นฉินหร่านยังพิงอยู่ที่หน้าบันไดชั้นสองด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย ขายาวของเธอไขว้กัน มือหนึ่งกอดอก อีกมือหนึ่งถือเอกสาร เคาะราวจับบันไดอย่างสบายอารมณ์ แสงไฟที่ส่องลงมาทำให้หน้าตาเธอดูต่างออกไป
เฉิงเจวี้ยนดึงกระดาษมาเช็ดมืออย่างลวกๆ ขณะเดินไปหาเธอก็หลุบตาลง “ยังไม่ไปพักผ่อนอีก?”
“อ่า” ฉินหร่านยืนตัวตรง เธอเอียงศีรษะมองเฉิงเจวี้ยนที่เดินขึ้นมา “ฉันพิจารณาดีแล้ว”
[1] ปัจจัยกระทบ คือตัวชี้วัดความสำคัญและความน่าเชื่อถือของวารสารในสาขาวิชาการนั้นๆ