เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 489 ชวนเพื่อนปาปารัสซี่
ตัวหนังสือไม่ใหญ่แต่เห็นได้อย่างชัดเจน
ครั้งสุดท้ายที่รุ่นพี่เยี่ยและฉันหร่านรายงานเกี่ยวกับ เครื่องปฏิกรณ์ก็ได้รับการประเมินขั้นได้ถึงตําแหน่งนักวิจัย
ทางการขั้นสี่แล้ว
เขาเพิ่งอายุ 27 ปี
อายุเท่านี้ได้เป็นถึงนักวิจัยทางการขั้นสี่ก็ถือว่าเร็วกว่า
คนทั่วไปหลายปี
แต่ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์ครั้งนี้
เขาจะได้เลื่อนขึ้นถึงขั้นสาม ?!
ในสถาบันวิจัยมีนักวิจัยมากมายตั้งแต่ระดับบนลงล่าง
ปกตินักวิจัยขั้นสามจะอายุประมาณสี่สิบปี เว้นแต่ว่าจะเป็น คนอัจฉริยะที่หาได้ยากอย่างนักวิจัยเดี่ยว
หากเป็นชื่อรุ่นพี่เยี่ยคนอื่นยังพอรับได้ ทว่าชื่อฉินหร่านที่ อยู่ข้างล่างต่างก็ทําให้คนช็อกไปตามๆ กัน!
รองนักวิจัยชั้นสอง สูงกว่ารุ่นพี่เยี่ยตั้งหนึ่งขั้น
ตราประทับด้านล่างหน้าเอกสารเป็นของสถาบันวิจัย ซึ่ง
โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
นั่นก็หมายความว่าฉันหร่านเพิ่งเข้าสถาบันวิจัยก็เป็น
รองนักวิจัยขั้นสองแล้ว
ห้องปฏิบัติการเต็มไปด้วยผู้ทรงความรู้ในวงการฟิสิกส์
ก่อนหน้านี้เหล่าอาจารย์และด็อกเตอร์ต่างคาดเดากันไว้ว่า
สูงสุดก็น่าจะเป็นนักวิจัยขั้นสาม แต่ใครจะรู้ว่าจะกลายเป็น
รองนักวิจัยขั้นสองไปได้
นักวิจัยตั้งแต่รองขั้นสองขึ้นไปใช่ว่าจะไม่มีในสถาบันวิจัย
แต่ถ้าเติมคําว่าอายุ 21 ปีพ่วงไปด้วย น้ําหนักก็ย่อมต่าง
ออกไป
รองนักวิจัยขั้นสองในวัย 21 ปี ตราบใดที่ไม่มีจุดพลิกผัน
ในอนาคต วันข้างหน้าก็ย่อมไม่มีปัญหากับยักษ์ใหญ่มากมาย
ในสถาบันวิจัย
ห้องปฏิบัติการที่ส่งเสียงดังเงียบลง
“ฉันจําได้ว่าซึ่งลิ่วถึงนั่นก็ได้ตําแหน่งรองนักวิจัยขั้นสาม
ตอนที่เพิ่งเข้าสถาบันวิจัยใช่ไหม?” หลังจากนั้นไม่นานก็มีใคร
คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเงียบๆ
คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน
พวกเขาได้ยินชื่อเสียงฉันหร่านมานานแล้ว
จริงๆ
bugหร่านแห่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวง…คู่ควรกับชื่อนี้
รองนักวิจัยขั้นสองที่มีอายุ 21 ปีและเป็นอัจฉริยะที่รัฐ M เรียก ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้วงการฟิสิกส์ในประเทศ สั่นสะเทือนเช่นนี้
หลังจากที่กลุ่มด็อกเตอร์และอาจารย์เงียบไป ก็เริ่มมีการ
พูดคุยขึ้นมา
คนอื่นในห้องปฏิบัติการต่างตื่นเต้นกันใหญ่ แต่คณบดี
เจียงกลับขมวดคิ้ว
ทางด้านรุ่นพี่เยี่ยก็รู้สึกตัวเบาโหวงอยู่หน่อยๆ แต่เดิม หากเขาต่อสู้ไปอีกสามปีก็สามารถไปถึงมาตรฐานนักวิจัยขั้น
ได้ตามปกติ…
ใครจะรู้ว่าภายในไม่กี่เดือน เขาจะถึงขนาดข้ามขั้นไป
ถึงตําแหน่งนักวิจัยขั้นสามโดยตรง?
คนที่สงบที่สุดในกลุ่มคนคือฉันหร่าน
เธอแค่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เหลือบมองดูชื่อที่ประทับอยู่
ล่างหนังสือแจ้งข่าวดี
(ฟังเจิ้นปั๋ว)
เธอก้มหน้า ขนตาหลุบลง และอ่านผลสรุปที่นักวิจัย เสี่ยวมอบให้เธอต่อ
ในมือเธอถือปากกา ปลายนิ้วบางอ้างว้าง เธอนํา แผนงานที่รุ่นพี่เยี่ยยังไม่ได้สรุปออกมาอีกครั้ง
โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น
พอเธอหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นข้อความจากเฉิงเป็นหรู ถามเธอว่ามีเวลาว่างไปบ้านตระกูลเฉิงตอนเย็นหรือไม่
นายท่านเฉิงรอเธอมาตลอดช่วงเช้า ต่อมาเธอก็เอาแต่
อยู่ที่ห้องปฏิบัติการ ไม่ได้ไปบ้านตระกูลเฉิงเลยสักครั้ง
เฉิงเงินหรูสอบถามเฉิงเจวี้ยนแต่เฉิงเจวียนไม่ค่อยสนใจ
เธอ แค่ให้เธอไปดูแลเรื่องตระกูลเฉิงให้ดี
เธอจึงได้แต่ถามฉันหร่าน
ฉินหร่านเอนหลังพิงโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง ปลายนิ้วเคาะ กระจกหน้าจอโทรศัพท์พลางครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตอบ
กลับไปสองคํา—
(ได้ค่ะ)
**
เวลาหกโมงเย็น
ด็อกเตอร์และอาจารย์ที่อยู่ในห้องปฏิบัติการออกไปแล้ว
เกือบครึ่ง เหลือเพียงเจ็ดคนที่กําลังศึกษาโครงการร่วมกับ
นักวิจัยเลี่ยวและพวกฉินหร่านอีกห้าคน
ขณะนี้ฉันหร่านได้บอกลานักวิจัยเดี่ยวและคนอื่นๆ ก่อน
จากไป
คณบดีเจียง โจวดิ่ง และรุ่นพี่เยี่ยไปส่งเธอออกไป ส่วน คนอื่นๆ กําลังหมกมุ่นกับโครงการจนกู่ไม่กลับ
ฉินหร่านเห็นรถเฉิงเจวี้ยนที่จอดตรงข้างทางแล้ว
ห้องปฏิบัติการเปิดฮีตเตอร์แรงมาก ยิ่งอยู่ใกล้เครื่องปฏิกรณ์
ก็ยิ่งร้อนอบอ้าว ฉินหร่านจึงไม่ได้ใส่ผ้าพันคอออกมาและไม่
ติดกระดุมเสื้อโค้ต
เธอเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็โบกมือให้ทั้งส ขณะที่กําลังจะเดินไปก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันไปบอกว่า “คณบดีเจียง ด็อกเตอร์โจว รุ่นพี่เยี่ย วันที่ 1 พวกคุณว่างกัน ไหม? ฉันมีเรื่องส่วนตัวน่ะ”
“วันที่ 1 ? น่าจะว่าง” มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเปิดเทอม วันที่ 1 มีนาคม คณบดีเจียงมีงานยุ่งอยู่ตลอด แต่ในเมื่อฉันห
ร่านถามเขา เขาย่อมเจียดเวลาว่างได้อย่างแน่นอน
หลายวันมานี้รุ่นพี่เยี่ยกับโจววิ่งไม่ได้หยุดพัก พวกเขาก็
แทบทนไม่ไหวกับงานที่เหนือชั้นแบบนี้ จึงวางแผนจะหยุด
พักกัน พอได้ยินฉันหร่านพูดมา พวกเขาก็คิดจะพักช่วงสิ้น เดือนสองวัน
“รุ่นน้อง เธอคงไม่ได้มีโครงการอะไรใช่ไหม?” รุ่นพี่ เยี่ยมองฉันหร่าน ชะงักครู่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โครงการชั้นนําอย่าง ICNE เขาก็เข้าร่วม
มาแล้ว
เขาได้กลายเป็นเยี่ยหมิงเฉียวที่ผ่านพายุโหมกระหน่ํา
มาแล้ว
ไหว
ไม่ว่าฉันหร่านจะมีโครงการอะไร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทน
“นั่นน่ะไม่มีหรอก ก็แค่งานเลี้ยงงานหนึ่ง เป็นงานเลี้ยง
ของอาจารย์ที่ฉันเคยพูดกับพวกคุณ” อาจารย์ใหญ่สวียัง
ไม่ได้ส่งการ์ดมาให้เธอ ฉันหร่านใช้มือแตะคาง
ฉินหร่านใคร่ครวญอยู่สักพัก ความจริงเพื่อนของเธอก็มี
ไม่น้อย
หนานฮุ่ยเหยา หลินซือหราน รวมๆ กันก็สิบคนแล้ว
ส่วนพวกลู่คือสิ่ง….ถ้ารู้ว่าเธอจะรับช่วงต่อสถาบันวิจัย
พวกเขาคงโมโหตายแน่ๆ
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพียงเพราะเหตุผลนี้ ลู่จือสิ่งเป็นคน รักความสงบ เธอชวนเขาไปกินข้าวเองก็พอแล้ว งานเลี้ยง แบบนี้เธอเองยังหงุดหงิดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเชิญเขามา
ฉินหร่านกล่าวลากับทั้งสามคนอีกครั้ง
เธอเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ
เฉิงเจวี้ยนเปิดไฟในรถ ขณะกําลังจะก้มหน้ากดโทรศัพท์
ส่งข้อความให้ใครบางคน
ก็เห็นฉันหร่านขึ้นรถพอดี เขาไม่ได้ดูลนลาน เพียงปิด
โทรศัพท์อย่างเคร่งขรึม
“เพื่อนฉันคนนั้นจะเชิญมาดีไหม?” ฉินหร่านเอนพิง
เบาะ มือกดโทรศัพท์พลางครุ่นคิด
เธอไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องความสัมพันธ์อะไรพวกนี้เลย หยิ่งผยองจนเป็นนิสัย อยากทําอะไรก็ทํา
เฉิงเจวี้ยนบิดกุญแจรถ “คนไหน?”
“คนที่เป็นปาปารัสซี่นั่นน่ะ” ฉินหร่านตอบ
“คนที่มาส่งยาให้เธอ?” เฉิงเจวียนหัวเราะและขับรถเข้า สู่ถนนใหญ่ “เธอก็อยู่เมืองหลวงด้วยเหรอ? เชิญมาสิ”
ฉินหร่านพยักหน้า เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดวี
แชทเหอเฉินส่งข้อความไป
(วันที่ 1 ว่างไหม?)