เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 440 การกลับมาของซุปตาร์ฉิน สองยักษ์ใหญ่แห่งสถาบันวิจัย
- Home
- เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
- ตอนที่ 440 การกลับมาของซุปตาร์ฉิน สองยักษ์ใหญ่แห่งสถาบันวิจัย
เสียงทุ้มลอยมาจากทางด้านหลัง
พ่อบ้านฉินกับฉินฮั่นชิวและคนอื่นๆ มองไปทางต้นเสียง
สีหน้าคนพูดแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไทลายสีแดงห้อยคอหลวมๆ ต่างหูสะท้อนแสงเย็นอยู่บนทางเดิน น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับฟังดูเยือกเย็น
ข้างๆ ยังมีคนตามมาอีกสามคน
ตำรวจท้องถิ่นหันไปมอง เขาไม่รู้จักลู่จ้าวอิ่งแต่กลับรู้จักผู้กองห่าวที่อยู่ข้างลู่จ้าวอิ่ง หน้าถอดสี “ผู้กองห่าว?”
ผู้กองห่าวพยักหน้าเล็กน้อย เขายื่นมือมา “เอาบันทึกมาให้ฉัน กลับไปบอกหัวหน้าสันติบาลย่อยของพวกคุณด้วยว่าเราจะรับทำคดีนี้เอง”
ตำรวจท้องถิ่นรีบยื่นบันทึกในมือให้ผู้กองห่าวทันที “ถ้าไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว พวกเราขอตัวนะครับ”
“อือ” ผู้กองห่าวก้มหน้าเปิดบันทึก
ตำรวจท้องถิ่นรีบพาตำรวจฝึกหัดที่อยู่ข้างๆ ไป
ตำรวจฝึกหัดกระซิบถามเมื่อเข้าไปในลิฟต์แล้ว “คนพวกนั้นเมื่อกี้นี้เป็นใคร?”
“รู้จักกองสืบสวนอาชญากรรมเมืองหลวงไหม?” ตำรวจท้องถิ่นมองเขา
ตำรวจฝึกหัดผงะ เขาอ้าปากค้าง “นั่นก็คือกองพันที่ร่วมมือกับ129 มีอัตราสะสางคดีสูงถึง100%?”
นี่คือหน่วยงานที่คนเรียนการสืบสวนอาชญากรรมอยากเข้ามากที่สุด แต่การที่จะเข้ากองพันนั้นไม่เพียงต้องมีคุณสมบัติและประสบการณ์ที่โชกโชน…
“พวกเขามารับคดีเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง…” ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง ตำรวจฝึกหัดก็ยังพูดต่อ
ตำรวจท้องถิ่นคลุกคลีอยู่วงสังคมเมืองหลวงมานานแล้ว ย่อมรู้ดีว่ากองกำลังบางส่วนมีความลึกลับซับซ้อน เขาส่ายหน้าลดเสียงพูด “อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เพิ่งเกิดบังเอิญซะขนาดนี้ กล้องวงจรปิดตรงทางแยกก็มาเสียพอดี…กลัวก็แต่ว่าจะมีตระกูลบางตระกูลชักใยอยู่เบื้องหลัง”
ตำรวจฝึกหัดอึ้ง “แต่ว่า…คนขับรถคนนั้นเป็นลมบ้าหมูไม่ใช่เหรอ…”
“นายยังเด็ก ดูไปก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าคนที่ลงมือรู้หรือไม่ว่าครอบครัวของเด็กคนนี้ยังเชิญมาได้แม้กระทั่งทีมของผู้กองห่าว” ตำรวจท้องถิ่นพูดด้วยความตื่นเต้น “เทพเซียนทะเลาะกัน คาดว่าคงได้ข้อสรุปในไม่ช้า…”
ขณะที่ตำรวจท้องถิ่นสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่
ทางด้านห้องผู้ป่วย
ลู่จ้าวอิ่งฟุบบนหน้าต่างมองไปที่ห้องผู้ป่วย ไม่กล้าเข้าไป มือฉินหลิงต่อสายน้ำเกลือทั้งสองข้างอยู่ในห้องผู้ป่วย
“ผู้กองห่าว คุณสืบให้ผมด้วยว่าใครเป็นคนลงมือ” ลู่จ้าวอิ่งหันไปด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาเห็นฉินหร่านเป็นน้องสาว แน่นอนว่าย่อมเห็นฉินหลิงเป็นน้องชาย
ผู้กองห่าวพยักหน้า ลู่จ้าวอิ่งเชิญเขามาจากกองพันโดยเฉพาะ เขารู้ตั้งแต่อยู่ระหว่างทางมาแล้วว่านี่คือน้องชายฉินหร่าน “เรื่องนี้คุณวางใจได้”
ลู่จ้าวอิ่งเพิ่งมองมาทางฉินฮั่นชิว “คุณอาฉิน…”
“ฉันรู้แล้ว นายคือพี่ลู่ที่เสี่ยวหลิงพูดถึงสินะ โทรศัพท์เขายังมีรูปที่ถ่ายกับนายอยู่ด้วย” ฉินฮั่นชิวเม้มปาก
“เรื่องเสี่ยวหลิง คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ขณะนี้ลู่จ้าวอิ่งพูดโดยไม่สนใจอะไร “ผมกับผู้กองห่าวจะไปดูฉินเสี่ยวหร่านเสียหน่อยแล้วจะตรงไปที่เกิดเหตุ”
พอพูดจบ เขากับผู้กองห่าวก็จากไป
ขณะรอลิฟต์ ทั้งสองก็พูดคุยกันไปด้วย
“คุณชายลู่ ที่เกิดเหตุเรียบร้อยดีไหม?” ผู้กองห่าวยังคงเปิดบันทึก
ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า พูดเสียงเข้ม “ผมพาคนไปปิดถนนและที่เกิดเหตุตั้งแต่ตอนเก้าโมงเช้าแล้ว เฉิงมู่ปิดถนนช่วงนั้นไว้แล้ว”
เขาคุยโทรศัพท์กับเฉิงเจวี้ยนเสร็จก็ไปปิดถนน จากนั้นก็ไปตามเฉิงมู่
“ปิดถนนไปช่วงนึง ? ?” แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้กองห่าวก็ยังอดไม่ได้ที่กระตุกมุมปาก “พวกคุณทำกันน้อยๆ หน่อยได้ไหม ปิดแค่ปากทางก็พอแล้ว…”
“……”
พ่อบ้านฉินไม่พูดออกมาสักประโยคตั้งแต่ต้นจนจบ แค่ฟังลู่จ้าวอิ่งคุยกับฉินฮั่นชิวและได้ยินบทสนทนาที่ลู่จ้าวอิ่งคุยกับผู้กองห่าว เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินฮั่นชิว “นายน้อยสอง คนพวกนั้นที่มาเมื่อกี้…”
ฉินฮั่นชิวเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไป ดูสงบเสงี่ยมกว่าพ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ “พวกนั้นเป็นเพื่อนหร่านหร่าน”
เขาเข้าไปแล้ว พ่อบ้านฉินถึงจะสบตากับอาเหวิน
ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยเผยตัวในเมืองหลวง แต่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิง พ่อบ้านฉินยังเคยได้ยินชื่อเสียงของลู่จ้าวอิ่งมาบ้าง ทันทีที่ได้ยินว่าคุณชายลู่ ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นคนตระกูลลู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงในเมืองหลวงที่นับวันก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้ แต่พ่อบ้านฉินก็เคยได้ยินมาหมดแล้ว
นี่ฉินหร่าน…
ทั้งสองพูดไม่ออกสักประโยค
**
ชั้นบน
เฉิงเจวี้ยนและเฉิงเว่ยผิงยังคงอยู่ในห้องประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการรักษาผลข้างเคียงและการใช้ยา
ฉินหร่านนั่งเก้าอี้อยู่หลังสุด
การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะส่งผลกระทบต่อสติปัญญาเป็นอย่างมากหากฟื้นตัวได้ไม่ดี เฉิงเจวี้ยนระมัดระวังในเรื่องนี้มาก เขาจึงคัดกรองยาทีละตัว และเนื่องจากฉินหลิงยังเด็ก จึงไม่สามารถทานยาที่มีฮอร์โมนมากเกินไปได้
“ยาจากสถาบันวิจัยได้ผลดี แต่มีฮอร์โมนซะส่วนใหญ่” เฉิงเว่ยผิงหยิบปากกาดำแล้วขีดฆ่ายาตัวหนึ่ง “ผมติดต่อทางฝั่งสถาบันวิจัยแล้วครับ ตอนนี้มีแค่คุณกู้เท่านั้นที่วิจัยการใช้ยา แต่เขาปิด…”
เฉิงเว่ยผิงพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว
เฉิงเจวี้ยนเคาะนิ้วบนโทรศัพท์ มองหน้าฉินหร่านที่อยู่ไกลออกไป
ฉินหร่านไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบโทรศัพท์แล้ววิดีโอคอลหากู้ซีฉือโดยตรง
กู้ซีฉือกำลังง่วนอยู่กับการทดลอง แต่มีเพียงวิดีโอคอลจากฉินหร่านเท่านั้นที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้
“โทรหาฉันเวลานี้เนี่ยนะ?” ในกล้อง กู้ซีฉือกำลังสังเกตจุลินทรีย์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ เดิมทีเขายังยิ้มร่าไปที่กล้อง แต่ทันทีที่เห็นหน้าเฉิงเจวี้ยนในกล้อง รอยยิ้มก็หายไปสามส่วน “รุ่นพี่?”
เฉิงเจวี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ วางปากกาลง “ที่นายมียาทดลองไหม?”
“ไม่มี…”
กู้ซีฉือยังพูดไม่ทันจบ เฉิงเจวี้ยนก็พูดตัดบท “เสี่ยวหลิงจำเป็นต้องใช้ยา น้องชายเธอน่ะ”
กู้ซีฉือมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อฟังเสร็จ
เขารู้ดีว่าที่ฉินหร่านวิดีโอคอลมาหาเขาจะต้องเกิดเรื่องเป็นธรรมดา แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นน้องชายเธอ
และคิดไม่ถึงว่าถึงขนาดต้องใช้ยาทดลอง เขาวางกล้องจุลทรรศน์ลง เดินไปตรงหน้ากล้องแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใบหน้าที่หล่อเหลาสงสัยเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ฉันจะส่งไปให้ทันที เอ๊ะ จริงด้วย ผ่านมาตั้งปีนึงแล้ว ที่ตาเฒ่านั่นจะต้องมีอยู่ในสต็อกแน่ๆ ฉันต้องกลับไปรัฐ M อีกสักรอบไหม?”
เขาพูดไปด้วยและเปิดประตูห้องทดลองไปด้วย
ดูเหมือนจะเดินออกไปข้างนอก
“ฉันเพิ่งผ่าตัดเปิดกะโหลกเสร็จ ต้องการให้นายมาดูอาการข้างเคียงช่วงพักฟื้น” เฉิงเจวี้ยนคิดพลางขมวดคิ้ว “นายไม่จำเป็นต้องกลับรัฐ M หรอก ตอนเย็นฉันจะโทรคุยกับอาจารย์เอง”
“ได้” กู้ซีฉือออกจากประตูใหญ่ เดินลงมายังที่จอดรถชั้นใต้ดิน “เสี่ยวหร่านเอ๋อร์ยังโอเคอยู่ไหม?”
เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่าน ไม่ได้ตอบกลับไป พูดแค่ว่า “นายมาที่นี่ก่อนเถอะ”
ทั้งสองวางสาย
เฉิงเจวี้ยนวางปากกา นำสิ่งที่จดในมือยื่นให้เฉิงเว่ยผิง “เดี๋ยวกู้ซีฉือจะมาแล้ว คุณมอบให้เขาได้เลย”
ขณะที่พูดก็ถอดเสื้อนอกและชุดพิเศษสีขาววางไว้บนโต๊ะประชุม หันมามองฉินหร่าน แววตาเข้มขึ้น “พวกลู่จ้าวอิ่งกำลังอยู่ในที่เกิดเหตุ ไปกันเถอะ”
ไม่ว่าจะวางแผนอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้แนบเนียนเพียงใด ก็มักจะหลงเหลือร่องรอยไว้ที่เกิดเหตุอยู่เสมอ
ทั้งสองออกจากประตูห้องประชุม คณะแพทย์ที่นั่งริมโต๊ะประชุมต่างก็กลับมารู้สึกตัว
“ผู้อำนวยการ เมื่อกี้คุณชายสามบอกว่าคุณกู้ก็จะมาด้วยเหรอครับ?” ดอกเตอร์หลายคนอดมองไปทางเฉิงเว่ยผิงไม่ได้
เฉิงเว่ยผิงพยักหน้า “พวกเราลงไปรับคุณกู้กันเถอะ”
พอพูดจบ คนในที่ประชุมก็ลุกขึ้นทันที เสียงของพวกเขากำลังระงับความตื่นเต้น “นี่ฉันจะได้เจอกู้ซีฉือจริงๆ แล้วเหรอเนี่ย?”
“วันนี้สองยักษ์ใหญ่ของสถาบันวิจัยออกมากันหมดเลยเหรอ?”
“ผมรู้จักผู้ป่วยคนนั้น นั่นคือหลานชายฉินซิวเฉินในรายการวาไรตี้นั่น…”
“คุณหนูฉินเมื่อสักครู่นี้” ชายวัยกลางคนที่แขวนป้ายหัวหน้าแผนกเก็บสายตา “ลูกสาวผมเป็นแฟนคลับเธอ ถ้าผมได้ลายเซ็นเธอมาได้ ลูกสาวผมคงดีใจมากแน่ๆ …”
**
เวลา 16.30 น.
ในที่สุดฉินซิวเฉินก็กลับมา สายตาเย็นเฉียบ ใบหน้าสุขุมและอ่อนโยนแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขาม
เขายืนอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยฉินหลิง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆ
“คุณชายหก คุณกลับมาแล้ว!” เมื่อได้ยินเสียง พ่อบ้านฉินก็รู้สึกตัวในที่สุด เขาลุกจากเก้าอี้มองไปทางฉินซิวเฉิน
เดิมทีฉินซิวเฉินยังคิดว่าพอกลับมาจะได้เห็นภาพความวุ่นวาย เขารู้ความสามารถของพ่อบ้านฉินดี ดังนั้นจึงไม่ได้พักผ่อนมาตลอดทาง ใบหน้าที่แต่งสำหรับถ่ายหนังก็ไม่ได้เช็ดออก ทั้งหน้าจึงดูคมคายกว่าปกติ
เขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากเมื่อมาถึงห้องผู้ป่วยของฉินหลิง
“ถนนปิดไปช่วงหนึ่ง เราก็เลยมาช้าไปหน่อย อาการฉินหลิงเป็นยังไงบ้าง?” ตอนนี้ฉินซิวเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาเดินมาที่หน้าเตียง ฉินหลิงยังไม่ฟื้น บนศีรษะพันด้วยผ้าก๊อซ มือทั้งสองข้างยังต่อสายน้ำเกลือ
พ่อบ้านฉินละสายตากลับมาพร้อมกับรายงานรายละเอียด “ผู้อำนวยการบอกว่าอาการคุณชายน้อยคงที่แล้วครับ พักผ่อนให้มากๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรตามมาแล้ว”
ตอนที่ฉินซิวเฉินนั่งบนเครื่องบิน เขาปิดโทรศัพท์ตลอด
หลังจากลงเครื่อง พ่อบ้านฉินก็ได้แจ้งเขาแล้วว่าฉินหลิงพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงจนกว่าจะได้มาเห็นกับตาตัวเอง
ฉินซิวเฉินวางมือลงบนโต๊ะข้างๆ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ผู้จัดการที่อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้น เหลือบไปเห็นถุงน้ำเกลือของฉินหลิง บนนั้นไม่ได้มีชื่อซับซ้อนอะไรมาก มีเพียงกระดาษขาวแปะอยู่บนนั้นและเขียนด้วยคำว่า “กู้” อย่างส่งๆ บนตัวขวดมีสัญลักษณ์ของสถาบันวิจัย
“ยานี่…” ผู้จัดการเอ่ยขึ้นมา
ฉินฮั่นชิวถือกาน้ำชาเดินมาจากด้านนอก “นี่คือยาทดลองของเสี่ยวกู้น่ะ”
น้อยมากที่พ่อบ้านฉินกับอาเหวินไม่พูดอะไรออกมา
ฉินซิวเฉินไม่ได้คิดอะไรมากในชั่วขณะ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา “ตอนนี้คนขับรถอยู่ที่ไหน? สถานีตำรวจไหนที่ดูแลเรื่องนี้อยู่?”
พอเขาพูดจบก็พบว่าพ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ มีสีหน้าแปลกออกไป
“เอ่อ คุณชายหก…” อาเหวินพูดขึ้นมา “เหมือนว่าจะเป็นกองสืบสวนอาชญากรรมที่ดูแลเรื่องนี้ ถนนเส้นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกเขาที่เป็นคนปิด…”