เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 438 เจ้าแห่งเมืองหลวง
พ่อบ้านฉินเดินไปขวางหน้าฉินหร่าน ใบหน้าเหี่ยวย่นที่แฝงไปด้วยคำวิงวอนกำลังมองมาที่เธอ มุมปากขยับ “อย่างน้อยคุณหนูจะต้องรอจนกว่าคุณชายหกกลับมาตอนบ่าย”
ที่สายของพ่อบ้านฉินอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีฉินซิวเฉินคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แม้เขาจะเป็นพ่อบ้าน แต่เส้นสายในมือก็ไม่ได้มีมากมายอะไร
พ่อบ้านฉินได้ติดต่อฉินซิวเฉินไปแล้วหลังจากที่เรื่องเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เมื่อไม่มีเขาอยู่ พ่อบ้านฉินแทบจะสูญเสียกำลังหลัก
พ่อบ้านฉินรู้ดีว่าคุณชายสี่ตระกูลฉินจะต้องเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุของฉินหลิง แต่ท้ายที่สุดก็ยังสาวไปไม่ถึงตัวคุณชายสี่ตระกูลฉินเหมือนเหตุการณ์ล่มสลายของทายาทสายตรงตระกูลฉิน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขากับอาเหวินและคนอื่นๆ เฝ้าระมัดระวังกันเป็นอย่างดี คิดไม่ถึงว่ายังจะเกิดเรื่องขึ้นได้
ฉินหร่านยืนอยู่หน้าลิฟต์โดยไม่พูดอะไร เธอหลุบตาลงอยู่นานกว่าจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่ทั้งเยือกเย็นและมืดมนในเวลาปกติย้อมไปด้วยสีเลือดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
ปกติเธอคร้านที่จะยุ่งเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ พ่อบ้านฉินไม่คุ้นกับเธอที่เป็นอย่างนี้เลย
ฉินหร่านหลับตานานได้สักพัก จากนั้นก็ลืมตาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไปโรงพยาบาลก่อน”
อาเหวินเป็นคนขับรถ
ฉินหร่านไม่ได้ขับรถตัวเอง เธอเปิดประตูเบาะหลัง
พ่อบ้านฉินนั่งฝั่งข้างคนขับ วันนี้เป็นวันเสาร์รถจึงไม่ค่อยเยอะ แทบจะไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทาง
ยี่สิบนาทีต่อมาก็มาถึงที่โรงพยาบาลในเครือสถาบันวิจัยทางการแพทย์
ห้องผ่าตัดฉุกเฉินชั้นสามของโรงพยาบาลในเครือ
ฉินฮั่นชิวกำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ใบหน้าซื่อๆ ในยามปกติดูเงียบขรึม ตาของเขาแดงเล็กน้อย เขามองไปทางห้องผ่าตัดอย่างสงบ
ไม่ไกลออกไปยังมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่กับเด็กผู้หญิงร่างอวบ
เด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะยังไม่ถึงเก้าขวบ ดวงตาทั้งดำทั้งสว่างไสว เธอดูนิ่งต่างจากคนทั่วไป มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวบีบแน่น
ข้างๆ พวกเธอมีตำรวจหญิงหนึ่งคนและชายอีกหนึ่งคน ทั้งสองคนกำลังจดบันทึกอยู่
พ่อบ้านฉินได้คุยกับฉินหร่านระหว่างทางมาโรงพยาบาลแล้วว่านี่เป็นอุบัติเหตุทางจราจร คนขับรถมีอาการลมบ้าหมูกำเริบและขณะนี้ก็กำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล
ฉินหร่านไม่ได้สนใจคนอื่น เธอเดินตรงไปที่หน้าห้องผ่าตัด
ในที่สุดฉินฮั่นชิวก็ขยับตัวเมื่อเจอฉินหร่าน คล้ายกับมีแรงขึ้นมาบ้าง “หร่านหร่าน…”
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง?” น้ำเสียงฉินหร่านยังถือว่าสงบ แม้จะลดเสียงเล็กน้อยแต่ก็ได้ยินชัดมากในบริเวณทางเดินที่เงียบสงัด
“มีหนังสือแจ้งผู้ป่วยภาวะวิกฤติมาแล้วครั้งหนึ่ง…” ฉินฮั่นชิวมองฉินหร่าน “ย้ายจากโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งมาที่นี่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
ตอนนั้นอยู่ใกล้โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง พวกเขาจึงส่งตัวฉินหลิงเข้าโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยตรง หลังจากโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งได้ออกหนังสือแจ้งผู้ป่วยภาวะวิกฤติก็แนะนำให้พวกเขาย้ายมาที่โรงพยาบาลในเครือสถาบันวิจัย
ฉินหร่านพยักหน้าอย่างเงียบๆ เธอยืนอยู่ข้างฉินฮั่นชิวราวกับตกอยู่ในภวังค์
จากนั้นก็ถือโทรศัพท์ไปที่สุดทางเดิน
“คุณหนู คุณจะไปทำอะไรครับ?” พ่อบ้านฉินสังเกตความเคลื่อนไหวฉินหร่านตลอดเวลา เมื่อเห็นฉินหร่านเดินไปอีกด้านก็รีบเอ่ยขึ้นมา
เขารู้นิสัยฉินหร่าน
ฉินหร่านไม่ได้หันไปตอบ พูดด้วยเสียงเย็นชา “เพื่อนฉันกำลังรอฉันอยู่ จะโทรหาเขาหน่อย”
เธอก็ไม่ได้โกหกพ่อบ้านฉิน พอมาถึงโรงพยาบาลก็เพิ่งนึกถึงลู่จ้าวอิ่งขึ้นมา จึงโทรหาเขา
ตอนนี้ยังไม่ถึงเก้าโมง
คุณแม่ลู่กำลังลองเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว
เธอเปลี่ยนเป็นชุดกี่เพ้าสีม่วง สวมเสื้อคลุมขนแคชเมียร์สีขาวอีกตัวแล้วออกมาถามลู่จ้าวอิ่ง
ลู่จ้าวอิ่งเหลือบมองเธอพลางขมวดคิ้ว “แม่ ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว วันนี้ฉินเสี่ยวหร่านมีธุระ”
“ธุระอะไร?” มือคุณแม่ลู่ที่จับเสื้อคลุมชะงัก เธอโยนเสื้อคลุมพาดไว้บนโซฟาข้างๆ หรี่ตาลง
ลู่จ้าวอิ่งส่ายหน้า สีหน้าไม่มีรอยยิ้มขี้เล่น เขาพูดเสียงเข้ม “น้ำเสียงเธอดูแปลกๆ ผมเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง”
ซึ่งครั้งนั้นเป็นช่วงที่ก่อนเฉินซูหลานจะเสียชีวิตที่อวิ๋นเฉิง
ลู่จ้าวอิ่งลุกจากโซฟา ขณะที่หยิบโทรศัพท์โทรหาเฉิงเจวี้ยนก็หยิบเสื้อคลุมเดินออกไปข้างนอก “แม่ ผมออกไปข้างนอกนะ”
เมื่อคุณแม่ลู่ที่คิดจะออกไปกับเขาเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึมก็คิดว่าอยู่บ้านจะดีกว่า
**
ทางฝั่งโรงพยาบาล
ฉินหร่านโทรเสร็จก็พิงกำแพง นิ่งไปนาน
มือที่จับโทรศัพท์แน่นขึ้น
เธออยู่แบบนั้นอีกนานกว่าจะถือโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดโทรศัพท์แล้วกดหมายเลขที่จะโทรออก เฉิงเจวี้ยนโทรเข้ามาที่หน้าโทรศัพท์
ไม่ไกลออกไป ประตูห้องผ่าตัดเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง รองศัลยแพทย์สวมชุดสีฟ้าเดินออกมาจากข้างใน
ในมือเขาถือกระดาษและกำลังคุยกับฉินฮั่นชิวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยง การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะและหัวใจมีความเสี่ยงสูงที่สุด ผมไม่สามารถรับประกันอะไรกับคุณได้ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดในฐานะหมอ”
ขนตาฉินฮั่นชิวขยับ ในช่วงเวลานี้สมองของเขาแจ่มแจ้งกว่าปกติ เขาถือปากกาและหยิบสัญญาลงนามการผ่าตัด เมื่อเห็นอัตราความสำเร็จข้างต้นก็ไม่กล้าเซ็น “จะมีผลข้างเคียงหลังจากการผ่าตัดไหมครับ?”
“การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะจะส่งผลต่อสติปัญญาของผู้ป่วย และโดยปกติแล้วจะฟื้นตัวในระยะเวลาสามเดือนถึงหกเดือน…” คุณหมอกล่าวอย่างมีมโนธรรม
พ่อบ้านฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าลงอ่านสัญญาในมือฉินฮั่นชิว
อัตราความสำเร็จ——
65%
ในหัวของเขาสับสนเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าทุกการผ่าตัดล้วนมีความเสี่ยง อัตราสำเร็จไม่มีทางถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเสี่ยง35%นี่มัน…
นี่จึงเป็นเหตุผลที่พ่อบ้านฉินกับฉินฮั่นชิวไม่กล้าเซ็น
คนเป็นหมอเผชิญกับสถานการณ์ประเภทนี้มาไม่น้อย จึงไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก พอถึงช่วงเวลาสุดท้ายครอบครัวผู้ป่วยเหล่านี้ก็จะเซ็นสัญญาในท้ายที่สุด
ฉินฮั่นชิวมีสีหน้าเคร่งเครียด มือสั่นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะหยิบปากกาเซ็นลงไป ก็มีใครบางคนดึงกระดาษออกไป
เขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นฉินหร่าน
ในที่สุดฉินฮั่นชิวก็ทนไม่ไหว พิงกำแพง
มือฉินหร่านถือโทรศัพท์ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือแบบฟอร์มสัญญา เธอก้มหน้าอ่านอัตราความสำเร็จในนั้น
พ่อบ้านฉินกับฉินซิวเฉินต่างก็มองไปทางฉินหร่าน แม้ทั้งสองจะไม่กล้าเซ็น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเซ็นอยู่ดี
รองศัลยแพทย์มองฉินหร่าน “นี่เป็นอัตราความสำเร็จที่สูงที่สุดในเมืองหลวงแล้ว…แน่นอนว่ามีชายคนหนึ่งที่มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าเกือบ100% แต่เขาค่อนข้างแปลก เดือนนึงจะผ่าตัดแค่หนึ่งครั้งเท่านั้นและยังชอบผ่าตัดโรคที่รักษายากอีกด้วย…ผู้อำนวยการของเราก็มีอัตราความสำเร็จในการผ่าตัด 90% แต่ว่า…”
“ใคร ? !” ฉินฮั่นชิวราวกับมองเห็นแสงสว่าง
พ่อบ้านฉินได้ยินช่วงตอนต้นก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เมื่อฟังมาจนถึงตอนท้ายก็รู้แล้วว่าคุณหมอหมายถึงใคร
ไม่พูดถึงว่าคนคนนั้นที่พูดในตอนต้นไม่ต้องการชื่อเสียงเงินทอง แค่ตกลงว่าจะทำการผ่าตัดเดือนละครั้ง เคสผ่าตัดในมือของเขาก็เหมือนจะต่อคิวยาวไปจนถึงปีหน้านู่นแล้ว อำนาจฝ่ายไหน?
ทั้งเมืองหลวง นอกจากตระกูลสวี ใครก็ไม่อาจเขย่าขวัญตำแหน่งเจ้าพ่อตระกูลเฉิงได้
ผู้อำนวยการ…
ถ้าจะนัดเขาต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือน การที่จะเชิญเขามาในท่ามกลางภาวะวิกฤติแบบนี้…
แม้จะเป็นยุคที่ตระกูลฉินรุ่งเรืองก็ไม่มีความเป็นไปได้เลย…
พ่อบ้านฉินเม้มริมฝีปาก พูดด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “นายน้อยสอง คุณเซ็นเถอะครับ…ท่านนั้น…เป็นไปไม่ได้…”
“ไม่ต้องเซ็น” ฉินหร่านวางสายพร้อมกับพูดเรียบๆ
รองศัลยแพทย์อึ้ง “คุณว่าอะไรนะ”
ฉินหร่านไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่มองไปทางด้านหลังสามคนนี้อย่างเงียบๆ
ด้านหลังพวกเขา ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นสาม มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่ด้านในเดินกรูออกมาคล้ายกระแสน้ำ
นำโดยชายที่สวมเสื้อกาวน์ ผมสั้นเกรียนแซมด้วยผมขาว บนตัวมีกลิ่นอายความเยือกเย็น
ในมือยังถือประวัติการรักษาอยู่ชุดหนึ่ง
เขาเดินมาที่ทางเดิน มองไปรอบๆ ก็พบฉินหร่าน
เดินตรงมาหาเธอ
รองศัลยแพทย์และพยาบาลในห้องผ่าตัดพูดด้วยความตกใจ “ผู้อำนวยการ?”
ผู้อำนวยการพยักหน้ามาทางพวกเขา ย้ายสายตามองมาทางฉินหร่าน “คุณหนูฉิน ผมคือเฉิงเว่ยผิง พ่อของชิงอวี่”
ฉินหร่านพยักหน้าให้เขา ก่อนหน้านี้เคยเจอที่บ้านตระกูลเฉิงมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอยื่นใบรายการในมือส่งให้เขา
“คุณชายเจวี้ยนจะมาถึงเมื่อไหร่ครับ?” เฉิงเว่ยผิงให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ เข้าไปในห้องปฏิบัติการก่อน จากนั้นก็มอบเสื้อคลุมสีขาวให้ฉินหร่าน ถามเบาๆ
ฉินหร่านสวมเสื้อคลุมเสร็จแล้ว คิ้วบางของเธอราวกับท้องฟ้าก่อนเกิดพายุฝน “อีกสิบนาที”
เฉิงเว่ยผิงพยักหน้า เขาพาฉินหร่านเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด “ผมได้ให้โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งส่งข้อมูลของน้องชายคุณมาเมื่อสักครู่นี้แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะพาคุณไปดูน้องชายคุณก่อน”
นี่เป็นคำสั่งของเฉิงเจวี้ยน
ฉินหร่านยังไม่ได้พบฉินหลิงตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้
เธอติดกระดุมเสื้อกาวน์ที่อยู่ชั้นนอก มองฉินฮั่นชิวด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก “หนูจะเข้าไปดูสถานการณ์ก่อน”
พอพูดจบก็เดินตามเฉิงเว่ยผิงเข้าไปข้างใน
นอกประตูห้องผ่าตัดที่เงียบสงบเริ่มมีคนพลุกพล่าน
มีกลุ่มของหมอและพยาบาลเดินกันขวักไขว่
หลังจากผ่านไปได้ห้านาทีก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินมา เธอดึงผ้าปิดจมูกลง “คุณฉิน พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ น้องที่อยู่ข้างในปลอดภัยดี”
ฉินฮั่นชิวที่ยืนอยู่ข้างนอกกับพ่อบ้านฉินและพวกอาเหวินเวียนหัวเล็กน้อย
เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นติดต่อกันทำให้พวกเขาเกิดอาการสับสน
แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เมื่อกี้ คนที่ตามคุณหนูเข้าไป…คือผู้อำนวยการ?” ผ่านไปครู่หนึ่ง อาเหวินก็มีการตอบสนอง เขามองไปที่พ่อบ้านฉิน
พ่อบ้านฉินก็รู้สึกตัวมาบ้างแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่เคยเจอเฉิงเว่ยผิงมาก่อน แต่ได้ยินคณะแพทย์และพยาบาลเรียกเขาว่าผู้อำนวยการ ตอนนี้จึงอยู่ในอาการมึนๆ งงๆ “ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น…”