เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 839 กลุ่มคนมุงผู้ยืนอยู่จุดสูงส่งของศีลธรรม / ตอนที่ 840 ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนใต้หล้า
- Home
- เพราะรักสลักใจ
- ตอนที่ 839 กลุ่มคนมุงผู้ยืนอยู่จุดสูงส่งของศีลธรรม / ตอนที่ 840 ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนใต้หล้า
ตอนที่ 839 กลุ่มคนมุงผู้ยืนอยู่จุดสูงส่งของศีลธรรม
อีกทั้ง เรื่องบางเรื่องหากปะทุออกมาจะกลับกลายเป็นข่าวฉาวของราชวงศ์ รวมถึงทารกในท้องซูเซียงเดิมทีก็เป็นทายาทของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน หากมีประโยคไหนเอ่ยออกมาไม่เหมาะสม ผลที่ตามก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
แต่คนเหล่านี้ดูเหมือนมิได้เข้าใจความตั้งใจดีของเขา จักรพรรดิบนบัลลังก์พักตร์มังกรโกรธกริ้ว ตำหนิเสียงลั่นว่าซูเซียงเป็นเภทภัยทำลายบ้านเมืองและราษฎร ทำให้โอรสตนเอาใจออกห่างพวกเขา เขาจักต้องฆ่าตัวกาลกิณีตนนี้ให้จงได้
แต่รัชทายาทที่อยู่ข้างๆกลับทุกข์โศกเต็มหน้า ขอโทษจ้าวเซิงไม่ขาดปาก “เป็นข้าผู้เป็นพี่ชายไม่ดีเอง คืนนั้นไม่ควรรั้งเจ้าอยู่ในตำหนักนาน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่ข้าคิดอยากให้เป็น ไยเจ้าไม่เห็นใจ เข้าใจความตั้งใจดีของข้าพี่ชายบ้าง เจ้าจะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องยี่สิบกว่าปีของเราเพียงเพราะหญิงอำมหิตจิตใจชั่วร้ายเช่นนั้นน่ะหรือ?”
“หึๆ…” จ้าวเซิงฟังถึงตรงนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวยิ้มเยาะออกเสียง ทว่าหลังเขาหัวเราะแล้วก็ยังคงไม่พูดอะไร เพียงโขกคำนับให้จักรพรรดิบนบัลลังก์กับรัชทายาทที่อยู่ด้านข้างแยกกัน น้ำเสียงเย็นชาเยือกเย็น “เรื่องเมื่อวานทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ กระหม่อมไม่ยินดีกระทำให้ไม่น่ามอง ยังขอให้เสด็จพ่อทรงกรุณาเห็นแก่ผลงานความเหนื่อยยากของกระหม่อม ทั้งความเจ็บปวดสูญเสียบุตรอันเป็นที่รัก ซ้ำภรรยาบาดเจ็บหนัก ถอดถอนตำแหน่งชินอ๋องของกระหม่อม ลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋องหรือสามัญชน กระหม่อมยินดีส่งมอบอำนาจทหารให้ด้วยตนเอง ขอเพียงกับเสด็จพ่อกับรัชทายาทอย่าบังคับกระหม่อมสามีภรรยา ”
จ้าวเซิงแม้มิได้เปิดโปงเรื่องเมื่อวานออกมา แต่คำพูดคราวนี้เห็นชัดว่าไม่เหมือนก่อนหน้า บนราชสำนักล้วนเป็นคนปราดเปรื่อง อย่าว่าแต่คำพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้คนหนึ่งย่นหัวคิ้ว ตอนทักทายเปลี่ยนคำพูดคำเดียว ในใจพวกเขาก็กระจ่างชัดดุจกระจกแล้ว
เหล่าอำมาตย์ในราชสำนักเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ทว่าเขตพระราชฐานลึกลับเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ปรารถนาจะเข้าร่วมวงด้วย
อีกทั้งผู้คนคิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์ของรัชทายาทกับจ้าวเซิงมิได้กลมเกลียวกันมากนัก ข่าวคราวที่แว่วมาบ่อยครั้งมักเป็นสองพี่น้องทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงเพียงเพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่บัดนี้รัชทายาทถึงกับแทนตัวเองว่า “ข้า”กับจ้าวเซิงกลางท้องพระโรง ซ้ำยังเอ่ยขอโทษวิงวอนจากใจจริงถึงเพียงนี้ แค่คิดก็รู้ได้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขาแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร
ในจำนวนนั้นมีหลายคนมุ่งมาดเพื่อความมั่นคงของราชสำนักอย่างแท้จริง และมองออกถึงความลำบากทุ่มเทและความจนใจเต็มที่ของรัชทายาท พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้มีคนจงใจลอบทำร้ายเช่นนั้นแล้วอย่างไร? สตรีคนหนึ่งไหนเลยเทียบได้กับความสัมพันธ์ของพ่อลูกพี่น้อง มีอะไรสำคัญไปกว่าความมั่นคงของราชสำนัก คนเหล่านี้ต่างคิดว่าจ้าวเซิงไม่ค่อยรู้ความ ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว
ในนั้นมีผู้อาวุโสเคราเทาแกมขาวคนหนึ่งลุกออกมา ก่อนอื่นแสดงความเขาเคารพอย่างนบน้อมต่อจ้าวเซิง จากนั้นกล่าวด้วยวาทะเต็มเปี่ยมความถูกต้องชอบธรรม “ผู้ชราเคารพนับถือท่านอ๋องสงครามเสมอมา รู้ซึ้งคุณงามความดีเหนื่อยยาก นอนกลางดินกินกลางทรายของท่านอ๋องยามอยู่ชายแดน ทว่าวันนี้ผู้ชรายังอยากทูลว่า วันนี้ท่านอ๋องกระทำเกินไปอย่างแท้จริง เพียงแค่สตรีคนเดียวเท่านั้น ท่านกระทำถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้ววางความรักทางสายเลือดไว้ที่ใด วางราษฎรทั้งใต้หล้าไว้ที่ใด?! ”
อีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นตามกัน “ใช่แล้ว ท่านอ๋องสงครามหยุดได้แล้ว สตรีคนเดียวเท่านั้น ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างแย่ที่สุดประทานอาหารเลี้ยงดูในตำหนักหลังก็ได้แล้ว ท่านเป็นอ๋องสงครามผู้สูงศักดิ์ แม้เป็นองค์หญิงของต่างแคว้นก็ยังอภิเษกสมรสได้ แต่จะเป็นหญิงบ้านป่าอำมหิตคนหนึ่งมิได้ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดี ท่านเองก็อย่าโวยวายให้มันเกินเลยนัก”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านอ๋องสงคราม พูดถึงที่สุดแล้วล้วนเป็นเรื่องภายในครอบครัวตน โวยวายออกมาเช่นนี้ หน้าตาของราชวงศ์ก็ได้รับความเสียหาย น่าพูดไม่น่าฟังนะขอรับ”
“ท่านอ๋องสงคราม คุณงามความดีหลายปีนี้ของท่าน ข้าขุนนางและราษฎรล้วนซาบซึ้งในบุญคุณท่าน แต่ก็มิอาจทำตัวเหลิงลืมตัวปานนี้”
“……”
ขณะคนเหล่านี้กำลังพูดอยู่นั้นทางหนึ่งก็หันมองสีหน้าของรัชทายาทกับจักพรรดิไปพลาง เห็นรัชทายาทพยักหน้าพอใจให้พวกเขา และสีหน้าของจักพรรดิก็ผ่อนอ่อนลงมา ก็ค่อยๆลอบเช็ดเหงื่อเย็นในใจ ดูท่าตัวเองเดิมพันถูกแล้ว
ตอนที่ 840 ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนใต้หล้า
รัชทายาทเห็นจ้าวเซิงเอาแต่คุกเข่าบนพื้นไม่พูดจา ก็คิดว่าเขารับฟังแล้ว รีบโบกมือให้คนเหล่านั้นทันที “พอแล้ว พอแล้ว ล้วนเป็นเรื่องในครอบครัว น้องเล็กเจ้าก็หยุดได้โวยวายแล้ว รีบถอยออกไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยมาใหม่ ดูเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่นี่สิ อย่างกับชาวนาโง่เง่าตามบ้านนอก เสียจริยวัตร…”
จักรพรรดิเห็นสถานการณ์ตรงหน้าควบคุมได้แล้ว ก็แอบโล่งพระทัยเล็กน้อย บุตรคนนี้ของเขาจำเป็นต้องเก็บไว้ มิเช่นนั้นทางชายแดนคงได้วุ่นวายพัลวัน
เวลานี้ทรงโบกพระหัตถ์แสร้งวางท่าใหญ่โต “พอแล้วๆ เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งสูญเสียบุตร เจิ้นจะไม่ถือสาเอาเรื่องกับเจ้า พูดอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆของเจิ้น มีหรือจะไม่ปวดใจ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนเขากลับชาติมาไม่ดี เลือกมารดาไร้เกียรติเช่นนั้น ไม่คู่ควรเป็นลูกหลานราชวงศ์ของข้า บนฟ้าจึงรับเขากลับไป กลับแล้วเจิ้นจะประทานยศชินอ๋องให้เขา จัดพิธีศพให้อย่างยิ่งใหญ่ รีบลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ งานยังมีอีกมาก โถงราชสำนักมิใช่สถานที่ให้เจ้าก่อกวน สวมชุดโกโรโกโสเหมือนกับอะไร?!”
ความหนาวเย็นค่อยๆคืบคลานลงไปในหัวใจของจ้าวเซิง ตอนนี้เขาถึงค่อยเงยหน้าขึ้นไล่มองจากจักพรรดิบนบัลลังก์ลงไปเบื้องล่างทีละคน จ้องมองจนหัวใจทุกคนรู้สึกชาวาบ
สมแล้วที่เป็นอสูรผู้ลงมาจากสมรภูมิสงคราม ดูสายตาของเขานั่นสิ ความอบอุ่นเพียงนิดยังไม่มี ไม่ยิ้มไม่โกรธ ทว่ากลับเย็นเยือกจนน่ากลัว
เวลานี้ ชายชราศีลธรรมสูงส่งผู้ที่ลุกออกมาประณามจ้าวเซิงก่อนหน้านี้ในใจเกิดพรั่นพรึง แต่ยังคงพูดโน้มน้าว “แท้ที่จริงความหมายของผู้ชราคือ ผู้ที่เรียกได้ว่าหญิงอำมหิตเช่นนั้นเพียงสังหารทิ้งเสีย ไม่มีเหตุผลให้ราชสำนักต้องวุ่นวายเพียงเพราะกาลกิณีเช่นนาง อ๋องสงครามท่านเป็นคนมีเหตุผล คงไม่ตัดรอนทางรอดชีวิตของคนทั้งใต้หล้าเพียงเพราะสตรีคนเดียวกระมัง?”
ในใจจ้าวเซิงเย้ยหยันสุดประมาณ เขาคิดอยากไว้หน้าให้ทุกคนสักหน่อย ทว่าจนปัญญาผู้อื่นไม่ต้องการ!
หากในเวลานี้แค่พระราชบิดาของเขา พี่ชายของเขา ลุกขึ้นมาแสร้งตวาดตำหนิสักหนึ่งประโยค ในใจเขาอาจรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้
ทว่า นอกจากเห็นชอบกับคำพูดเหล่านั้นแล้ว คำแก้ต่างให้เขาสักประโยคก็ยังไม่มี
จ้าวเซิงถอนหายใจหนึ่งเสียง หลับตาลง ถาดในมือยังคงวางไว้บนพื้น ทว่าทั้งตัวคนกลับลุกขึ้นมา กล่าวกับชายชราผู้นั้น “เจ้ากรมเฉา วาจานี้ข้าองค์ชายฟังไม่เข้าใจแล้ว ประมุขแห่งใต้หล้าคือเสด็จพ่อ ผู้ทรงธรรมในวันหน้าคือองค์รัชทายาท นอกจากนี้ ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนในใต้หล้าหรือเผาบ้านเรือนเสบียงอาหารของพวกเขารึ ไยถึงเป็นการตัดทางรอดชีวิตของคนในใต้หล้า? หรือถ้าไม่มีข้าองค์ชาย ราษฎรทั้งใต้หล้านี้ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว?!”
คลื่นลมโหมกระหน่ำในใจเจ้ากรมเฉา พลันหวาดหวั่นจนหน้าซีดขาว คุกเข่าลงบนพื้นดังปัง “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต กระหม่อม กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น…”
เขามิได้หมายความเช่นนี้จริงๆ แต่เหตุใดสายตาที่ฝ่าบาทมองเขาถึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนั้น มุมปากรัชทยาทยังยกยิ้มถากถาง ฮือๆ จบกันๆ ต่อไปต้องตายแน่ๆ!
คำพูดนี้ของจ้าวเซิง ฮ่องเต้กับรัชทายาททำอะไรไม่ได้ เพียงปิดปากสนิท ขุนนางอีกคนที่ประณามจ้าวเซิงก่อนหน้านี้ว่าไม่คำนึงถึงส่วนรวมก็ลุกออกมา กุมมือคารวะ “วันนี้แม้นกระหม่อมทัดทานถึงตาย ท่านอ๋องสงครามก็อย่าได้ก่อความวุ่นวายอีกเลย!”
จ้าวเซิงหัวเราะเย็นชาสองเสียง ทว่าเสียงหัวเราะนั้นมิได้หัวเราะไปถึงนัยน์ตา ไอเย็นเยือกทั่วร่างกายแผ่ขยายไปในท้องพระโรงทีละคืบ “ก่อความวุ่นวาย…”
พึมพำประโยคนี้กับตัวเองเสร็จก็หันหน้ามองทุกผู้ทุกคนท้องพระโรง “ทุกท่านก็คิดว่าข้าองค์ชายกำลังก่อความวุ่นวายหรือ?”
มีหลายคนอยากลุกออกมาช่วยพูดให้จ้าวเซิง แต่ล้วนถูกสายตาเย็นเฉียบของจักรพรรดิทำให้กลัวหดกลับไป คนอื่นๆแม้มิได้พูดอะไร ทว่าสีหน้ากลับชัดเจน รู้สึกว่าจ้าวเซิงทำเกินกว่าเหตุ เพียงเพื่อบุตรที่มิได้ลืมตาดูโลกกับหญิงอำมหิตจากชนบทคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ตัดการสัมพันธ์พี่น้องซ้ำยังก่อกวนราชสำนัก ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงเชียว!
ในที่สุดหัวใจของจ้าวเซิงก็เย็นชาโดยสมบูรณ์ เรื่องมาถึงวันนี้ ชีวิตของลูกชายเขาก็ไม่มีแล้ว ยังต้องห่วงหน้าตาอะไรอีก?!
เขายิ้มเยาะเย็นชา น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? องค์รัชทายาทใส่ยาเสน่ห์ในน้ำของข้า และซูย่วนเสี้ยนจู่ก็อยู่ในตำหนักบรรทมของรัชทายาทพอดี เรื่องราวแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรคงมิต้องให้ข้าองค์ชายเล่ารายละเอียดหรอกกระมัง?”
หลังเอ่ยจบ จ้าวเซิงยังใช้ดวงตาเย็นปานน้ำแข็งจ้องมองรัชทายาท พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ท่านพี่รัชทายาท น้องชายปรักปรำท่านหรือไม่?”