เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 821
ลอบสังหารระหว่างทางเข้าเมืองหลวง
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ขันทีพยักหน้ารับคำ เดินถึงหน้าประตูแล้วหันกายกลับมาอีกครั้ง “นักพรตเสียงอวิ๋นไม่ส่งจดหมายมาหลายวันแล้ว พระองค์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกปีศาจจิ้งจอกนั่นล่อลวงเสียแล้ว?”
หัวคิ้วองค์รัชทายาทบิดเป็นตัวอักษรชวน(川) โบกมือให้ขันทีผู้นั้น “เจ้าไปจัดการงานก่อน เรื่องอื่นรอกลับมาค่อยว่ากัน!”
เขาไม่นับถือไสยศาสตร์ ครานี้ต้องจับตาดูให้ดีว่าแท้จริงแล้วซูเซียงเป็นปีศาจอะไรกันแน่! เขาเป็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ มีพลังมังกรปกป้อง จะกลัวอะไรกับอีแค่ปีศาจจิ้งจอกกระจ้อยร่อยตัวหนึ่ง!
ทางพระพันปีได้ยินว่าจักรพรรดิมีราชโองการเรียกซูเซียงเข้าวังก็ทรงกริ้วจนคว่ำถ้วยยา นอนไอบนเตียงเป็นครึ่งวันจนแทบหายใจไม่ออก “ เจ้าเดรัจฉานชั่วนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?! ”
แม่นมผู้ติดตามข้างกายเร่งมือเร่งเท้าทำความสะอาดเศษสกปรกบนเตียงให้พระพันปี ในปากเกลี้ยกล่อม “ถ้าพระพันปีทรงกริ้ว พระวรกายย่ำแย่จะไม่คุ้มกันนะเพคะ จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงจิตใจดีมีคุณธรรม สวรรค์ย่อมคุ้มครอง เราจัดคนแอบคุ้มกันอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเพคะ ”
แม่นมหยุดชะงักแล้วพูดต่อ “พูดอย่างมีฐานทรยศเนรคุณล่ะก็ จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบัดนี้ในท้องอุ้มทายาทจวนแม่ทัพจ้าว ฝ่าบาทแบกรับข้อกล่าวหาปฎิบัติมิชอบต่อขุนนางผู้มีความดีความชอบไม่ไหวหรอกเพคะ พระองค์วางใจเถิดเพคะ ”
วาจานี้ของแม่นมแท้จริงแล้วก็ค่อนข้างมีความผิดฐานเนรคุณ ทว่าในห้องบรรทมของพระพันปี มีเพียงพวกนางสองคน พูดไปก็ไม่เห็นเป็นไร
เดิมทีพระพันปีทรงกริ้วยิ่งนัก ครั้นได้ยินคำพูดของแม่นมจึงผ่อนลมหายใจลง “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าจัดเตรียมคนคุ้มกันให้ดี อย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด แล้วก็ส่งพวกเทียนฉาน(ไหมฟ้า) ออกไปให้คอยคุ้มกันระหว่างทาง อายเจียกลัวมีคนทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก”
แม่นมไม่เคยคำนึงถึงจุดนี้มาก่อน หลังได้วาจาของพระพันปีแล้วรู้สึกเย็นวาบ ตามด้วยพยักหน้ากล่าว “เกรงว่าไม่นานองค์ชายและหวังเฟยคงเข้าเมืองหลวงแล้ว เวลาบีบคั้นเข้ามา คืนนี้หม่อมฉันไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ได้ ประเดี๋ยวจะให้ฝูจื่อต้มยาให้ท่าน พระองค์ต้องรับปากกระหม่อมว่าจะดื่มอย่างดี อย่าได้ทรงโกรธกริ้วกลุ้มพระทัย”
พระพันปีกุมหน้าผากพยักหน้าอย่างจนใจ “ได้ เจ้าไปเถิด”
เป็นดังที่พระพันปีคาดคะเน มีคนทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก!
ในคืนแรกที่พวกซูเซียงมาถึงทางเข้าประตูเมือง พำนักในโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น
เนื่องด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางซูเซียงจึงไม่อยากอาหาร ดื่มเพียงน้ำแกงที่ชุ่ยหลิ่วต้มด้วยตัวเองชามหนึ่ง ไม่ได้แตะอาหารอย่างอื่น ทว่าคนอื่นๆต่างออกไป มากน้อยก็ล้วนกินกันจำนวนหนึ่ง แต่ละคนต่างสะลึมสะลือ ในขณะที่เกิดเพลิงขึ้นก็เป็นซูเซียงที่ได้สติขึ้นมาก่อน
“ท่านพี่ตื่น ตื่น นี่ๆ! ผู้แซ่จ้าวเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้! มารดามันเถอะ!” ซูเซียงร้องเรียกหลายเสียงก็ไม่เห็นจ้าวเซิงลืมตาตื่น รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว
แสงสว่างวาบในสมอง เดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
คว้าจ้าวเซิงทะยานลงมาจากหน้าต่างด้านหลังทันที ขณะที่นางกำลังจะโคจรพลังขึ้นไปช่วยพวกชุ่ยหลิ่วอีกครั้ง กลับเห็นคนสีขาวสีดำสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอยู่
ต่อมาเห็นสตรีปกปิดใบหน้า สวมอาภรณ์ขาว ยกผมสูง กำลังลากชุ่ยหลิ่วและพวกองครักษ์มังกรโยนออกมาข้างนางทีละคน ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้เปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว บนใบหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับตอไม้ แม้กระทั่งลมหายใจยังแผ่วเบา หากมิใช่เพราะซูเซียงร่ำเรียนมาบ้างเล็กน้อย เกรงว่านางคงไม่รู้สึกถึงเสียงลมหายใจอันน้อยนิดนี้กระมัง
สตรีอาภรณ์ขาวพาคนออกมาโดยรวดเร็วกวาดล้างกลุ่มคนชุดดำจนหมดสิ้น จากนั้นก็จากไปเร็วปานไฟอัคคี ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน ไฟลุกโชนเผาไหม้ตลอดทั้งคืน นอกจากซากปรักหักผังและศพเกลื่อนเต็มพื้นแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย
ทว่าโชคดีที่โรงเตี๊ยมที่พวกซูเซียงกับจ้าวเซิงพักอยู่เวลานี้เดิมทีถูกคนวางกับดัก ไม่มีชาวบ้านสามัญเข้ามา ดังนั้นจึงไม่มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินจริงๆ!
ซูเซียงอยากไล่ตามไปถามสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นจริงๆว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าสตรีคนนั้นไม่แม้แต่มองนางเต็มตาด้วยซ้ำ ทะยานร่างบินไป ระดับความเร็วนั้นเฉกเช่นพิราบขาวบนนภา บินโฉบผ่านไป
ซูเซียงมุมปากกระตุก รู้ตัวว่าวรยุทธ์ของตนกับนางห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว คิดจะไล่ตามก็คงตามไม่ทัน
ชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างกายฟื้นขึ้นมอย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นสับสนเต็มหน้า ต่อมาก็ลุกกระโดดขึ้นอย่างตื่นตระหนกเต็มหน้า ดึงซูเซียงเข้ามาตรวจดูขึ้นๆลงๆ “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? องค์ชายล่ะ…”