เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 843 มิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักมาจากที่ไหน / ตอนที่ 844 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยชักดาบเชือดคอ
- Home
- เพราะรักสลักใจ
- ตอนที่ 843 มิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักมาจากที่ไหน / ตอนที่ 844 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยชักดาบเชือดคอ
ตอนที่ 843 มิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักมาจากที่ไหน
“นี่ ข้าจะบอกให้ ในบ้านแต่งภรรยาแค่คนเดียวน่ะดีแล้ว คนมาก ลูกก็มาก นั่นจะวุ่นวายแล้ว ”
มีคนพูดไปพูดมาแล้วก็มองไปทางขุนนางที่เพิ่งเข้าขั้นสี่ตรงหน้าประตูคนหนึ่ง “พวกเจ้าดูอย่างผู้อื่นเขา ในบ้านราชบัณฑิตหวัง มีแค่ภรรยาเดียวลูกสองคน แต่สงบสุขยิ่งนัก”
วาจานี้พูดอย่างมีชั้นเชิงลึกซึ้ง เบื้องหน้ากำลังชื่นชมราชบัณฑิตหวัง ในความเป็นจริงกำลังกล่าวว่าจ้าวเซิงกับรัชทายาทแท้จริงแล้วมิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักฉันท์ครอบครัวที่แท้จริงมาจากไหน?
จ้าวเซิงที่ระบายความอัดอั้นตันใจแล้วรอบหนึ่งบัดนี้ในใจวังเวงหาใดเปรียบ ไม่ ควรจะบอกว่าสงบนิ่งไร้คลื่นแล้ว เขายังเพ้อฝันอะไรอยู่? ยังมีอะไรให้น่าคาดหวัง?
ไม่นานนักจักรพรรดิก็หน้าถมึงทึงกลับมาพร้อมกันกับองค์รัชทายาท เวลาเดียวกันนั้นในมือของขันทีผู้ติดตามหลังยังหอบราชโองการไว้สองฉบับ
พระราชโองการองค์จักรพรรดิ: สายสกุลเจิ้นกั๋วเจียงจวินปกปักษ์รักษาชายแดน คุณูปการงานศึกสงครามใหญ่หลวง พระราชทานป้ายสดุดีทรงพระอักษร เปี่ยมล้นเกียรติภูมิ
พระราชโองการองค์จักรพรรดิ: ด้วยพระราชโองการข้างต้นจึงพระราชทานให้บุตรคนรองของจวนฉุนชินอ๋องรับต่อเป็นทายาทสืบสกุลของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน
หลังประกาศพระราชโองการจบ หมู่ขุนนางราชสำนักพากันส่ายศีรษะ แม้นรู้ว่าองค์จักพรรดิกับรัชทายาททรงทำเช่นนี้มิถูกต้องสมควรอย่างแท้จริง ทว่าครั้นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็จำต้องเป็นเช่นนี้แล้ว
บุตรคนรองของฉุนชินอ๋องเป็นบุตรของภรรยาเอก นอกจากนี้บรรพบุรุษทั้งตระกูลยังมีฐานะ พระราชทานเขาเป็นซื่อจื่อสืบสกุลก็มินับว่าไม่เป็นธรรม เพียงแต่น่าสงสารอ๋องสงครามแล้ว นอนกลางดินกินกลางทรายตรากตรำอยู่ชายแดน ถึงสุดท้ายแล้วแม้กระทั่งภรรยากับลูกของตนยังถูกคนปองร้าย!
เป็นโอรสของจักรพรรดิยังได้รับการปฏิบัติตอบแทนเช่นนี้ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นเพียงขุนนางคนนอก
กระต่ายตายหมายต้มสุนัข[1] ผู้อื่นทำงานเป็นลาลากโม่ยังถูกคนจ้องกินเนื้อ จะมิให้คนหวาดหวั่น มิให้คนหดหู่ใจได้อย่างไร
นี่เป็นอำนาจของกษัตริย์….
มุมปากจ้าวเซิงยกยิ้มสลด เยื้องย่างไปทางนอกพระตำหนักทีละก้าวอย่างมั่นคง ในมือเขายังบีบตราทหารคู่นั้นไว้ เพราะบีบจนแน่นเกินไปจึงถูกส่วนมุมคมของตราทหารบาดมือเข้า เลือดสดแต่ละหยดนั้นไหลหยดไปตามรายทางท้องพระโรง เป็นที่น่าสยดสยองของผู้พบเห็น
เขาในตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว เขาแค่อยากกลับไปอยู่เป็นเพื่อนซูเซียง
รอนางฟื้นขึ้นมา ถ้านางบอกว่าจะกลับไป เขาก็จะกลับไปเป็นเพื่อนนาง ถ้านางยืนหยัดถึงตายก็ต้องแก้แค้นให้ลูก แม้เขาต้องก่อกวนจนราชสำนักและใต้หล้าฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ก็ไม่มีทางปล่อยให้ภรรยารับความไม่ยุติธรรมเด็ดขาด
จักพรรดิกับรัชทายาทบนท้องพระโรงเห็นท่าทางของจ้าวเซิงในตอนนี้ใจก็พลันสั่นระทึกราวกับมีใครหยิบค้อนมาทุบหัวใจของพวกเขา เจ็บจนทั้งกายปวดชา มีความรู้สึกมายาชนิดหนึ่งขึ้นฉับพลัน เหมือนพวกเขาสูญเสียของล้ำค่าสำคัญบางอย่างไปแล้ว
ในพระทัยรัชทายาทลนลานคิดอยากเข้าไปขวาง แต่ถูกขุนนางตรวจการอาวุโสหลายคนคว้าจับกอดขาไว้ “องค์รัชทายาท ขอความเมตตาพระองค์แล้ว ปล่อยท่านอ๋องไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
“ขอความเมตตาพระองค์แล้ว อย่าได้สร้างความลำบากใจให้ท่านอ๋องอีกเลย อย่างไรพวกท่านก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต…”
ฟังถึงประโยคนี้ รัชทายาทชะงัก ไหวเอนล้มมิล้มแหล่
ความไม่พอใจบนหน้าและในใจสายเดียวนั้น ในวินาทีนี้มันถูกโจมตีแตกละเอียด ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ลูกของน้องชายเขาไม่มีแล้ว ตั้งแต่ต้นเขาไม่เคยเอ่ยคำปลอบใจสักประโยคเดียวซ้ำยังตำหนิเขาว่าทำเกินกว่าเหตุ…
องค์จักรพรรดิบนบัลลังก์พระพักตร์ซีดขาวยิ่งกว่า วินาทีนี้ เขารู้ซึ้งแล้วว่าตนได้สูญเสียลูกชายคนนี้ไปแล้ว แต่ใครใช้ให้เจ้าลูกชายคนนี้ไม่เชื่อฟังเล่า ใต้หล้ามีสตรีตั้งมากมายไม่เอา ซูย่วนเสี้ยนจู่ผู้นั้นก็ดีมากทีเดียว แต่หญิงชั้นต่ำนั่นดันทำให้ระหว่างพวกเขาพ่อลูกห่างเหินกัน
“ลูกอกตัญญู ลูกอกตัญญูจริงๆ!” จักรพรรดิตบโต๊ะอย่างเดือดดาล
น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจเขา
นอกประตูตวนอู่ ขันทีอ่านพระราชโองการสามรอบแล้ว องค์หญิงเต๋อฮุ่ยยังคงยืนกรานคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่หือไม่อือ ลมหนาวสะท้านพัดเป่าร่างโดดเดี่ยวของนาง ชายผ้าโบกสะบัดพึ่บพั่บ เกศาสามพันหมึกปลิวสยาย รูปร่างที่พอเห็นได้ว่าตัวเล็กอ้วนป้อมนั้น บัดนี้ยึดแน่นอยู่ตรงนั้นเหมือนกับหมุดตัวหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ทรหดและแน่วแน่
ทีแรกขันทีผู้ประกาศราชโองการยังรู้สึกว่าองค์จักรพรรดทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานลงมาให้อย่างมีเกียรติถึงเพียงนี้ ทว่าบัดนี้เห็นอากัปกิริยาขององค์หญิงเต๋อฮุ่ย ในใจถึงกับก่อเกิดความเศร้าสลดไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไม่มีที่มาที่ไป
——
[1] กระต่ายตายหมายต้มสุนัข (狡兔死,走狗烹) หมายถึงเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง เหมือนกินกระต่ายตายหมด หมาล่าเนื้อก็ต้องถูกจับต้มกิน ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า‘เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล’
ตอนที่ 844 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยชักดาบเชือดคอ
ราชโองการสองฉบับนั้น บัดนี้ของอยู่ในมือเขาเหมือนเผือกร้อนลวกมือ
ขันทีทนมิได้อย่างแท้จริง พยายามยัดมอบราชโองการให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ย “องค์หญิง พระองค์รับราชโองการเถิดพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็น(เกียรติ)…”
ขันทีพูดไม่ทันจบ องค์หญิงเต๋อฮุ่ยกลับลุกขึ้นกะทันหัน ปัดราชโองการสองฉบับนั้นร่วงลงพื้นเสียงดังผัวะ
ในขณะที่ขันทียังไม่ได้สติกลับมา องค์หญิงเต๋อฮุ่ยพุ่งไปทางด้านข้างขององครักษ์อย่างรวดเร็ว คว้าดาบขึ้นได้ ไม่พูดพร่ำก็พาดบนคอของตน ปาดลงไปอย่างรุนแรง
องครักษ์ที่สามารถคุ้มกันเขตพระราชฐานได้ย่อมมิใช่พวกไก่อ่อน กอรปกับองครักษ์นายนี้เคยร่วมอาบเลือดติดตามจ้าวเซิงออกรบ แต่เนื่องด้วยได้รับบาดเจ็บจึงกลับมา ระดับการตอบสนองของเขาฉับไวกว่าคนอื่นมาก
ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้เขาไม่สนใจเรื่องชายหญิงแตกต่างอะไรแล้ว คว้าแขนจับองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไว้ ยึดดาบกระชากลงมา
ทว่าองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไม่คิดมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก ดาบนั้นจึงกรีดลงบนคอทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรง แม้นถูกองครักษ์ขวางปัดลงมา บนพระศอก็ยังถูกบาดเป็นรอยหนึ่ง เลือดสดไหลออกมาทันตา
ขันทีผู้เชิญราชโองการทั้งหลายพากันตกใจกลัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
หลังองครักษ์นายนั้นช่วยชีวิตองค์หญิงเต๋อฮุ่ยได้แล้วก็รีบกดจุดเลือดลมบนร่างพระนางทันที พยายามควบคุมการไหลเวียนโลหิต ตะคอกเสียงดัง “ยังยืนบื้อทำอะไร? เรียกหมอหลวงสิ! !”
ขันทีผู้เชิญราชโองการถึงค่อยได้สติกลับมาจากความตะลึงงัน คุกเข่าหมอบคลานไปทางองค์หญิงเต๋อฮุ่ย ในปากร้องตะโกน “รีบเรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวงสิ…”
ความเคลื่อนไหวด้านนอกแว่วถึงในวังอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้เลวร้ายถึงที่สุด ทั้งราชสำนักเหมือนหม้อทอดกับน้ำต้มเดือด
รัชทายาทเองไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มือทั้งคู่ที่กุมไว้ในแขนเสื้อสั่นไหวไม่หยุด ถามตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!”
กลับกันจักรพรรดิทรงเดือดดาล ตบโต๊ะกล่าว “บังอาจ! นางสวมชุดไว้ทุกข์เข้าวัง เจิ้นยังไม่ลงโทษนางซ้ำยังพระราชทานเกียรติยศถึงเพียงนี้ นี่จะใช้ความดีความชอบทางการทหารของตระกูลสวามีนางมาข่มขู่เจิ้น บังอาจ! บังอาจนัก! อย่าลืมว่าใครเป็นประมุขของใต้หล้าแห่งนี้!”
เหล่าอำมาตย์เห็นจักรพรรดทรงพิโรธแล้ว ต่างพากันคุกเข่าลงขอร้อง “ฝ่าบาททรงระงับโทสะ ฝ่าบาททรงระงับโทสะ”
หลายคนแม้เบื้องหน้าขอร้องเช่นนี้ ทว่าข้างในกลับไม่พอใจมากทีเดียว ท่านเป็นเจ้าของใต้หล้าแล้วเก่งกาจนักรึ จวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วเจียงจวินเขาสืบสายสกุลหลั่งเลือดสังหารศัตรูปกป้องชายแดนมานานปี เจ็บตายนับไม่ถ้วน ทายาทอนุชนเยาว์วัยตายสิ้นแล้ว กระทั่งบุตรีเพียงคนเดียวขององค์หญิงยังสละชีวิตเพื่อลอบสังหารขุนพลฝ่ายศัตรู ยังต้องการอะไรจากผู้อื่นอีก!
หากไม่มีนักรบเหล่านี้คอยต่อสู้เลือดอาบ เอาศีรษะเข้าเสี่ยง โลหิตร้อนสาดกระเซ็นอยู่ตรงชายแดน ไหนเลยจะมีพระองค์ท่านจักรพรรดินั่งบนบัลลังก์มังกรอันสูงส่ง เสวยสุขความสงบรุ่งโรจน์!
มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าไว้ กษัตริย์ให้ขุนนางตาย ขุนนางมิตายมิได้ ที่ประทับสูงบนบัลลังก์มังกรนั้นเป็นผู้สูงสุดของใต้หล้า เป็นจักรพรรดิของพวกเขา แม้นเขาทำไม่ถูก ก็จำต้องถูก
เหอะๆ …
จักรพรรดิทรงกริ้วขว้างปาสิ่งของ ทว่ากลับมิกล้ากระทำอันใดกับองค์หญิงเต๋อฮุ่ยและจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินจริงๆ ผู้อื่นกดดันอยู่ซึ่งหน้า เขาจะทำอะไรได้? ถ้าไม่มีสายสกุลของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินคุ้มกันชายแดน เขาต้องใช้พลังกายพลังใจมากเพียงใดมาควบคุมสถานการณ์ความสงบ?
รัชทายาทเลอะเลือนไปก่อนนานแล้ว ในใจมีเพียงเสียงเดียว ฆ่าผู้หญิงคนนั้น! ต้องฆ่าหญิงแพศยาคนนั้น! ถ้ามิใช่หญิงชั่วคนนั้น มิใช่กาลกณีเภทภัยบ้านเมืองคนนั้น ไฉนจะตกต่ำมาถึงขั้นอย่างทุกวันนี้?!
ต้องสังหารนาง…
พระพันปีอยู่เฝ้าข้างกายซูเซียงตลอดทั้งคืนไม่หลับตาบรรทม บัดนี้ได้ยินเรื่องขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยซ้ำอีก โกรธกริ้วจนหน้าถอดสีซีดขาว ทั้งพระวรกายกำลังสั่นไหว
แม่นมข้างกายรีบเกลี้ยกล่อม “ พระพันปี พระองค์ถนอมพระวรกาย ถนอมพระวรกายเพคะ! หม่อมฉันหยิบเสื้อคลุมให้พระองค์ เรารีบไปเยี่ยมดูองค์หญิง”
พระพันปีเดิมทีทรงกริ้วสุดจะทน ครั้นได้วาจาของแม่นมก็พยักหน้าตามจิตใต้สำนึก พระพักตร์กังวลร้อนใจ “ถูกๆ อายเจียห้ามโกรธ อายเจียต้องไปดูฮุ่ยเอ๋อร์ อายเจียโกรธไม่ได้ เวลาแบบนี้ถ้าอายเจียป่วยไป ไม่ระวังตัว ลูกอกตัญญูคนนั้นต้องทำให้ราชสำนักใต้หล้าปั่นป่วนโกลาหลแน่! อายเจียห้ามโกรธ…”