เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 529 รอดูความขายหน้า!
“นี่มัน?” พ่อบ้านฉินไม่ได้ฟังสิ่งที่ฉินหร่านพูดเลยสักนิด อีกฝุายทําเพียงก้มหน้าจดจ้องมองสิ่งที่ร่างบางยื่นให้ มันคือ เอกสารที่โดนประทับตราปิดผนึกมาอย่างดี
ฉินหร่านไม่ตอบ ทว่าถามย้อน “พวกคุณจะแถลงข่าว ตอนไหน?”
ตระกูลฉินลงทุนด้วยเงินมหาศาลเพื่อโครงการยักษแใหญ่ มากมาย และนั่นเป็นเพราะฉินฮั่นชิวยอมก้าวออกมาจาก
ตระกูลฉิน แล้วปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก จึงย่อม มีการจัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
และไม่เพียงแต่เป็นเพราะการปรากฏตัวครั้งแรกของฉิน ฮั่นชิวเท่านั้น หากยังเป็นการแถลงข่าวเพื่อเผยแพร่ขั้นตอน และสนับสนุนโครงการไปในตัวอีกด้วย
ทว่าแค่มองผิวเผินคงไม่รู้แน่ชัดว่างานแถลงข่าวครั้งนี้มี ความหมายอื่นแอบแฝงหรือไม่…
อย่าว่าแต่คนในเมืองหลวงเลย แม้กระทั่งคนในตระกูล ฉินเอง ก็ยังมีญาติพี่น้องอีกหลายคนที่จับตามองฉินฮั่นชิวอยู่ และรอดูช่วงเวลาที่พวกเขาขายขี้หน้า
หัวหน้าฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยตอบ “วัน พุธหน้าครับ”
หรือก็คืออีกสี่วันสินะ
ฉินหร่านทําทีดูเวลาพลันกระตุกยิ้ม “โอเค งั้นคุณก็ กลับไปจัดการธุระที่ออฟฟิศต่อเถอะ”
สองวันมานี้พ่อบ้านฉินคอยจัดการปัญหาต่างๆ จนหัว หมุน เขาเหนื่อยจะคิดแล้ว มือหนากระชับถือเอกสารพร้อม
ฟังฉินหร่านเอ่ยอีกประโยค จากนั้นก็สาวเท้ามุ่งไปยังออฟฟิศ ของตนทันที
ด้านในออฟฟิศ ฉินฮั่นชิวใช้มือทั้งสองค้ํายันโต฿ะเอาไว้ พร้อมขมวดคิ้วเป็นปมไม่สบอารมณแจนหัวหน้าสวีรู้สึกได้
ตอนนี้ด้านในออฟฟิศเหลือพนักงานอยู่เพียงไม่กี่คน
“หัวหน้าสวี พวกคุณจัดการเรื่องงานให้ผมในช่วงสอง สามวันนี้ แล้วมีคนใหม่เข้ามาบ้างไหม” ในใจของฉินฮั่นชิว นั้นร้อนรน ทว่ายังคงสีหน้าเรียบเฉยยามเอ่ยถาม
ชายหนุ่มเอ่ยกับหัวหน้าสวี หรือก็คือ สวี่อวิ๋นเหาลูกน้อง ภายใต้การดูแลของเขา
“ต้องขอประทานโทษจริงๆ นะครับ นายน้อยสอง คือว่า ตอนนี้พวกเรายังมีโครงการอื่นที่ต้องจัดการอีก” สวี่อวิ๋นเหา ตอบแบบขอปัดไปที “เกรงว่าคุณคงต้องสั่งให้กลุ่มหัวหน้า แผนกทําแทนแล้วล่ะ เพราะคนในทีมของเรายุ่งมาก แทบไม่ มีเวลาเลย”
“สวี่อวิ๋นเหา อะไรที่ว่าไม่มีเวลา” หัวหน้าแผนกฉินเอ่ย พลางยืนถือแฟรชไดรฟอยู่ข้างฉินฮั่นชิว พอได้ยินคําพูดนั้น เขาก็ยิ่งโกรธเคือง “นี่นายไม่มีจรรยาบรรณในหน้าที่การงาน เลยสินะ…”
ทว่าก่อนที่จะพูดจบ ฉินฮั่นชิวกลับยกมือตัดบทห้ามเขา เสียก่อน ฉินฮั่นชิวเอื้อมมือไปตบไหล่ของหัวหน้าแผนกฉิน เบาๆ “หัวหน้าสวี แค่พวกคุณสละตําแหน่งให้เด็กใหม่ลงงาน ก็พอแล้วล่ะ”
จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ
สวี่อวิ๋นเหาหัวเราะเบาๆ พลันเอ่ย “ขอบคุณครับ นาย น้อยสอง”
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมสีหน้าไม่พอใจ เล็กน้อย เป็นอย่างที่คุณชายสี่ตระกูลฉินพูดไว้ไม่มีผิด นาย น้อยสองในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับปลายหน้าไม้ที่ผ่านการยิง มาอย่างหนักจนแทบใช้การไม่ได้แล้ว
หลังจากสวี่อวิ๋นเหาเดินออกไปแล้ว หัวหน้าแผนกฉินก็ หันไปมองฉินฮั่นชิวทันควัน “นายน้อยสอง ทําไมถึงปล่อย พวกเขาไปง่ายๆ ล่ะครับ?”
“ยื้อพวกเขาไว้ก็ไม่มีประโยชนแอะไร” ฉินฮั่นชิวส่ายหัว เบาๆ เชิงเหนื่อยหน่าย สวี่อวิ๋นเหาตัดสินใจก้าวออกไปเอง “เอาละ ให้พวกเขาประสานงานกันเองก็คงทําได้ไม่เต็มที่ เรา เองก็มาพยายามกันเถอะ”
หัวหน้าแผนกฉินได้แต่ฟัง ทว่าไม่ได้เอ่ยตอบ สิ่งที่ฉินฮั่น ชิวพูดนั้นไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
ฉินฮั่นชิวกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม สีหน้าของเขา เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ ถึงตระกูลฉินจะล่มจม แต่ว่าฟูาหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ พวกเขาต้องรับสมัครคนเพิ่ม ยิ่งได้กลุ่มคน ใหม่ๆ เข้ามายิ่งดี
ทว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ จะไปหาตัววิศวกร ฮารแดแวรแมากฝีมืออย่างสวี่อวิ๋นเหาได้จากที่ไหน ยากเกินไป
ปัญหาที่เด่นชัดที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่เป็น เรื่องวิศวกรชั้นยอดของทีมที่ถูกคุณชายสี่ตระกูลฉินโน้มน้าว พาตัวไปต่างหาก
“หัวหน้าแผนกฉิน เรื่องงานแถลงข่าววันพุธที่จะถึงนี้…” ฉินฮั่นชิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันเงยหน้าถาม “ได้ส่งคําเชิญ ออกไปหรือยัง?” เขากําลังคิดว่าตอนนี้ตนพอจะมีโอกาส ยกเลิกงานแถลงข่าวหรือไม่
“เราได้ส่งคําเชิญออกไปแล้วครับ แถมยังเชิญพวก นักข่าวไว้แล้วด้วย แต่หากจะยกเลิกงานแถลงข่าวตอนนี้ ก็ใช่ ว่าจะทําไม่ได้ มันก็แค่…” หัวหน้าแผนกรู้ว่าฉินฮั่นชิวกําลังคิด อะไร
ถ้ายกเลิกงานนี้ ฉินฮั่นชิวก็จะไม่สามารถสู้หน้าและอยู่ ร่วมกับคนตระกูลฉินได้อีก แถมยังมีคนรอดูเขาขายขี้หน้าอีก มากมาย
พอได้ฟังประโยคนั้น ฉินฮั่นชิวก็เลือกที่จะเงียบปากลง
เขาหยิบโทรศัพทแมือถือขึ้นมา พลางคิดจะไปหาเฉิง เจวี้ยน ทว่าพอนึกถึงสถานการณแของตระกูลเฉิงในตอนนี้ ก็ จําต้องวางมือถือลง
“พ่อบ้านฉิน” ตามคมเหลือบไปเห็นพ่อบ้านฉินฉินเดิน เข้ามาในออฟฟิศ พลางเงยหน้าเอ่ยเรียกอีกฝุาย
เดิมทีพ่อบ้านฉินยืนมองดูสถานการณแอยู่นอกประตู เขา เห็นตั้งแต่สวี่อวิ๋นเหาพาคนมาช่วยขนของใช้ในสํานักงานของ ตนออกไปแล้ว และก็รู้ทันทีว่าเรื่องทุกอย่างไม่อาจแก้ไขให้ กลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก ก่อนเอ่ย “นายน้อยสองครับ คุณหนูหร่านหร่านรออยู่ด้านนอกครับ”
เมื่อคนเป็นพ่อได้ยินชื่อลูกสาวก็รีบลุกพรวด พลัน สาวเท้าออกไปหาฉินหร่านอย่างเร็ว
คล้อยหลังฉินฮั่นชิว พ่อบ้านฉินก็มองไปยังหัวหน้าแผนก ฉินที่กําลังรอกลุ่มช่างเทคนิคจํานวนหนึ่ง พร้อมถามเรื่องที่ คนทั้งบริษัทกําลังเป็นกังวล “งานแถลงข่าวมีปัญหางั้น เหรอ?”
“สวี่อวิ๋นเหาลาออกไปแล้ว นั่นหมายความว่าทีมของเรา ขาดมือโปร ส่วนเรื่องหาพนักงานใหม่เข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่พนักงานใหม่นั้นยังไม่มีชื่อเสียงมากพอที่จะให้เป็นแบคอัพ อะไรได้ คุณก็น่าจะรู้ อีกทั้งตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เงินกู้จาก ธนาคารเลย ถ้าฟังจากความคิดเห็นของนายน้อยสอง เขา อยากยกเลิกงานแถลงข่าวนี่ซะ เพราะถ้าให้อิงตาม สถานการณแในตอนนี้ การยกเลิกงานแถลงข่าวนั้นเป็น ทางเลือกที่ดีกว่าฝืนเสี่ยงต่อไปนะ” หัวหน้าแผนกฉินส่ายหัว พร้อมถอนหายใจ ทว่าพอหมุนตัวมาก็เห็นเอกสารบางอย่าง
ในมือหัวพ่อบ้านฉิน “พ่อบ้านฉินฉิน นั่นคุณกําลังถืออะไร อยู่?”
“คุณหนูให้ผมมา” พ่อบ้านฉินฉินเอ่ยพร้อมพลิกมือไป มา “ผมยังไม่ได้เปิดดู ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร”
ในเมื่อพูดขึ้นมาแล้ว เขาก็ตัดสินใจเปิดดู
ในตอนที่ฉินหร่านมอบเอกสารฉบับนี้ให้เขา ท่าทางของ เธอดูไม่ได้รีบร้อนอะไร พ่อบ้านฉินจึงไม่ได้เอ่ยถาม พลางคิด ว่ามันคงเป็นเอกสารเงินทุนธรรมดาๆ จนไม่ได้รีบร้อนเปิดดู
“คุณหนูฉินน่ะเหรอ…” หัวหน้าแผนกฉินพยักหน้า เล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก
เมื่อพูดถึงฉินหร่าน หัวหน้าแผนกฉินก็เสียใจมาก เขา ต้องการให้ฉินหร่านเข้าร่วมทํางานกับทางสํานักงานใหญ่มา โดยตลอด
แต่ว่า…
หัวหน้าแผนกฉินก็ไม่สามารถสู้อิทธิพลของตระกูลสวีได้
“ใช่ คุณหนูนั่นแหละ หรือควรเอาเอกสารไปให้คุณชาย ดี” พ่อบ้านฉินแอบเปิดเอกสารหน้าแรกดู เขาเห็นตัวอักษร ภาษาอังกฤษสีดําตรงด้านบนหัวกระดาษ ส่วนด้านล่างก็มี เพียงคําว่า “สัญญา” สองพยางคแเขียนกํากับไว้ “สัญญา เหรอ? แล้วคุณหนูไปทําสัญญาอะไร…”
พ่อบ้านฉินดันแว่นอ่านหนังสือลง เขาตั้งใจไล่อ่านลงไป ช้าๆ ทีละคํา
สองสามแผ่นก่อนหน้านี้เป็นเอกสารเรื่องสัญญา ส่วนที่ เหลือด้านหลังคือแผนจําลองทางวิชาการและการแบ่งสัดส่วน งาน
เมื่อหัวหน้าแผนกฉินหารือกับหัวหน้าพ่อบ้านเสร็จแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับไปจัดการเรื่องการรับสมัครพนักงานใหม่
ทว่าขณะที่กําลังก้าวออกไป ก็ได้ยินเสียงของพ่อบ้านฉิน เรียกไว้เสียก่อน “รอก่อนๆ หัวหน้าแผนกฉิน คุณช่วยผมดู หน่อย นี่มัน สิ่งนี้มัน…”