เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 817 ระดับวิญญาณผสานของท่านสูงมากทีเดียว
นักพรตมาจากไหน?
ซูเซียงกะพริบตาอย่างฉงนสนเท่ห์ หลังนางมาถึงสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เคยไปอารามวัดเต๋าอะไรสักแห่ง นักพรตที่ไหนยังจะมารอนางอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน?
แม้ซูเซียงไม่นับถือพุทธไม่นับถือเต๋า แต่นางก็รู้หลักทำดีต่อผู้อื่น มีอย่างที่ไหนมีนักพรตพระภิกษุมาบ้านไม่ต้อนรับ
คิดดูแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รีบเชิญนักพรตไปดื่มชาที่โถงบุปผา[1]ก่อน ข้ากลับไปผลัดเสื้อผ้าเดี๋ยวมา”
ตอนซูเซียงมาถึงโถงบุปผาอีกครั้ง ก็เห็นชายชราผอมแห้งสวมชุดนักพรตนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเล็กเรียวแหลมกับคู่ดวงตาสามเหลี่ยมคว่ำ แค่เห็นก็มิใช่รูปลักษณ์ดีอะไรนัก ทว่ามีหนวดขาวแกมเทาบดบังริมฝีปากบางคู่นั้นไว้ก็ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย
ซูเซียงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรต่อนักพรตท่านนี้ รู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด รู้สึกว่าหน้าตาเหมือนกับพวกร่างทรงในตำนาน!
หลังนักพรตท่านนั้นเห็นซูเซียงเข้ามาแล้ว ถึงขั้นมองขึ้นๆ ลงๆ ตาไม่กะพริบ จ้องเขม็งมองประเมินอยู่สักพัก ซูเซียงกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างๆ นั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง
“ท่านนักพรตท่านนี้ ท่านจ้องฮูหยินของเราเช่นนี้ต้องการจะดูอะไรหรือเจ้าคะ?!”
เสียงอวิ๋นเดิมทีได้รับบัญชาของรัชทายาทลงมาในใจโมโหบันดาลโทสะ คิดว่าปีศาจจิ้งจอกน่ารังเกียจนั่นบังอาจล่อลวงอ๋องสงครามของราชวงศ์ ต่อให้เขาต้องแลกด้วยชีวิตก็จะไม่ยอมให้ปีศาจจิ้งจอกนั่นตายดี
ทว่าบัดนี้ เขาเพียงมองซูเซียงหนึ่งสายตา ความคิดในใจก็พลิกกลับตาลปัตร บนหน้าเผยรอยยิ้มคิกคัก พูดเอ็ดชุ่ยหลิ่ว “เจ้าสาวน้อยคนนี้ ข้าไม่พูดกับเจ้า”
พูดพลางเยื้องย่างมาทางข้างกายซูเซียงสองก้าว ปั้นหน้ายิ้ม มองประเมินอีกหนึ่งรอบ เอ่ยแฝงเลศนัย “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง หลบมาได้หรือไม่ ผินเต้า[2]มีวาจาอยากพูดคุยกับจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงสักสองสามประโยค”
เนื่องด้วยหน้าตาเป็นเหตุ ความประทับใจแรกต่อนักพรตท่านนี้จึงไม่ใครดีนัก เพราะคนตาสามเหลี่ยมคว่ำ ริมฝีปากแบนบางมักจะไม่ใช่ของดีสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด บัดนี้คนผู้นี้ปั้นหน้ายิ้มอยู่เบื้องหน้าสายตาตนกลับมิได้รู้สึกว่าน่ารังเกียจขนาดนั้น นี่เป็นความรู้สึกประหลาดพิสดารชนิดหนึ่ง
ซูเซียงเปลี่ยนความคิดต่อนักพรตคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล โบกๆ มือ นอกจากชุ่ยหลิ่วแล้วก็ให้คนอื่นถอยไป
บนหน้าเสียงอวิ๋นเผยแววไม่พอใจอยู่บ้างเล็กน้อย จ้องชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างๆ “สาวน้อยคนนี้ ไยยังไม่ไป?”
ซูเซียงกลับยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ท่านนักพรตมีวาจาอันใดเชิญท่านพูดได้เลย”
เซียงอวิ๋นแค่นเสียงหึใส่ชุ่ยหลิ่วหนึ่งเสียง ต่อมาก็ประเมินซูเซียงขึ้นๆ ลงๆ อีกรอบ ลูบหนวดเคราแกมขาวแกมเทาหัวเราะเฮอะๆ “ระดับวิญญาณผสานของเจ้านี้สูงมากทีเดียว โอ้ เดรัจฉานน้อยในท้องนี่น่าสนใจจริงเชียว!”
ตอนซูเซียงได้ยินประโยคแรกสับสนมึนงง ทว่าพอได้ยินประโยคหลังที่ว่า ‘เดรัจฉานน้อย’ ก็ไม่ยินดีอย่างยิ่ง เงยหน้าถลึงตาจ้องนักพรตคนนั้น “ท่านนักพรตเองก็เป็นผู้ออกบวช ไยพูดจาไม่รู้ขอบเขตเช่นนี้ ข้าท้องเด็ก มิใช่ลูกเดรัจฉาน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กน้อยคนนี้ มีอย่างที่ไหนให้เจ้าต่อปากต่อคำเช่นนี้? ลูกเดรัจฉานตัวนี้มีวาสนากับข้า มิสู้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงยอมว่าตามข้า หลังคลอดแล้วมอบให้ข้ามาเลี้ยงดูเป็นเยี่ยงไร?”
ซูเซียง “!!’
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฐานะนักพรตของฝ่ายตรงข้าม นางอยากพูดประโยคหนึ่งจริงๆ “ไสหัวไปหาแม่ท่านไป!”
ชุ่ยหลิ่วหัวเราะเย้นหยันพูดเนือยๆ อยู่ข้างๆ “ท่านนักพรตอาจจะฝันสูงไปหน่อย คงทราบว่าเด็กในท้องฮูหยินของข้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเชื้อสายของพระสวามีองค์หญิงเต๋อฮุ่ย มีที่ไหนท่านบอกอยากได้ก็จะได้?!”
เสียงอวิ๋นถลึงตาใส่ชุ่ยหลิ่วอย่างไม่พอใจ หัวเราะหึหึ “ข้าบอกแล้ว เดรัจฉานผู้นี้มีชะตาต้องกันกับข้า เราคอยดูต่อไปเถอะ เขาจะต้องเติบโตภายใต้ชื่อของข้า หึหึ!”
เสียงอวิ๋นยังคงมุ่ยปากเคืองอยู่ตรงนั้น ซูเซียงกลับเอือมระอาเต็มหน้า ลูบหน้าผากซับเหงื่อที่ซึมออกมา “ขอเรียนถามท่านนักพรตวันนี้มาจวนข้าด้วยเหตุธุระอันใด?”
คำพูดนี้ชัดเจนว่าไล่คนแล้ว ความหมายที่พูดคือ ถ้าไม่มีธุระก็รีบไสหัวไปได้แล้ว
เสียงอวิ๋นกลับไม่โกรธเคืองซูเซียง มองท้องของนางอีกครั้ง ยิ้มเปี่ยมเมตตา กระทั่งตาสามเหลี่ยมคว่ำก็ยังโค้งลงมาเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว
——
[1] โถงบุปผา หรือฮวาทิง (花厅) คือบริเวณโถงรับแขกขนาดใหญ่ด้านนอกอาคารบ้านของเรือนสมัยก่อน มักสร้างตรงลานขนาบหรือในสวนดอกไม้
[2] ผินเต้า (贫道) คําที่นักพรตใช้เรียกตนเองเพื่อแสดงความถ่อมตน