เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 845 เลือดแดงสดสะท้อนตาสะเทือนใจ / ตอนที่ 846 คนดีๆ ไยคุกเข่าไปคุกเข่ามา
- Home
- เพราะรักสลักใจ
- ตอนที่ 845 เลือดแดงสดสะท้อนตาสะเทือนใจ / ตอนที่ 846 คนดีๆ ไยคุกเข่าไปคุกเข่ามา
ตอนที่ 845 เลือดแดงสดสะท้อนตาสะเทือนใจ
เห็นว่าในที่สุดก็ปลอบพระพันปีลงได้แล้ว แม่นมระบายลมหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ รีบหยิบเสื้อผ้าสวมคลุมให้สมเด็จพระพันปี ประคองพระนางเดินโงนเงนเร่งไปทางตำหนักชิงหลินนอกประตูอู่เหมินทิศประจิม
ตำหนักชิงหลิน นอกประตูอู่เหมินทิศประจิมยามปกติใช้เป็นตำหนักสำหรับสตรีสูงศักดิ์ชั้นเก้ามิ่ง[1] โดยเฉพาะ
เวลานี้ หมอหลวงปาดเหงื่อเย็นที่เต็มศีรษะ เปลี่ยนผ้าพันแผลให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยรอบแล้วรอบเล่า แต่ผ้าขาวนั้นยังไม่ทันพันยึดดีก็ถูกเลือดซึมทะลุ เลือดแดงฉาน สะท้อนตาสะเทือนใจ
ด้านในกำลังยื้อช่วยชีวิต แม้เป็นพระพันปีก็เข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงเดินวนไปมาอย่างร้อนใจอยู่ด้านนอก แม่นมที่อยู่ข้างๆ เห็นเจ้านายดูราวกับแก่ลงไปสิบกว่าปีในเวลาเพียงวันเดียว ในใจก็เจ็บปวดคันยิบ
“พี่อวี่ ท่านมาคุกเข่าทำอะไรตรงนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว” พระพันปีเห็นแม่นมที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งไปดูแลซูเซียงคนนั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเหม่อลอย ก็เข้าไปดึงนาง
แม่นมที่เรียกว่าพี่อวี่ท่านนี้ เป็นพี่น้องแท้ๆ กับแม่นมที่ติดตามข้างกายพระพันปี ครานั้นก็เป็นพระพันปีพระราชทานนางเข้าจวนดูแลองค์หญิงเต๋อฮุ่ยด้วยพระองค์เอง บัดนี้เห็นสภาพท้อแท้หมดอาลัยเช่นนี้ของนาง ใจคิดสังหารคนของพระพันปีอาวุโสก็มีขึ้นแล้ว
“……” คนที่คุกเข่าบนพื้นยังไม่ปริปากพูดสักประโยค มองเห็นพระพันปี กระทั่งถวายบังคมทักทายก็ยังไม่รู้จักเสียแล้ว
พระพันปีทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ปลอบอยู่พักใหญ่ ในตอนที่พระพันปีกำลังจะยื่นมือไปประคองนางอีกหน คนบนพื้นก็ร้องไห้โฮ ผุดลุกขึ้นแล้วมุ่งไปชนขอบประตู
สาวใช้คนหนึ่งเข้าขวางอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับถูกชนจนตาลายเห็นดาว ส่ายไปส่ายมาสองครั้งแล้วล้มลงไป
พระพันปีตกใจสะดุ้งโหยง ยังไม่ทันได้เอ่ย แม่นมคนนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา “นายหญิงเพคะ หม่อมฉันผิดต่อพระองค์แล้ว มิได้ดูแลองค์หญิงให้ดี มิได้ดูแลซื่อจื่อให้ดี ฮือ ฮือ ฮือ…นายหญิงเพคะ…”
เสียงร่ำไห้แหบแห้งโรยแรง สะทกสะท้อนให้พระพันปีชรารู้สึกชาทั้งสรรพางค์กาย ซวนเซจะล้มมิล้มแหล่เช่นกัน
“น้องเล็ก! พูดจาเหลวไหลอันใด พระองค์หญิงกับซื่อจื่อล้วนยังอยู่ดี! รีบลุกขึ้น อย่าทำให้นายหญิงตกใจกลัวสิ!” แม่นมของพระพันปีรีบเอ็ด
“แอ๊ด” ในที่สุดประตูก็เปิดออก เด็กช่วยงานเตรียมยาสองคนหิ้วปีกหมอหลวงชราท่านหนึ่งเดินโงนเงนออกมา ทั้งใบหน้าซีดเผือด บนหน้าผากล้วนเป็นเหงื่อเย็น
หมอหลวงชราเห็นพระพันปีก็คุกเข่าลงดังตึงตังทันที ขณะที่พระพันปีหนาวจับใจใกล้สลบลงบัดเดี๋ยวนั้น กลับได้ยินเสียงเหนื่อยล้าของหมอหลวงชราดังขึ้น “เทพเจ้าคุ้มครองจริงแท้ เทพเจ้าคุ้มครองจริงแท้ ช่วยกลับมาได้แล้ว ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง…”
หมอหลวงพูดไม่ทันจบสองตาก็ปิดสนิทสลบไปด้วยเหนื่อยล้าเต็มที
“เร็วๆ รีบพาไปพักผ่อน” แม่นมข้างกายพระพันปีรับสั่งการทันที
แม่นมบนพื้นท่านนั้นพึมพำเป็นพรวนแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งมุ่งเข้าไปในห้อง พอดีหมอหญิงท่านหนึ่งออกมา ถูกชนเข้าจนคนล้มหงายหลัง สองคนต่างล้มลงบนพื้น
หมอหญิงไม่พอใจมาก นี่อยู่ในวังหลวง ทะเล่อทะล่าเข้ามาได้อย่างไร ขณะะที่กำลังจะเอ่ยปากตำหนิ ก็เห็นพระพันปีเสด็จเข้ามา ข่มความไม่พอใจไว้ข้างใน ลุกขึ้นกราบทูลทันที “ ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง ช่วยชีวิตองค์หญิงกลับมาได้แล้วเพคะ เพียงแต่เสียเลือดมาก จำเป็นต้องดูแลอย่างดี ”
พระพันปีพยักหน้า ตรัสเพียงหนึ่งประโยค “ขอบใจมาก ปูนบำเหน็จ ” จากนั้นก็วิ่งไปข้างเตียงอย่างรวดเร็ว ขาชราภาพย่างก้าวรวดเร็วมาก นางคิดว่าจะไม่ได้เห็นคนเป็นๆ เสียแล้ว
หมอหญิงคนนั้น ไม่ประจบไม่อวดดี ถวายความเคารพให้แผ่นหลังของพระพันปี “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา” พูดจบก็ยื่นมือรับของกำนัลที่แม่นมส่งมาแล้วออกไป
ในแคว้นต้าหรง ฐานะของหมอหญิงค่อนข้างสูง ในยุคสมัยที่ยึดหลักประโยคที่ว่าสตรีไร้ความสามารถคือสตรีมีจรรยา สตรีเหล่านี้ไม่เพียงแต่รู้หนังสือเป็นอักษร ทั้งยังมีความสามารถส่วนตัวรักษาโรคช่วยชีวิตคนได้
กอรปกับหมอหญิงท่านนี้ยังเป็นหมอหลวงขั้นสามชั้นเอก แม้เดินออกไปแล้ว เหล่ามหาเสนาบดีล้วนต้องมีมารยาทต่อนางสามส่วน อย่างไรเสียมีสตรีบ้านใดบ้างไม่เจ็บไม่ไข้? ทั้งคำนึงถึงชายหญิงแตกต่าง หมอหลวงก็มิค่อยสะดวกนัก
เห็นสตรีบนเตียงสีหน้าซีดขาว บนคอพันผ้าพันแผลหนาตึบ นอนอยู่ตรงนั้นไม่เปล่งเสียง ด้านนอกผ้าพันแผลขาวบริสุทธิ์ปรากฎคราบเลือดแดงคล้ำดวงใหญ่ น่าสะเทือนใจยิ่งนัก เหมือนกันกับซูเซียงเมื่อคืน
——
[1] สตรีสูงศักดิ์ชั้นเก้ามิ่ง (外诰命妇) เป็นไว่มิ่งฝู (外命妇)แปลว่าสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอก หมายถึงภรรยาของขุนนางขั้น 1 ถึง5 เรียกว่าชั้นเก้ามิ่ง (诰命)ส่วนในขั้น 6 ถึง9 เรียกว่าชื่อมิ่ง (敕命)
ตอนที่ 846 คนดีๆ ไยคุกเข่าไปคุกเข่ามา
พระพันปีประทับตรงข้างเตียงไม่เปล่งวาจา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้ในพระทัยนางกำลังคิดอะไรอยู่ กลับเป็นแม่นมขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยฟุบตรงข้างเตียงร่ำไห้ร้องไม่เป็นภาษา ร้องเรียกทีละประโยค “องค์หญิง พระองค์ตื่นเถิดเพคะ องค์หญิง…”
เดิมทีหมอหญิงคนนั้นออกไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงร้องร่ำทางนี้ก็พลิกร่างวกกลับมา ผลักประตูเข้ามา เห็นหญิงชราที่ชนตัวเองเมื่อครู่กำลังร้องไห้มืดฟ้ามัวดินอยู่ตรงนั้นก็พลันไม่พอใจ “หมัวมัวท่านนี้ รบกวนท่านเงียบเสียงหน่อยได้หรือไม่? คนป่วยจำเป็นต้องพักผ่อน ”
แม่นมหยุดเสียงร้องไห้โดยพลัน หันศีรษะมองผู้ผลักประตูเข้ามาด้วยความแปลกใจ ริมฝีปากพลันปิดแนบสนิทไม่กล้าส่งเสียงอีก
ดรุณีท่านนี้นางหาเรื่องด้วยไม่ได้ นี่เป็นแพทย์หลวงขั้นสามอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหรง ยังมีอีกหนึ่งสถานะ คนอื่นไม่รู้ ทว่านางเป็นคนสนิทของพระพันปี ย่อมรู้ดี
ถ้าเป็นผู้อื่นย่อมไม่กล้าไร้มารยาทต่อหน้าพระพันปีเช่นนี้ ทว่านางเป็นใคร นางสืบทอดวิชาของเตี๋ยอีเซียนกู่ (หมอผีเสื้อแห่งหุบเขาเซียน)นางเติบโตในสภาพแวดล้อมเปิดกว้างมีอิสระ เชื่อว่าคนทุกคนควรเท่าเทียมกัน ในสายตานางแบ่งแยกเพียงคนสุขภาพดีกับคนป่วย สำหรับเรื่องก้มหัวคำนับให้คนในราชวงศ์เหล่านี้ ก็แค่ไว้หน้าให้ก็เท่านั้น อันที่จริงในใจนางก็มิได้แยแส คนดีๆ ทำไมคุกเข่าเข่าไปคุกเข่ามา ยังไม่ตายเสียหน่อย
หมอหญิงเห็นแม่นมหยุดร้องแล้ว ยังอารมณ์ไม่ดี “พอแล้ว พอแล้ว คนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด” “ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง คนป่วยต้องพักฟื้น ขอพระองค์ทรงกรุณาเสด็จเช่นกันเพคะ ”
เหล่านางข้าหลวงในพระตำหนักชิงหลินเห็นกิริยาวาจาเช่นนี้ของนาง พลันตกใจกลัวจนหน้ามืด ตายแล้ว แม่เจ้า เคยเห็นคนหาที่ตายแต่ไม่เคยเห็นใครรนหาที่ตายถึงเพียงนี้ สร้างมาตรฐานใหม่แล้วจริงๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าพระพันปีทรงกริ้วจนขึ้นสมองหาทางจัดการลงโทษหมอหญิงอย่างไรดี คาดไม่ถึง พระพันปีกลับยืนขึ้น พับมุมผ้าห่มให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยบนเตียง จากนั้นพยักหน้ากล่าวกับหมอหญิงคนนั้น “ได้ เช่นนั้นอายเจียจะออกไปก่อน ทางนี้รบกวนเจ้าช่วยดูแลมากหน่อยแล้ว”
“อืม” หมอหญิงพยักหน้าอย่างเฉยชา ขานรับอืมหนึ่งเสียงเบาๆ แล้วก็ “เชิญ” คนทั้งกลุ่มออกไป
นางข้าหลวงและขันทีในพระตำหนักชิงหลินงุนงงเต็มหน้า มีเส้นสีดำเต็มหัว สายตาที่มองหมอหญิงคนนี้อดมิได้ที่จะแปลกประหลาดขึ้นมา คนผู้นี้แท้จริงแล้วฐานะเช่นไร แม้แต่พระพันปียังต้องไว้หน้านาง
หลังผ่านไปสองวัน องค์หญิงเต๋อฮุ่ยฟื้นขึ้นก่อน เห็นพระพันปีเฝ้าไข้อยู่ข้างกาย เพียงเรียกว่าท่านป้าคำเดียว น้ำตาก็ไหลริน และพูดอะไรไม่ออกอีก
พระพันปีเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ตบมือของนางพลางกล่าว “เดี๋ยวก็ดีขึ้น เดี๋ยวก็ดีขึ้น…”
พูดไปพูดมาน้ำตาของตนก็กลิ้งไหลร่วง เด็กคนนั้นแม้ถูกผู้วิเศษลึกลับอุ้มไปแล้ว ฟังจากเสียงนั้นน่าจะเป็นท่านหมอเตี๋ย ทว่าเด็กคนนั้นเกิดมาก็ไม่มีลมหายใจแล้ว หมอเตี๋ยแม้เป็นหมอวิเศษอัศจรรย์ แต่นั่นคงมิอาจปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีชีพ วัตถุประสงค์ที่พูดประโยคนี้ก็เพียงเพื่อปลอบใจองค์หญิงเต๋อฮุ่ยเท่านั้น
ขณะที่สองคนกำลังก้มหน้าสะอึกสะอื้น แม่นมของพระพันปีก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา “นายหญิง นายหญิงเพคะ จ้านหวังเฟยฟื้นแล้วเพคะ เร็วเข้า…”
พระพันปีครั้นสดับตาพลันสว่าง ในที่สุดแม่หนูคนนั้นก็ฟื้นแล้ว หากซูเซียงไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะก็ นางไม่กล้าคิดว่าจะวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นไร
องค์หญิงเต๋อฮุ่ยได้ยินว่าซูเซียงฟื้นแล้ว บนหน้าพยายามแย้มยิ้มออกมา “ท่านป้า รีบไปดูแม่หนูคนนั้นเถิด โถ แม่หนูผู้น่าสงสาร…” พูดไปพูดมาตัวเองซุกในผ้าห่มร้องไห้งอแงขึ้นมา
พระพันปีห่วงกังวลทั้งสองฝั่งดั่งมดบนหม้อร้อน ทั้งดวงใจหมุนพันยุ่งเหยิง ทว่าพยายามควบคุมกดเอาไว้ ตบๆ คนที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม “เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นป้าไปดูแม่หนูก่อน เจ้ารับปากกับป้า ดูแลตัวเองดีๆ ห้ามทำเรื่องโง่งมอีก”
องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเลิกมุมผ้าห่ม มองพระพันปีนิ่งเหม่ออยู่หลายวินาทีแล้วค่อยปริปากกล่าว “ท่านป้า เรื่องนี้ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่อาจยอมยุติเลิกรา”