เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 68 ในภาพถ่ายนั้นคือฉินหร่าน
ฉินหร่านเข้าหายากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่หลังรู้จักนานๆ ก็จะพบว่าเธอเป็นคนดีมาก
ไม่เหมือนกับคนประเภทสวีเหยากวงที่ทำตัวเย็นชาผลักไสคนอื่นให้ออกห่าง
ไม่เหมือนคนประเภทเดียวกับสวีเหยากวงที่ไม่สนใจไยดีทำตัวเย็นชาสูงส่งผลักไสคนออกไปพันลี้
คนที่มามุงดูเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่
ผู้ชายก็มีบ้าง แต่นอกจากเฉียวเซิงแล้วก็ไม่มีคนกล้าเข้ามาใกล้ ต่างเว้นระยะห่างออกไปจากวงล้อมสองชั้นแล้วยิ้มมอง
หากตอนนี้พูดถึงดาราดังบนอินเทอร์เน็ตแล้ว เหยียนซีก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น
ในฐานะนักร้องที่มีความสามารถ หน้าตาของเขาก็โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มดาราดังที่มองแค่ใบหน้า
แต่ที่ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างแท้จริงคือความสามารถที่สั่งสมมาในวงการดนตรีกว่าห้าปี เพลงแรกของเขาคว้ารางวัลมาได้ตั้งแต่เดบิวต์
เพลงที่สองเป็นกระแสดังไประยะหนึ่งในต่างประเทศหลังจากที่ดังในประเทศแล้ว
ทุกปีเขาออกอัลบั้มไม่มาก ในฐานะนักร้องมืออาชีพคนหนึ่ง ในแต่ละปีเขาออกเพลงอย่างมากสิบเพลง แต่ละเพลงล้วนยอดเยี่ยม
สไตล์ของเขามีมากมาย ไม่ว่าเพลงดาร์ก เพลงร็อก เพลงคลายเครียด เพลงรัก เพลงสดใสอะไรก็ร้องหมด
ตั้งแต่เดบิวต์เป็นต้นมา เขาออกอัลบั้มไปทั้งหมดหกอัลบั้ม อัลบั้มของเขาส่วนใหญ่มีจำนวนจำกัด แค่วางจำหน่ายก็จะถูกแย่งซื้อหมดเกลี้ยง
แฟนคลับของเหยียนซีมีนับหมื่นนับพัน แต่แฟนคลับที่รวบรวมอัลบั้มทั้งหมดของเขาครบกลับมีไม่เยอะ
โดยเฉพาะอัลบั้มแรกๆ แทบจะหาไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ ข้างในกล่องในมือของหลินซือหรานวางอัลบั้มทั้งหกไว้อย่างเป็นระเบียบ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหนืออัลบั้มทั้งหกนี้ยังวางถ้วยรางวัลรูปแตรที่มีฐานเอาไว้อีกด้วย
คนในประเทศต่างรู้กันว่าสามเดือนก่อน เหยียนซีได้รับรางวัลสูงสุดระดับนานาชาติ…รางวัลแกรมมี่
ตอนที่ข่าวนี้ปล่อยออกมา เหยียนซีทำให้เซิร์ฟเวอร์เวยปั๋วล่มกว่าสองชั่วโมง
ทั่วประเทศเอ่ยชื่นชม
คนในประเทศที่เคยได้รับรางวัลนี้มีไม่ถึงห้าคน พวกเขาล้วนเป็นศิลปินอาวุโส หนึ่งในนั้นยังมีวงดนตรีอยู่ด้วย
เหยียนซีเป็นคนแรกที่คว้ารางวัลระดับสูงสุดด้วยแนวเพลงของตนเอง
คนมากมายบนอินเทอร์เน็ตว่าเขาเหมือนผู้หญิง ว่าเขามีคนรวยหนุนหลัง แต่ไม่เคยมีใครว่าความสามารถของเขามาก่อน
ถ้วยรางวัลแกรมมี่นี้เป็นรูปแตร ซึ่งเป็นกระแสบนเวยปั๋วมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ทุกคนแทบจะรู้เรื่องนี้กันหมด
นิ่งเงียบไปประมาณหนึ่งนาที เซี่ยเฟยชี้ไปยังถ้วยรางวัลนั้น “พระพระ…พระเจ้า!”
เฉียวเซิงก็กระแอมเหมือนกัน “นี่…คืออะไร”
ฉินหร่านก็งง ก็แค่อัลบั้มไม่กี่อันเอง ไม่ถึงกับขนาดนี้หรอกมั้ง
เธอวางหนังสือลง เอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วเห็นถ้วยรางวัลที่วางอยู่บนอัลบั้ม
“…?!”
“ฉันหาคนสั่งทำบนอินเทอร์เน็ตน่ะ” ฉินหร่านเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบถ้วยรางวัลออกมา แตะนิ้วไว้บนแตรแล้วเคาะไปตามขอบ “อัลบั้มนี้เป็นของคุณ”
เธอพูดจบ
ผู้คนก็เป็นราวกับลูกโป่งที่ถูกแทง ระเบิดเสียงดัง ปัง!
“เป็นอัลบั้มของสามีฉันหรอ!”
“พระเจ้ายังมีโปสเตอร์ของเขาด้วย ตอนนั้นฉันไปนั่งรอตั้งสองชั่วโมงก็หาซื้อไม่ได้ แถมยังเป็นแบบที่มีลายเซ็นอีก!”
“อ๊าาา หลินซือหรานเธอทำอะไร เธอให้ฉันดูหน่อยสิ ให้ฉันดูทีหนึ่ง!”
“……”
บรรดาเพื่อนผู้หญิงนี้ก็ไม่สนใจเฉียวเซิงแล้ว เบียดเขาออกไปด้านข้าง
จนกระทั่งเสียงกริ่งคาบทบทวนบทเรียนดังขึ้น บรรดาเพื่อนผู้หญิงก็ยังไม่หยุด สารวัตรนักเรียนชายตะโกนห้ามปรามสองครั้ง พอเห็นว่าไม่มีคนสนใจ ก็ลูบจมูกแล้วนั่งลง
คนที่นั่งอยู่ตรงประตูหลังห้องจับตามองด้านนอก ถ้าอาจารย์ประจำชั้นมาจะได้ส่งสัญญาณเตือน
รอจนไม่มีใครสนใจตัวเองแล้ว ฉินหร่านถึงได้เปิดวีแชต หารูปโปรไฟล์หนึ่งแล้วส่งข้อความสี่พยางค์ไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
‘ประสาทไปแล้วเหรอ’
ในห้องคุยเรื่องอัลบั้มเพลงกันเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งพูดคุยกะหนุงกะหนิง แม้แต่พวกผู้ชายก็ยังกระซิบกระซาบกัน
อู๋เหยียนสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้เหมือนกัน ตอนนี้เธอถือดินสอเขียนบทและหาข้อมูลอยู่หลังห้อง ทว่าคนรอบข้างต่างกำลังคุยเรื่องฉินหร่านเรื่องอัลบั้มและเรื่องเหยียนซีกันหมด
“รีบจัดการข้อมูลสุนทรพจน์ให้เรียบร้อยได้แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มแล้วนะ” มีเฉียวเซิงอยู่ เธอไม่กล้าไปวอแวฉินหร่าน แค่ยืนขึ้นพูดประโยคหนึ่งเท่านั้น
หลินซือหรานรีบให้ฉินหร่านช่วยเธอดูแลอัลบั้มให้ดี ก่อนจะหยิบสมุดและดินสอเดินไปปรึกษาหารือข้างหลัง
พอยืนขึ้นแล้วก็ชะงัก “หรานหร่าน เธอจะมาด้วยไหม”.
“ไม่ล่ะ” ฉินหร่านโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ยังคงเป็นคำตอบเดิม “พวกเธอเขียนเสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นฉันช่วยพวกเธออ่านก็แล้วกัน”
หลังห้อง อู๋เหยียนได้ยินประโยคนี้ก็เบ้ปาก กำดินสอในมือไว้แน่น
เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองสวีเหยากวงที่กำลังถือดินสอตั้งใจเขียนหนังสือแวบหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งละสายตาจากฉินหร่านแล้วไม่ได้พูดอะไร
อู๋เหยียนหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินหร่านไปห้องพยาบาล
ลู่จ้าวอิ่งไม่อยู่ในห้อง เฉิงเจวี้ยนจึงตรวจดูแผลของเธอ ปลายนิ้วเย็นเล็กน้อย ผ้าพันแผลเปียกนิดหน่อย เขามองดูอยู่พักหนึ่งแล้วหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อวานเธอใช้มือขุดแร่มาเหรอ”
ฉินหร่านวางมือบนโต๊ะ มือที่หายดีเมื่อวานมีเลือดซึมอีกแล้ว
เธอก็มองดูแวบหนึ่งเหมือนกัน มิน่าถึงเจ็บ “เปล่า เมื่อวานถูกเพื่อนร่วมห้องชน”
อู๋เหยียนถือกะละมังน้ำใบใหญ่ถูกผู้หญิงที่มาดูอัลบั้มที่หอเบียดแล้วชนกับเธอเข้า มือของเธอกระแทกโต๊ะแถมยังเปียกโชก
เฉิงเจวี้ยนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ “ฝีมือของเธอมีไว้ประดับสินะ”
ฉินหร่านเอามือยันบนโต๊ะแล้วมองเขา ไม่ได้เถียงแต่กลับยิ้มออกมาอย่างพบได้ยาก
ภาพนี้คุ้นตาพอควร ตอนเด็กๆ มือของฉินอวี่เป็นแผล เบ้ปากไปหาหนิงฉิงและฉินฮั่นชิว ถึงแม้ทั้งสองดุ แต่การกระทำกลับเบาไม้เบามือ กลัวจะทำฉินอวี่เจ็บ
ฉินหร่านเท้าคางยิ้ม ตอนที่ละสายตากลับมาก็เห็นเอกสารที่ห่อด้วยปกสีน้ำตาลฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
บทนั้นเขียนไว้เพียงห้าคำ ‘หนิงไห่ 712’
มือของเธอชะงัก แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย
ขณะที่ฉินหร่านจะกลับห้องเรียน ลู่จ้าวอิ่งก็ถือโทรศัพท์เดินเข้ามา
พอเห็นฉินหร่านเขาก็ตัดสายทิ้งแล้วทักทายเธอ ถามอาการของเธออีกครั้งแล้วเดินเข้าห้องพยาบาลไป
เมื่อเข้าไปแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ ตรงหน้ามีผ้าพันแผลที่เปื้อนเลือดวางอยู่ เฉิงเจวี้ยนที่สีหน้าเรียบเฉยส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาทีหนึ่ง “ฉินเสี่ยวหร่านถูกนายด่าอีกแล้วเหรอ”
เฉิงเจวี้ยนละสายตา ก่อนจะเหลือบมองเขา ตอบว่า ‘อืม’ อย่างเฉยเมย
สายตาเบนมาที่เอกสาร เขาหยิบขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คดี 712 ฉันอ่านแล้วสองรอบ พบข้อสงสัยหลายจุด หล่อนอยู่ในเหตุการณ์จริง เพียงแต่ข้อมูลถูกลบไป”
“หืม?” ลู่จ้าวอิ่งได้สติขึ้นมาในภายหลัง ‘หล่อน’ จากปากของเฉิงเจวี้ยนน่าจะเป็นฉินหร่าน
ไม่รู้ว่าอยู่ในบทบาทอะไร
……
ตอนกลางวันหลี่อ้ายหรงให้ข้อสอบภาษาอังกฤษ
ฉินอวี่หยิบโทรศัพท์มา แล้วพูดกับตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันจะไปหาอาจารย์ฟิสิกส์พอดี ฉันช่วยเธอหยิบละกัน”
ตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษรีบขอบคุณทันที
มาถึงห้องทำงาน อู๋เหยียนถือข้อสอบภาษาอังกฤษมาพอดี สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เธอเป็นอะไร” ฉินอวี่ก็หยิบข้อสอบภาษาอังกฤษมาแล้วถามเพิ่มราวกับไม่ได้ตั้งใจ
อู๋เหยียนอยู่ฝ่ายฉินอวี่ ผู้หญิงเหมือนกัน เธอรู้สึกได้ว่าฉินอวี่ไม่ชอบฉินหร่านเหมือนกัน
“มีการแข่งขันสุนทรพจน์ประจำชั้นไม่ใช่เหรอ คนในห้องโหวตเพื่อเลือกคน” อู๋เหยียนอุตส่าห์เข้าไปอยู่ในทีมได้ เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกับพวกสวีเหยากวง ฉินหร่านไม่ได้ยกมือก็ได้เข้าร่วมแล้ว พูดถึงเรื่องนี้เธอก็อิจฉาตาร้อน “ก็มีแค่ฉินหร่านที่ไม่ได้ทำอะไร นี่ยังไม่นับว่าพวกเขาตัดสินใจเป็นเสียงเดียวว่าให้ฉินหร่านพูดคนสุดท้าย เธอว่าหล่อนมีสิทธิ์อะไร หล่อนไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังเอาผลงานของพวกเราไปกล่าวสุนทรพจน์ ถึงเวลานั้นอาจารย์ถามขึ้นมาหล่อนจะทำอย่างไร”
ฉินอวี่ได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ
ผ่านไปสักพัก เธอยิ้มออกมา “เธอน่าจะไม่ทำมันล่มหรอก”
อู๋เหยียนหัวเราะพรืด เอ่ยขึ้นอย่างร้ายๆ ว่า “ใครจะไปรู้กัน ในนั้นยังมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษสองสามคำ หล่อนอย่าทำพลาดแล้วกัน”
ทั้งสองเดินอยู่ก็ได้ยินคนสองสามคนกำลังพูดถึงฉินหร่านอยู่บริเวณไม่ไกล
ตอนเดินผ่านพวกเธอทั้งสองยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่แลมองฉินอวี่แม้แต่น้อย
ฉินอวี่กำข้อสอบไว้ ไม่ชินกับการถูกเมินสุดๆ
เดินมาถึงมุมเลี้ยว อู๋เหยียนจะขึ้นชั้นบน ส่วนฉินอวี่จะลงชั้นล่าง
“เธอช่วยฉันถือข้อสอบหน่อย ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ” ฉินอวี่ชะงักฝีเท้าแล้วส่งข้อสอบให้อู๋เหยียน
“เธอไปเถอะ” อู๋เหยียนรับข้อสอบมา
ฉินอวี่ไม่มีกระเป๋าจึงส่งโทรศัพท์ให้อู๋เหยียนด้วยเช่นกัน
อู๋เหยียนถือไว้ วางโทรศัพท์ของเธอไว้บนข้อสอบ
โทรศัพท์ของฉินอวี่ไม่ได้ล็อกหน้าจอ
ทันใดนั้นหน้าจบสว่างวาบ
ในนั้นคืออัลบั้มรูปหนึ่ง
อู๋เหยียนไม่อยากดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่น กำลังยื่นมือไปปิด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นรูปที่ถูกกดเปิดออกเข้า มือชะงักกึก
พื้นหลังมืดมาก ไฟริมทางสว่างอยู่ มีคนสองคน ด้านข้างคือรถเบนซ์สีดำคันหนึ่ง คนที่หันหลังให้กล้องคือผู้ชาย ดูออกว่าอายุไม่น้อยแล้ว
ทั้งสองเหมือนจะจับมือกัน
สายตาของอู๋เหยียนเลื่อนไปที่ร่างของผู้หญิง
บนภาพถ่าย ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดเจน หัวใจอู๋เหยียนเต้น ‘ตึกตัก’ เร็วมาก เธอจำได้…บนรูปใบนั้นคือฉินหร่าน