เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 447 ดังไปไกลถึงขอบฟ้าแล้ว!
รายงานผลการสรุปที่ฉินหร่านเขียนคือรายงานเครื่องปฏิกรณ์ชั้นใต้ดิน
เครื่องปฏิกรณ์ชั้นใต้ดินอยู่ที่นั่นมานานแล้วหลายปี ทีมวิจัยจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็เคยเข้ามาสำรวจกันหมดแล้ว แต่พวกเขากลับไม่พบอะไรเลย
ผู้ค้นพบเครื่องปฏิกรณ์ได้ทิ้งผลการวิจัยไว้ไม่น้อย แต่พวกมันล้วนเป็นตัวอักษรจำพวกรหัส
หลายปีมานี้ฟังเจิ้นปั๋วและคนอื่นๆ ก็ได้เชิญผู้ศึกษาประวัติศาสตร์มาเดารหัสสัญลักษณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเหล่านี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
เครื่องปฏิกรณ์สตาร์ทเครื่องครั้งหนึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถยื่นเรื่องเข้าเครื่องปฏิกรณ์ได้
คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปข้างในได้รับข้อมูลเชิงลึกทุกครั้ง แต่คนที่ต้องการเขียนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆ กลับมีน้อยมาก
โดยเฉพาะไม่กี่ปีมานี้ยิ่งน้อยลงไปทุกที
สำหรับตำแหน่งโลหะที่เครื่องปฏิกรณ์สามารถควบคุมการกระแทกพลังงานปฏิกิริยาได้นั้นยังคงเป็นปริศนา
ไม่มีธาตุใดบนตารางธาตุที่สอดคล้องกัน แม้ตารางธาตุจะไม่ได้ถูกเติมให้เต็ม แต่ธาตุใหม่บนตารางธาตุในอนาคตก็จำเป็นต้องใช้ห้องปฏิบัติการฝีมือมนุษย์สร้างมันออกมา
นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทุกคนไร้ข้อกังขาต่อผู้อาวุโสรุ่นก่อนท่านนั้นที่ทิ้งเครื่องปฏิกรณ์เอาไว้
มีหลายคนในห้องปฏิบัติการทางเคมีที่ต้องการหาวัตถุดิบมาสังเคราะห์ธาตุ แต่การใช้ไอโซโทปก็ยังไม่พบวัตถุดิบใดบนโลกนี้ที่สามารถสังเคราะห์ได้
อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ที่ฉินหร่านทำก็ไม่ได้พูดถึงโลหะ ตั้งแต่ต้นจนจบเธอพูดไปในทิศทางที่คนอื่นไม่เคยให้ความสนใจ——
สมดุลแรงดัน
“นี่เป็นทิศทางการวิจัยจริงๆ ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสหนิงต้องการทิ้งไว้ให้พวกเราก็เป็นได้” นักวิจัยลู่มองนักวิจัยเลี่ยว ขณะที่มองนักวิจัยเลี่ยวก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเราต้องกลับไปพิสูจน์ที่สถาบันวิจัย”
ที่นักวิจัยลู่มาวันนี้ก็เพราะได้ยินนักวิจัยเลี่ยวบอกว่าคนที่เขียนอัตราการแปลงพลังงาน52%อยู่ห้องปฏิบัติการของเขา เขาจึงมาที่นี่เพื่อทำความรู้จัก
พอได้ยินเสร็จ นักวิจัยเลี่ยวก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เปิดอ่านรายงานอย่างเงียบๆ
หลังจากอ่านจบก็เก็บรายงานไว้ เอื้อมมือกดแว่นตา
ขณะกำลังปลดชุดป้องกันก็พูดกับรุ่นพี่เยี่ยว่า “ฉันกับนักวิจัยลู่จะกลับไปประชุมด่วนที่สถาบันวิจัยก่อน เธอกับรุ่นน้องเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราอาจจะเรียกพวกเธอมาสถาบันวิจัยได้ทุกเมื่อ”
รุ่นพี่เยี่ยมองนักวิจัยเลี่ยวอย่างงุนงงหลังจากได้ยินที่อีกฝ่ายพูด “ไปสถาบันวิจัย?”
“ทิศทางใหม่ในการวิจัยเครื่องปฏิกรณ์น่ะ” นักวิจัยลู่ไม่ได้เคร่งครัดเท่านักวิจัยเลี่ยว เขายื่นมือตบไหล่รุ่นพี่เยี่ย “ก็นายกับรุ่นน้องเป็นคนเขียนทิศทางการวิจัยเครื่องปฏิกรณ์นั่นนี่นา? รอพวกเราหารือกันเสร็จ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ นายอาจจะได้เป็นถึงนักวิจัยขั้นสี่ของสถาบันวิจัยในการประเมินสิ้นปีนี้…”
พอเขาพูดจบก็รีบเดินออกไปพร้อมกับนักวิจัยเลี่ยว ขณะที่เดินไปก็คุยกันไปด้วย
ฉินหร่านยังคงทำการทดลองเล็กๆ อยู่ที่ริมห้องปฏิบัติการชั้นสอง
ชั้นนอกสุดที่คั่นด้วยกระจก รุ่นพี่เยี่ยกำลังสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไป
นักวิจัยของสถาบันวิจัยล้วนมีการแบ่งขั้น ซึ่งจะมีการประเมินมาตรฐานทุกๆ สิ้นปี คนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้นถึงจะสามารถประเมินแบ่งขั้นนักวิจัยได้
แต่คนในสถาบันวิจัยมีจำนวนไม่น้อย แม้นักวิจัยขั้นสี่จะเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ แต่ก็เป็นมาตรฐานที่ใครหลายคนพยายามมากว่าสิบปีก็ยังไม่สามารถทำได้
ในฐานะนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งและยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำวิจัยที่มีประโยชน์ออกมาน้อยมาก ถึงจะเป็นคนที่ทำงานวิจัยอะไรออกมาจริงๆ คุณงามความดีส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ที่ศาสตราจารย์หรือคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบ
รุ่นพี่เยี่ยเองก็เพิ่งเป็นนักศึกษามาได้ไม่กี่ปี การจะเป็นนักวิจัยอย่างเป็นทางการต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองหรือสามปีในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้
ทว่าตอนนี้นักวิจัยเลี่ยวบอกว่าเขาอาจจะกลายเป็นนักวิจัยอย่างเป็นทางการสิ้นปีนี้
รุ่นพี่เยี่ยเงยหน้ามองไปทางฉินหร่านอย่างอึ้งๆ
อีกฝ่ายกำลังวางเครื่องมือวัดในมือลง หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิดและเดินมาทางนี้
“รุ่นน้อง” รุ่นพี่เยี่ยตามหาเสียงตัวเองกลับมาได้ “รายงานสำรวจชุดนั้น เธอเขียนอะไรลงไปบ้าง?”
ฉินหร่านหลุดจากภวังค์ความคิด เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ฉันเคยสำรวจเครื่องปฏิกรณ์มาแล้ว ในนั้นมีบางอย่างที่ฉันไม่แน่ใจ พอกลับบ้านไปตรวจสอบข้อมูลก็ถึงได้แน่ใจว่านั่นคือสมดุลแรงดัน ก็เลยเขียนสมดุลแรงดันไปไม่กี่อย่าง”
เธอนั่งที่ของตัวเอง ขณะที่เปิดคอมพิวเตอร์รับข้อมูลของพวกหนานฮุ่ยเหยาก็อธิบายให้รุ่นพี่เยี่ยฟังไปด้วย “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันกับยายเคยเห็นเครื่องปฏิกรณ์ที่คล้ายกันมาแล้ว ทิศทางการวิจัยอาจจะต่างจากคนอื่น…”
แต่ฉินหร่านก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์หรือไม่ เพราะเธอเองก็ไม่เคยวิจัยเรื่องพวกนี้มาก่อน เธอแค่บันทึกสิ่งที่ตัวเองค้นพบในเครื่องปฏิกรณ์ชั้นใต้ดินออกมาทีละอย่างเท่านั้น
รหัสพวกนั้น…เธอพออ่านออกอยู่บ้าง
เมื่อเห็นปฏิกิริยานักวิจัยเลี่ยวและคนอื่นๆ เธอก็ตระหนักได้ว่ามันน่าจะมีประโยชน์จริงๆ
พอพูดจบ รุ่นพี่เยี่ยก็ไม่ส่งเสียงไปนานสักพัก
ทันทีที่ฉินหร่านหันหน้าไป รุ่นพี่เยี่ยก็มองเธออย่างหมดคำพูด
“เพล้ง——”
บนโต๊ะจั่วชิวหรงที่ไม่ไกลออกไป แก้วน้ำในมือจั่วชิวหรงร่วงลงกับพื้น เธอเม้มปากและรีบย่อตัวเก็บแก้วขึ้นมา ไม่เงยหน้า
จนถึงเวลาทานอาหารกลางวัน
โทรศัพท์ฉินหร่านกับรุ่นพี่เยี่ยก็ยังไม่ส่งเสียง และไม่มีใครตามพวกเขาไปสถาบันวิจัย
ดูเหมือนว่ารุ่นพี่เยี่ยจะไม่ได้รับการประเมินให้เป็นนักวิจัยขั้นสี่
จั่วชิวหรงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ส่วนรุ่นพี่เยี่ยก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรเขาก็แค่ช่วยฉินหร่านเรียบเรียงข้อมูลรายงานการสำรวจเท่านั้น
**
ตอนเที่ยง ทีมวิจัยการขับเคลื่อนของรุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรงก็มากินข้าวด้วยกันและร่วมกันหารือเกี่ยวกับกระบวนการวิจัย
รุ่นพี่เยี่ยพูดถึงฉินหร่านบนโต๊ะกินข้าว
เมื่อเพื่อนร่วมทีมผู้ชายอีกสองคนได้ยินว่าบทความที่ฉินหร่านเขียนได้ประเภทที่หนึ่ง รวมถึงนักวิจัยทั้งสองท่านเล็งเห็นรายงานการวิจัยที่เธอเขียนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน มองหน้ากันแล้วพูดว่า “รุ่นพี่ รุ่นน้องคุณเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
รุ่นพี่เยี่ยชื่นชมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เก่งกว่าฉันอีก”
ผู้นำที่เก่งกาจมีความสำคัญสำหรับทีมเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มทั้งสองนึกไม่ถึงว่ารุ่นน้องที่พวกเขาเคยคิดว่าเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะเก่งถึงขนาดนี้ “รุ่นพี่เยี่ย รุ่นน้องคุณคือใคร?”
รุ่นพี่เยี่ยพูดเบาๆ “ฉินหร่าน”
รุ่นพี่เยี่ยไม่ได้พูดถึงชื่อฉินหร่านในทีมมาก่อนเพราะจั่วชิวหรงเป็นเหตุ ลูกทีมสองคนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นใบสมัครที่จั่วชิวหรงฉีกทิ้ง
“เดี๋ยวก่อน เป็นเธอหรอ?” หนึ่งในชายหนุ่มเบิกตาโพลง “ราชาหน้าใหม่ปีหนึ่งของปีนี้ที่ฉายอยู่ในรายการวาไรตี้ คนเจ๋งๆ คนนั้นที่กลับมาเข้าร่วมประเมินห้องปฏิบัติการและยังใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมงในการทำการทดลองตั้งแต่ระดับEจนถึงSครบหมดน่ะเหรอ?”
รุ่นพี่เยี่ยอึ้ง “พวกนายก็รู้จักเธอด้วยเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณไม่รู้หรอว่าเธอดังแค่ไหนตอนที่อยู่ชั้นมัธยม” ชายหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นเธอ…”
เขาเพิ่งพูดมาได้ครึ่งทางก็ถูกชายหนุ่มอีกคนตบ
ชายคนนี้เหลือบมองจั่วชิวหรงและรีบกลืนประโยคท้ายๆ ที่ยังพูดไม่จบลงไป
จั่วชิวหรงโยนตะเกียบ “เคร๊ง” เธอมองรุ่นพี่เยี่ย “นี่คุณหมายความว่ายังไง?”
“ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไงหนิ” รุ่นพี่เยี่ยเหลือบมองเธอนิ่งๆ
จั่วชิวหรงมองรุ่นพี่เยี่ย “ถ้าคุณชอบรุ่นน้องของคุณขนาดนั้น คุณก็ไปหาเธอสิ”
แม้แต่นักศึกษาหนุ่มอีกคนก็หน้าถอดสี “รุ่นพี่…”
การแตกหักของคนในทีมเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับในการตั้งทีม รุ่นพี่เยี่ยก็รู้ตัวว่าเขาเข้ากับจั่วชิวหรงไม่ได้ ช่วงนี้เธอจงใจหลีกเลี่ยงเขาเวลาทำการทดลองและทำรายงาน
การทดลองเครื่องยนต์อวกาศสำคัญสำหรับรุ่นพี่เยี่ยมาก เขาทุ่มเทไปมากสำหรับการทดลองนี้ แต่ตอนนี้จั่วชิวหรงกลับยิ่งกันเขาออกไป
รุ่นพี่เยี่ยนั่งบนม้านั่งและเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองไปทางจั่วชิวหรงและนักศึกษาชายทั้งสองคน “ตอนบ่ายฉันจะกลับไปเอาเนื้อหาการวิจัยที่ฉันทำมาทั้งหมดมาให้พวกนาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่มีส่วนร่วมในส่วนที่เหลือ ส่วนชื่อของฉัน ฉันจะยกเลิกการสมัครเอง”
เขาพูดจบก็วางตะเกียบเดินออกไป
นักศึกษาทั้งสองรีบพูดขึ้นมาว่า “รุ่นพี่เยี่ย การวิจัยทำมาจนถึงช่วงท้ายแล้ว ถ้าคุณทิ้งมันไปในเวลานี้…”
“พวกนายก็อยากตามเขาไปด้วยเหรอ?” จั่วชิวหรงเงยหน้ามองพวกเขา
การแข่งขันเครื่องยนต์อวกาศใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว รุ่นพี่เยี่ยได้ทำในส่วนของเขาเสร็จนานแล้ว การถอนตัวออกจากทีมในเวลานี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อจั่วชิวหรง แต่กลับส่งผลกระทบต่อรุ่นพี่เยี่ยอย่างมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วชิวหรง นักศึกษาหนุ่มทั้งสองก็ไม่กล้าพูดถึงรุ่นพี่เยี่ยอีก รุ่นพี่เยี่ยกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่พวกเขากลับไม่มีความกล้าที่จะถอนตัวโดยไม่รับชื่อเสียงนี้
**
บ่ายสามโมง
สามคนในห้องปฏิบัติการแบ่งกันไปคนละมุม
ฉินหร่านยังคงทำการทดลองของตัวเองตามปกติ รุ่นพี่เยี่ยช่วยจัดงานวิจัยของนักวิจัยเลี่ยวอยู่ชั้นในสุด ส่วนจั่วชิวหรงกำลังเรียบเรียงรายงานที่รุ่นพี่เยี่ยส่งให้เธอ
ไม่ใช่ว่าฉินหร่านจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่ต่างออกไประหว่างรุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรง
เธอถือโอกาสตอนที่จั่วชิวหรงออกไปห้องน้ำหยิบข้อมูลที่ทำเสร็จแล้วให้รุ่นพี่เยี่ย ถามส่งๆ “คุณกับรุ่นพี่จั่วไม่เป็นไรนะ?”
รุ่นพี่เยี่ยรับแบบฟอร์มข้อมูลมา ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่มีอะไร”
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก ฉินหร่านเหลือบมองเขาพลางครุ่นคิด เธอพยักหน้าโดยไม่ได้ถามต่อ
แค่กลับไปนั่งที่ของตัวเอง คิดอยู่พักหนึ่งก็เปิดแชทที่มีรูปโปรไฟล์อาจารย์ใหญ่สวี——
(ฉันเพิ่มอีกคนได้ไหม?)
อาจารย์ใหญ่สวี : (….)
ในเวลาเดียวกัน
มีคนเคาะประตูห้องปฏิบัติการ คนที่มาคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
จั่วชิวหรงก็เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพอดี
ได้ยินชายวัยกลางคนพูดว่า “เยี่ยหมิงเฉียวกับฉินหร่านอยู่ไหม? นักวิจัยเลี่ยวกับนักวิจัยลู่ทำวิจัยจนลืมเวลาไปเลย พวกผู้อำนวยการฟังให้ผมมาตามพวกคุณ รถจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการ”