เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 824
เข้าวังประสบความลำบากใจ
“ต่อไปนี้เจ้าต้องระวังให้มาก ปกป้องเดรัจฉานน้อยของข้าให้ดี เตี๋ยเอ๋อร์บอกแล้วว่า รอให้นางออกจากถ้ำเห็นเดรัจฉานน้อยแล้วนางจะยอมยกโทษให้ข้า ฮ่าๆ!”
ขณะที่ซูเซียงกำลังตำหนิอยู่ในใจ นักพรตชราก็เอ่ยตามมาอีกหนึ่งประโยค “บอกตั้งแต่แรกแล้ว เตี๋ยเอ๋อร์กับข้าเป็นคู่ฟ้าประทาน ฮ่าๆ ใจตรงกันล่ะ ต้องตาเดรัจฉานคนเดียวกัน! ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
เอ๊ะ? ประโยคนี้หมายความว่า ก่อนหน้านี้สองคนไม่เคยติดต่อกัน?
ณตำหนักพระพันปี ดรุณีอาภรณ์ขาวยกผมทรงสูงคนนั้นกำลังคุกเข่าข้างหนึ่ง รายงานภารกิจต่อพระพันปี “หน่วยลับของฮู่กั๋วกงถูกกำจัดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของเฟิงอวิ๋น ใช่แล้ว ข้าน้อยยังบังเอิญเจอเด็กรับใช้ของท่านหมอเตี๋ย แต่ไรมานางไม่ชอบสุงสิงไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ออกมาโดยไม่มีเหตุผล ข้าน้อยเดาว่า…”
พระพันปีตื่นตะลึง “เจ้าดูดีแล้วหรือ แน่ใจว่าเป็นเด็กรับใช้ของท่านหมอเตี๋ย?”
พอพูดถึงเด็กคนนี้ สตรีอาภรณ์ขาวที่หน้านิ่งไร้อารมณ์มาตลอดมุมปากเกิดกระตุกอย่างน่าสงสัย พวกนางสองคน พูดให้น่าฟังหน่อยก็ “ความสัมพันธ์ลึกล้ำ” พูดให้ไม่น่าฟังล่ะก็ เฮอะ…
“เพคะ ข้าน้อยไม่มีทางมองผิดแน่!”
เด็กหญิงตัวน้อยมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงทั้งยังหวงวาจาดุจทองคำคนนั้น พระพันปีเองก็รู้จัก คนผู้นั้นน่ะหรือ ขอเพียงแค่เคยสื่อสารกับนาง นั่นย่อมเป็นฝันร้ายทั้งชีวิต กลายเป็นเถ้าธุลีแล้วก็ยังจำได้!
“ในเมื่อเป็นเด็กรับใช้ของหมอเตี๋ย เช่นนั้นผู้ที่ลงมือแปดส่วนก็เป็นเฟิงอวิ๋นแล้ว” พระพันปีเอ่ยอย่างครุ่นคิด บุญคุณความแค้นระหว่างคนทั้งสองนางก็พอรู้อยู่บ้าง คู่รักคู่กัดกันมิใช่หรือ เพียงแต่ สองคนนี้ไม่ปรากฏโฉมทางโลกนานมากแล้ว เหตุใดครานี้?
สามวันต่อมา ซูเซียงกับจ้าวเซิงเข้าวังรับราชโองการอย่างเป็นทางการ
“กงกงเอ่ยเช่นนี้หมายความอย่างไร?” จ้าวเซิงมองกงกงผู้รับใช้ข้างกายพระบิดาด้วยหน้านิ่งเย็นชา
“นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท กระหม่อมเพียงประกาศราชโองการ ขอท่านอ๋องอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย ฝ่าพระบาททรงตรัสแล้วว่า จวิ้นจู่เข้าวังควรปฎิบัติตามระเบียบของจวิ้นจู่ ไร้แม่สื่อสู่ขอหมั้นหมาย เดินด้วยกันกับท่านอ๋องมิสอดคล้องตามกฎ” กงกงผู้นั้นแม้ก้มหน้าพูด ทว่าสารที่เผยออกมานั้นทำให้คนไม่ใคร่ปลื้มใจนัก
“อะไรคือไร้แม่สื่อสู่ขอหมั้นหมาย นางเป็นภรรยาของข้าองค์ชาย มีสินสอดมีทะเบียนสมรส ไยไม่อาจเข้าวังพร้อมกับข้าได้?!” จ้าวเซิงรู้แต่แรกว่าเรื่องวันนี้คงไม่ราบรื่นนัก แต่คาดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะสำแดงอำนาจข่มเหงถึงเพียงนี้ อารมณ์เรียกได้ว่าจมดิ่งถึงก้นบึ้ง
“กระหม่อมเพียงประกาศราชโองการ ขอท่านอ๋องโปรดอภัย!” กงกงยังคงก้มหน้า ไม่อ่อนน้อมไม่อวดดี
ซูเซียงกลัวจะเกิดเหตุทะเลาะอะไรขึ้น ดึงแขนเสื้อของจ้าวเซิงไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นเรียนถามกงกง ข้าจวิ้นจู่ต้องไปเข้าเฝ้าถวายบังคมไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงก่อนหรือไม่?”
มุมปากของกงกงผู้นั้นปรากฏรอยเย้ยหยัน พูดในใจ : เป็นแค่หญิงชนบทบ้านป่า ยังคิดไปเข้าเฝ้าพระพันปี คิดว่าพึ่งใบบุญต้นไม้ใหญ่อย่างพระพันปีแล้วฝ่าบาทจะทำอะไรเจ้าไม่ได้สิท่า?
“ฝ่าบาทมีราชโองการ เชิญจวิ้นจู่ไปห้องเครื่องจัดเตรียมพระกระยาหารเที่ยงให้ฝ่าบาทและเชื้อพระวงศ์ เรื่องอื่นค่อยว่ากันภายหลังเถิด” กงกงตอบไม่ยินดียินร้าย
นี่หมายความว่าอะไร?! เห็นนางเป็นแม่ครัวหรือ?!
ขณะที่จ้าวเพลิงกำลังจะระเบิดโทสะ แม่นมสนองโอษฐ์ของพระพันปีก็มุ่งเข้ามา “ถวายบังคมเซียงหรงจวิ้นจู่ ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงรอจวิ้นจู่อย่างใจจดใจจ่อ เชิญจวิ้นจู่รีบตามหม่อมฉันมาเพคะ”
ซูเซียงเห็นแม่นมหน้าตาใจดีคนนี้ก็ใจชื่นขึ้นสองส่วน ทว่าก็รู้ดี ในวังหลวงแห่งนี้แต่ไรมาผู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ จึงหันหน้ามองจ้าวเซิงถามความคิดเห็นของเขา
ตอนแม่นมมาถึงสายตาของจ้าวเซิงก็อ่อนลงมาแล้ว กุมมือซูเซียงแล้วตบๆ “นางเป็นแม่นมติดตามข้างกายเสด็จย่า เจ้าวางใจตามนางไปเถิด”
ซูเซียงจึงค่อยยิ้มออก วางใจลงได้ไม่น้อย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงแค่มีพระพันปีปกป้อง อย่างมากที่สุดก็ถูกกดดันให้ลำบากใจ ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับนาง
“ขอบพระคุณหมัวมัวนำทาง” ซูเซียงกล่าวกับแม่นมคนนั้นอย่างเกรงใจ
แม่นมอดมิได้ที่จะเหลือบมองซูเซียง เคยได้ยินท่านผู้นั้นเอ่ยถึงมานานแล้วว่าเป็นสตรีรู้ความรู้มารยาททั้งยังเปิดกว้างร่าเริง วันนี้ได้พบเจอ ใจกว้างเป็นธรรมชาติ ไม่ใจร้อนบุ่มบ่ามอย่างที่คิด อีกทั้งดูแล้วกับท่านอ๋องยังรักใคร่เชื่อใจกันอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดพระพันปีคงวางพระทัยได้แล้ว