เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 814 ตัวปัญหากำลังเดินทางมา
แต่คราวนี้รัชทายาทมิได้เคืองโกรธ เก็บท่าทางเหมือนจะฆ่าคนกลับไปอย่างรวดเร็ว “พูดต่อสิ”
ขันทีกลืนน้ำลาย เมื่อครู่เขากลัวแทบตายแล้วจริงๆ ยังคิดว่าวันนี้คงรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ขันทีโบกมือ ให้คนในตำหนักออกไปทั้งหมด แล้วไปปิดประตูห้อง เมียงมองหน้าต่างอย่างระแวดระวังด้วยกลัวว่าจะมีคนแอบฟัง จัดการทั้งหมดเสร็จแล้วจึงค่อยหันหลังกลับมา เอ่ยเสียงเบา “องค์รัชทายาทโปรดอย่าตำหนิกระหม่อมพูดจาเหลวไหล เดิมทีเรื่องพิสดารเหนือธรรมชาติเหล่านี้กระหม่อมเองก็ไม่เชื่อ ทว่านิสัยจั้นอ๋องเป็นอย่างไรมีหรือพระองค์กับกระหม่อมจะไม่รู้ เขาเย็นชาเสมอมา ในจวนอ๋องแม้แต่นางสนมสักคนก็ยังไม่มี แต่ไรมาเห็นสตรีไร้ตัวตน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้ดีต่อสตรีถึงเพียงนั้น? หากเป็นเหล่าคุณหนูในเรือนห้องปกติก็ยังแล้วไป หรือเป็นแค่หญิงสามัญชนบริสุทธิ์ก็ยังไม่เป็นปัญหา ทว่าหญิงชั่วคนนั้นเสียพรหมจรรย์ซ้ำยังมีลูกแล้ว จั้นอ๋องไม่เพียงแต่ดูแลเอาใจใส่เด็กนอกคอกสองคนเป็นอย่างดี ทั้งยังปฎิบัติต่อสตรีคนนั้น…องค์รัชทายาทไม่รู้สึกหรือว่าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก?”
ฟังขันทีเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของรัชทายาทดำเข้มดุจน้ำถึงที่สุด “หมายความของเจ้าคือ เป็นปีศาจจิ้งจอกจริง?”
ขันทีอาวุโสพยักหน้า “ตามที่กระหม่อมเห็น เกรงว่าแปดเก้าในสิบส่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอาวาสวัดไท่ฉางผู้นั้นเป็นภิกษุสมณศักดิ์สูง แต่เขาเคยได้รับการช่วยเหลือจากคนชั่วผู้นั้น เกรงว่าคงมิได้…” รัชทายาทตรัสด้วยความลำบากใจ
ขันทีเองก็ครุ่นคิดเงียบเชียบไปพักหนึ่ง ต่อมาก็พูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ได้ข่าวว่าช่วงนี้นักพรตเสียงอวิ๋น (เมฆมงคล) จัดปาฐกถาธรรมที่วัดเต๋าชิงอวิ๋น (เมฆาเขียว) แม้ไม่แน่ว่าจะเทียบเจ้าอาวาสได้ แต่ก็มีความสามารถ หรือมิสู้ลองเชิญเขาไปดู? ”
“อืม เจ้าไปจัดการเถอะ ปิดเป็นความลับหน่อย อีกอย่าง พูดให้ดี ความปลอดภัยของจั้นอ๋องเกี่ยวข้องกับราษฎรทั้งใต้หล้า ห้ามสะเพร่าเด็ดขาด!” รัชทายาทยังไม่วางใจสั่งการซ้ำอีกรอบ
ซูเซียงทางนี้ยังหลับฝันหวาน จ้าวเซิงนั่งอยู่ข้างๆ มองใบหน้าสวยหวานยามหลับของนางอย่างเงียบเชียบ ยังมีส่วนท้องที่โป่งขึ้นน้อยๆ ลมหายใจแผ่วเบายามนางหลับยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเขาอ่อนยวบจนเหลวไปนานแล้ว คราก่อนภรรยาให้กำเนิดบุตรของตัวเอง เขาไม่ได้อยู่เคียงข้างกาย ครั้งนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็จะไม่ยอมห่างจากนางแม้แต่ครึ่งก้าว
แต่สิ่งที่สามีภรรยาคู่หวานชื่นไม่รู้เลยก็คือ มี “ตัวปัญหาใหญ่”กำลังเดินทางมา
เวลาล่วงมาถึงต้นฤดูร้อน จักจั่นบนปลายยอดไม้ร้องเสียงระงม น่ารำคาญยิ่งนัก
เดิมทีซูเซียงอยากจะหลับต่อ ผลคือพลิกไปพลิกมาข้างหูก็มีแต่เสียงชนิดหนึ่ง นางลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “ชุ่ยหลิ่ว ชุ่ยหลิ่ว!”
“เจ้าค่ะๆ มาแล้วๆ!” ชุ่ยหลิ่วรีบโยนกระบอกไม้ไผ่ในมือ เนื้อตัวสีเทามอมแมม
ซูเซียงเห็นหยากไย่เต็มหัวนาง บนตัวยับเยิน ก็มองนางด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ชุ่ยหลิ่วเห็นซูเซียงอยู่ดี จึงค่อยถอยหลังไปหลายก้าวปัดกวาดฝุ่นผงบนตัว ยังดึงแมงมุมลายดอกสองสามตัวลงมาจากด้านบน “ข้าได้ยินจักจั่นนั่นร้องแล้วรำคาญใจ ก็เลยหยิบกิ่งไม้ว่าจะตะปบเจ้าตัวน้อยพวกนี้”
“องค์ชายล่ะ?” ซูเซียงพยักหน้า แมลงตัวน้อยพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ ตัวเล็กจิ๊ดเดียว กลับร้องเสียงดังขนาดนั้น ไม่รู้ว่าในตัวติดตั้งลำโพงไว้รึเปล่า จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ตั้งแต่ซูเซียงตื่นก็ไม่ยังเงาร่างของจ้าวเซิง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อ๋อ ท่านหมอหลี่มาหา องค์ชายเขาพาเขาไปเก็บไป๋จี[1]แล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยหลิ่วตอบ
พูดถึงไป๋จีซูเซียงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ ก่อนที่ดินผืนนี้จะพระราชทานให้แก่นาง ตรงหัวมุมพื้นที่ยาวสองหมู่เป็นไป๋จี แต่น่าเสียดายคนที่นี่ไม่รู้จัก ยังคิดว่าเป็นวัชพืชไว้เลี้ยงโคอะไรทำนองนั้น เหยียบย่ำไปไม่น้อย ตอนนั้นซูเซียงหมุนเวียนดินขึ้นมา ปีนี้ก็เข้าปีที่สี่พอดี เป็นช่วงเวลาที่ไป๋จีมีคุณสมบัติทางยาดีที่สุด
ซูเซียงมองฟ้านอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม และไม่ร้อนมากจึงเอ่ยขึ้น “รองเท้าพื้นแข็งคู่นั้นวางไว้ที่ใดแล้ว? เราเองก็ไปดูกันหน่อย”
“เจ้าค่ะ” พูดแล้วชุ่ยหลิ่วก็ไปหยิบรองเท้าให้ซูเซียง
ในชีวิตประจำวันซูเซียงอยู่บ้านล้วนใส่รองเท้าผ้าพื้นนิ่ม แต่นี่จะออกนอกบ้าน ก้อนกรวดเอย กิ่งไม้แห้งเอย มีไม่น้อยทีเดียว รองเท้าพื้นนิ่มเกรงว่าจะไม่เหมาะ ชุ่ยหลิ่วจึงทำรองเท้าคู่ใหม่ให้ซูเซียง ด้วยเหตุนี้ ยังถูกแม่นมที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมาบ่นเสียยกใหญ่
——
[1] ไป๋จี (白芨) เป็นกล้วยไม้ดิน เติบโตใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าหนาว มีถิ่นกำเนิดในญี่ปุ่น, จีน, เนปาล ในประเทศจีน บางส่วนของเหง้ากล้วยไม้จะตายแล้วกลายเป็นแป้ง แล้วนำมาผสมกับน้ำมันงา นำมาทำเป็นยารักษาโรคได้