เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 851 พี่น้องราชบุตรเขยบุกพระราชตำหนัก / ตอนที่ 852 มนุษย์ดินปั้นยังมีอารมณ์สามส่วน
- Home
- เพราะรักสลักใจ
- ตอนที่ 851 พี่น้องราชบุตรเขยบุกพระราชตำหนัก / ตอนที่ 852 มนุษย์ดินปั้นยังมีอารมณ์สามส่วน
ตอนที่ 851 พี่น้องราชบุตรเขยบุกพระราชตำหนัก
เดิมคิดว่าพระพันปีว่าราชการหลังม่านแล้วเรื่องราวคงคลี่คลายลงบ้าง ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
พระพันปีทางนี้กำลังแต่งพระองค์เตรียมขึ้นราชสำนักว่าราชกิจ ผลกลับได้ยินรายงานด่วนม้าเร็วแปดร้อยลี้ แจ้งว่าทหารชายแดนเคลื่อนพล บุตรภรรยารองทั้งสองของจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วเจียงจวินและเป็นน้องชายทั้งสองของราชบุตรเขย นำกองกำลังเข้าเมืองหลวงภายใต้สถานการณ์คลุมเครือ ทั้งเนื่องด้วยทราบข่าวช้าไป ไม่นานเกรงว่าคนคงมาถึงแล้ว
มือของแม่นมที่ช่วยสวมเฟิ่งกวาน(มงกุฏหงส์)ให้พระพันปีอาวุโสสั่นงกจนเกือบทำเฟิ่งกวานร่วงลงพื้น
พระพันปีมิได้ติดใจถือโทษ ให้แม่นมรีบสวมให้นางทันที จากนั้นก็เร่งมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง
พระพันปีเพิ่งประทับมั่นคง ด้านนอกก็ส่งรายงานด่วนเข้ามา กราบทูลว่าน้องชายต่างมารดาทั้งสองของราชบุตรเขยยกขบวนมาถึงหน้าประตูวังแล้ว วาจาดุเดือดยิ่งนัก
“บังอาจ! บังอาจยิ่งนัก! ทหาร ไปจับผู้ทรยศสองคนนั้นมา ลงดาบประหาร! ” จักรพรรดิตบโต๊ะมังกร ตวาดสุรเสียงกึกก้อง
จักรพรรดิในตอนนี้ทรงพิโรธจนแทบเสียสติแล้ว ก็แค่สตรีคนหนึ่งกับเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกคนหนึ่งมิใช่หรือ? จะเป็นจะตายถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตจนทุกคนไม่เลิกราจบสิ้นกับเขา!
กราบบังคมทูล…ฮู่กั๋ว[1]โหว[2]ขอเข้าเฝ้า!
กราบบังคมทูล…ฮู่กั๋วเจียงจวิน[3]ขอเข้าเฝ้า!
ตามด้วยเสียงร้องขานรายงานยาวเหยียดสองเสียง คนของจักรพรรดิไม่ทันส่งออกไป น้องชายทั้งสองของเจิ้นกั๋วเจียงจวินก็เหน็บดาบ สวมชุดเกราะ สาวเท้าตรงเข้ามาทางท้องพระโรง
และด้วยฐานะและคุณูปการต่อบ้านเมืองของพวกเขา เหล่าองครักษ์แม้ขวางกั้น ทว่าไม่กล้าทำร้ายคนจริงๆ ถึงกับมีองครักษ์บางคนลอบส่งสายตาบอกพรรคพวกว่าแค่แกล้งทำท่าทางพอสมควรก็พอแล้ว ผู้อื่นไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ควรมาทวงความยุติธรรมมิใช่หรือ
จักรพรรดิพลันตระหนก “ทหาร รีบจับตัวคนทรยศไว้ เจิ้นพระราชทานยศว่านฮู่โหวให้ รีบจับกบฏไว้! จับไว้! ”
ทว่า บัดนี้แม้เป็นกลุ่มคนผู้สนับสนุนจักรพรรดิต่างก็พากันไม่ขยับ เบือนศีรษะไปอีกทาง ทำราวกับไม่ได้ยินคำที่ฮ่องเต้พูด ยิ่งไปกว่านั้น ยังเบี่ยงสายตามุ่งไปทางพระพันปีที่อยู่หลังม่าน เอ่ยขอความกรุณา “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย! ”
บัดนี้จักรพรรดิตะลึงงันถึงที่สุด ไหนจะเหลือกิริยาที่กษัตริย์แห่งแคว้นควรมี ร้องตะโกนโหวกเหวกเหมือนกับตัวตลกกระโดดโหยงเหยงอยู่ตรงนั้น “บังอาจ! บังอาจ เจิ้นต่างหากเป็นฮ่องเต้ เจิ้นต่างหากเป็นประมุขของใต้หล้า พวกเจ้ามันกบฏ เจิ้นเป็นจักรพรรดิ แม่ไก่มาขันตอนเช้า สตรีปกครองเป็นเภทภัยต่อบ้านเมืองราษฎร…”
จักรพรรดิไม่โวยวายเช่นนี้คงดีกว่า แต่ไรมาต้าหรงยึดหลักกตัญญูปกครองใต้หล้า จักรพรรดิเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมานั่นคือไม่จงรักไม่กตัญญูแล้ว
ด่ามารดาของตัวเองว่าเป็นแม่ไก่ขันยามเช้า เป็นเภทภัยทำลายบ้านชานเมืองและราษฎร แหย่รังแตนเข้าแล้ว!
บัดนี้แม้แต่ฝ่ายสนับสนุนจักรพรรดิเหล่านั้นยังพากันส่ายหน้า คุกเข่าให้พระพันปีกราบบังคมทูลพระกรุณา “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย…”
“เข้ามา แจ้งราชโองการของอายเจีย ให้ฮู่กั๋วโหวและฮู่กั๋วเจียงจวินเข้าเฝ้าในท้องพระโรง… ”
แม่ทัพทั้งสองเดิมทีคิดว่าการเข้าพระตำหนักต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงขั้นเคยคิดว่าแม้สู้จนตัวตายไร้ศพ วันนี้พวกเขาก็ต้องก่อการณ์ให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!
กลับเหนือความคาดหมาย เพิ่งเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินรับสั่งของพระพันปี ความโกรธในใจพอจะลดลงไปบ้าง สองคนมองตากัน จึงค่อยวางดาบในมือไว้ตรงประตูพระตำหนักใหญ่ สาวเท้าก้าวเข้ามา
ทว่าอารมณ์บนใบหน้ายังคงดูไม่ดีดังเดิม ไม่เหมือนกับจ้าวเซิงที่เป็นประเภทปล่อยความเย็นชาออกมาจากก้นบึ้งในใจ บัดนี้บนหน้าพวกเขาล้วนเปี่ยมด้วยด้วยความเคียดแค้น
หลังสองคนเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงบนพื้นดังปึง เอ่ยปากพูดทันที “จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินของข้าบนล่างสี่ชั่วอายุล้วนภักดีต่อบ้านเมือง หลานชายและหลานสาวสองคนของบ้านพี่ชายล้วนพลีชีพเพื่อชาติ กระหม่อมสองพี่น้องแม้เป็นบุตรอนุ ช่วงเวลาพิเศษหากมีทายาทก็สามารถสืบสกุลได้ ทว่าบุตรในบ้านกระหม่อมกับน้องเล็กทั้งสี่คนเข้าสู่สนามรบล้วนมิอาจกลับมา กระหม่อมทั้งสอง คนหนึ่งร่างกายบาดเจ็บ คนหนึ่งถูกพิษทำร้ายถึงร่างกาย ล้วนมิอาจมีบุตรได้อีก วันนี้กระหม่อมนำพี่น้องรุดหน้ามา ไม่มีอื่นใด เพียงอยากถามฝ่าบาทหนึ่งประโยค เรื่องนี้พระองค์ตั้งใจจะอธิบายกับเราว่าอย่างไร?!”
——
[1] ฮู่กั๋ว หมายถึง พิทักษ์บ้านเมือง
[2] บรรดาศักดิ์ชั้น โหว เรียงจากบรรดาศักดิ์ทั้งห้าจากสูงไปต่ำ ได้แก่ กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน
[3] เจียงจวิน คือ ตำแหน่งแม่ทัพ ขุนพล
ตอนที่ 852 มนุษย์ดินปั้นยังมีอารมณ์สามส่วน
คำพูดนี้นับว่าแทงใจดำองค์จักพรรดิแล้ว คนหนึ่งท่อนล่างถูกฟันเสียหายในสนามรบ คนไม่รู้ยังคิดว่าตัวเขาประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บเอง ส่วนอีกคน สุราพิษจอกนั้นลงสู่ท้องได้อย่างไร ย่อมไม่มีใครรู้ชัดไปกว่าพวกเขาแล้ว
พูดตรงๆก็คือกลัวขุนนางมีผลงานเหนือกว่า กลัวจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วจะมีทายาทสืบสกุล แท้จริงแล้วเรื่องโสมมเช่นนี้ล้วนมีทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ทุกคนมิได้หยิบยกขึ้นมาพูดในที่สว่างก็เท่านั้น อีกอย่าง กษัตริย์ที่กระทำเกินขอบเขตเหมือนจักพรรดิองค์นี้ อดีตนั้นไม่เคยปรากฎ อนาคตไม่มีใครกระทำอย่างแท้จริง
ลองคิดดู คนทั้งตระกูลสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ ยังต้องประสบเจ้าประมุขมุ่งร้าย แม้เป็นมนุษย์ดินปั้นก็ยังมีอารมณ์อยู่สามส่วนกระมัง?!
จักรพรรดิเดิมทีทรงกริ้วเพราะทุกคนไม่ฟังคำเขาแต่กลับไปฟังพระพันปี บัดนี้เห็นบุตรอนุของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินสองคนยังกล้าข่มขู่เขาอย่างเปิดเผยกลางท้องพระโรง โทสะก็เดือดดาลพุ่งพล่าน
“อธิบาย? อธิบายอะไร! เจิ้นเป็นเจ้าครองแคว้น ขุนนางราษฎรทั้งใต้หล้าล้วนเป็นลูกหลานเจิ้น เจิ้นอยากตีก็ตี อยากฆ่าก็ฆ่า ยังจำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก?!”
ประโยคนี้เอ่ยมาอย่าว่าแต่กระตุ้นโทสะของแม่ทัพทั้งสองท่าน กระทั่งผู้คนในท้องพระโรงต่างลุกฮือขึ้นมา
พระพันปีเลิกม่านเดินตรงเข้ามายังพระที่นั่งทันที มือชี้จักรพรรดิกล่าวบริภาษ “เจ้าลูกทรพี ใต้หล้าเป็นของผู้คนทั้งใต้หล้า มิใช่ใต้หล้าของเจ้าคนเดียว! ถ้าไม่มีราษฎร จะมีจักรพรรดิหลงตัวเองคิดว่าตนสูงส่งเช่นเจ้ามาจากไหน?! ”
ทีแรกแม่ทัพทั้งสองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกขึ้นเตรียมออกไปนอกพระตำหนักหยิบศาสตราวุธของพวกเขา คิดสังหารจักรพรรดิองค์นี้เสียให้สิ้นเรื่อง แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เองพระพันปีกลับออกมาตรัสเช่นนี้ ในที่สุดสองคนก็ฟื้นสติกลับมาเล็กน้อย
ถ้าไม่ถึงคราวเลวร้ายสุดวิสัยแล้วพวกเขาเองก็ไม่ยินดีแบกโทษประหารเก้าชั่วอายุคน แต่ถ้าข่มเหงรังแกคนจนเหลือรับได้ พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียก็ไร้บุตรขาดหลานแล้ว แทนที่ทั้งครอบครัวจะใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ มิสู้เปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปรีชาชาญเพื่อคนทั้งใต้หล้าดีกว่า!
ดีที่พระพันปียังรู้เรื่องรู้ราวอยู่คนหนึ่ง ถ้าไม่ถึงจุดเลี้ยวโค้งสุดท้าย พวกเขาเองก็ไม่ยินดีนำชีวิตคนทั้งตระกูลไปเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับมาได้หรอก
พระพันปีตะคอกตำหนิจบ ก็ไม่รอให้จักรพรรดิเอื้อนเอ่ยอันใด เจิ้นกั๋วเจียงจวินและผู้เป็นน้องสามของราชบุตรเขย ทูลต่อจักรพรรดิทันที “จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินใจเดียวภักดีต่อบ้านเมือง มิเคยปรากฏคนทรยศสองใจ ฝ่าบาททรงหวั่นเกรงขุนนางงานสูงกลบนายกระมัง? ครานั้นพี่ใหญ่สิ้นชีพเยี่ยงไร แท้จริงในใจทุกล้วนกระจ่างชัดราวกระจกใส ล้วนเป็นภูตผี ไยต้องคลุมหนังมนุษย์แสแสร้งแกล้งทำ คนเห็นมันขยะแขยง! ”
บุตรเขยรับคำเสริมต่อทันที “ในเมื่อพระองค์หวั่นเกรงไยจำต้องมอบอำนาจทางการทหารให้เรามากถึงเพียงนี้? แค่ทรงมีพระราชโองการประหารตัดหัวจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินทั้งตระกูลก็ย่อมได้ มีแค้นมีเคืองอันใดท่านก็มาลงที่พวกกระหม่อม เด็กไม่รู้เรื่องด้วย เขายังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ มีพยาบาทอันใดกับท่าน? จำต้องกำจัดเขาให้ตายเชียวหรือ!”
เดิมทีทุกคนก่อเกิดกลุ่มก้อนความโกรธต่อพฤติกรรมของจักรพรรดิ หนำซ้ำบัดได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของน้องชายราชบุตรเขยทั้งสองท่าน ก็พลันสะท้านหนาวจับใจ
จักรพรรดิองค์นี้แม้ก่อนหน้าไม่มีวีรกรรมใหญ่โตอันใด ข้อเสียจุกจิกก็มีไม่น้อย แต่เป็นคนขยันพากเพียร ทว่าหลังประสบเรื่องอี้เมิ่งกุ้ยเฟย พระจริยวัตรก็ยิ่งไม่ถูกครรลองขึ้นทุกวัน บัดนี้ทุกคนไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วในพระทัยฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ริมฝีปากรัชทายาทอ้ำอึ้ง คิดอยากอ้าปากเกลี้ยกล่อมสองสามประโยค แต่คำมาจ่ออยู่ตรงพระโอษฐ์แล้วกลับไร้หนทางพูดออกมา
เรื่องเหล่านี้แม้เขามิได้มีบทบาท อีกทั้งตอนนั้นตัวเขาก็ยังเด็ก แต่อย่างไรเขาก็เป็นรัชทายาท รู้เรื่องราวภายในไม่น้อย ไยจะไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเสด็จพ่อของเขาทำเรื่องเหลวไหลอะไรไว้บ้าง? บัดนี้ให้เขาอ้าปากกล่าวโทษสายสกุลจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน เขาก็ละอายใจจนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง
“บังอาจ พวกเจ้าจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินวันนี้ต้องการก่อกบฎใช่หรือไม่!? ทหาร! จับโจรกบฏพวกนี้เอาไว้ ประหารทั้งตระกูล!” จักรพรรดิตวาดสุรเสียงดังทั้งยังคว้าราชโองการขาวโล่งฉบับหนึ่งตั้งท่าจะเขียนลงไป