เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 865 อย่ากินทิ้งกินขว้าง / ตอนที่ 866 ไปหรือไม่ไปดี
ตอนที่ 865 อย่ากินทิ้งกินขว้าง
ทั้งวันรู้จักแต่ด่าทอคนอื่นชั่วช้าเป็นปีศาจจิ้งจอก ถูกขังอยู่ในอยู่ในห้องยังเที่ยวกระทืบเท้าโครมคราม มีที่ไหนประมุขกับยุพราชของบ้านเมืองมีกิริยาวาจาเช่นนี้
แต่ในเมื่อเรี่องนี้เป็นเรี่องที่จ้าวเซิงกับซูเซียงแอบกระทำโดยลับ นางย่อมไม่อาจสาธยายสรรเสริญเอิกเกริกได้ เพียงแต่นับวันยิ่งเห็นจักพรรดิกับรัชทายาทแล้วรำคาญลูกตา ประเดี๋ยวส่งพุทธคัมภีร์ให้รัชทายาทอีกหลายสิบเล่ม ให้เขาอ่านสงบจิตสงบใจ
จักรพรรดินั้น นางยิ่งไม่รอมชอม ข้าวของในห้องพังเสียหายก็ให้กวาดออกไป คิดจะให้ตกแต่งเข้าไปใหม่รึ? หึ ไม่มีทาง!
ยามภัยสงครามของบ้านเมืองคับขัน แทนที่จะสิ้นเปลืองกับของพรรค์นี้ มิสู้ประหยัดเงินไว้เป็นเสบียงกองทัพดีกว่า
ดังนั้นจักรพรรดิจึงขมขื่นยิ่งนัก จากเริ่มแรกสำรับอาหารยี่สิบสี่จานทุกมื้อถูกลดลงเหลือสิบสองจาน ต่อก็มีแค่กับข้าวสองอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง บัดนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ที่ส่งเข้าไปมีเพียงข้าวต้มขาวหนึ่งชาม ซ้ำยังเป็นประเภทใสโจ๋งเห็นข้าวไม่กี่เม็ด
ใช้คำพูดของพระพันปีมาพูดก็คือ ในเมื่อมีเรี่ยวแรงขนาดนั้นยังต้องกินข้าวอะไรอีก สิ้นเปลืองอาหาร!
สำหรับพวกเสื้อผ้าอาภรณ์ หึหึ กระชากขาดก็ขาดไป อยู่ในตำหนักบรรทมใคร่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าเก่าก็ยังมีอยู่เยอะนี่ ไปหยิบมาใส่ได้ตามใจชอบ อย่างไรก็มิได้ไปพบเจอใคร
จ้าวเซิงทางนี้ตั้งแต่กลับมาก็ประกาศต่อสาธารณชนแล้วว่านับแต่นี้เขาไม่ใช่อ๋องสงครามอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นจวิ้นหม่าของเซียงหรงจวิ้นจู่ ตอนแรกสุดทุกคนยังตกตะลึงมาก ยังเคยเกลี้ยกล่อมเขา ต่อมาก็ค่อยๆยอมรับได้อย่างช้าๆ
สุดท้ายแล้วประสบเรื่องบอบช้ำจิตใจเช่นนั้นมา สองสามีภรรยาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขสบายใจก็ดีมากกว่าสิ่งใดแล้ว ส่วนเรียกคำเรียกขานนั้น จะเรียกหรือไม่เรียกทุกคนเองก็มิได้สนใจมากนัก
แม้แต่ตอนจ้าวเซิงไปหานายอำเภอเสิ่นอีกครั้ง นายอำเภอเสิ่นก็ไม่ได้เรียกเขาว่าองค์ชาย แต่เปลี่ยนมาเรียกว่าจวิ้นหม่าแทน นี่ยิ่งทำให้จ้าวเซิงให้ความสำคัญกับเขาเพิ่มขึ้น
หลังการศึกทหารทางชายแดนหยุดรบชั่วคราว หินก้อนใหญ่ในใจซูเซียงก็ร่วงลงพื้น เข้าสู่โลกกิจการโรงเตี๊ยมและสมุนไพรทันที
ซูเซียงอยากให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้ ยุ่งขึ้นอีกหน่อย แบบนี้จะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงลูกที่เสียไปโดยไม่ทันได้มองสักครั้ง
ทางด้านโรงเตี๊ยมย่อมได้หลี่ฮ่าวช่วยเหลือดูแลงานให้ ส่วนสมุนไพรนางก็มาจัดการด้วยตัวเอง
พระพันปีพระราชทานนาดีพันหมู่ให้หวังต้าเหนียง คงไม่อาจปล่อยให้ที่ดินเสียเปล่า หลายวันนี้ซูเซียงแปะประกาศไปทั่ว รับสมัครชาวบ้านในเขตอำเภอที่มีเวลาว่างมาทำงาน เป็นสตรีก็ไม่รังเกียจ เพียงแต่ค่าแรงต่ำกว่าพวกชายฉกรรจ์เล็กน้อย
เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ซูเซียงทำประโยชน์ให้ทั้งอำเภอไว้มากมาย พอรู้ว่าซูเซียงกำลังหาคนงาน มีบุรุษกับแม่สามีบางบ้านร้องตะโกนให้ลูกสะใภ้บ้านตัวเองรีบมาทำงาน แม้ไม่ได้เงินค่าแรงก็เป็นการช่วยเสริมแรงมิใช่หรือ
ด้วยเหตุนี้ โรงเตี๊ยมของซูเซียงรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ภายใต้การร่วมมือช่วยเหลือของหลี่ฮ่าวกิจการค่อยๆขยับขยายออกข้างนอก นางเองก็คิดค้นอาหารจานเด็ดของร้านจำนวนมาก โดยพื้นฐานแล้วอาหารแนวใหม่ทุกเดือน ย่อมดึงดูดความสนใจลูกค้า
ทางด้านนาดีที่ได้รับพระราชทาน พวกผู้ชายช่วยกันขุดดินถอนหญ้า พวกผู้หญิงก็ช่วยกันจัดระเบียบต้นและเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพร
แม้ว่าซูเซียงจะแสดงออกอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่ไม่มีรอยยิ้มความสดใสเหมือนอย่างก่อน และทุกคืนเมื่อถึงยามราตรีเวลาสงบ นางมักจะนั่งบนก้อนหินตรงด้านนอกทอดมองท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ
ซูเซียงประสบทุกข์หนักหนา ร่างกายเดิมก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว กอรปกับเหน็ดเหนี่ยทั้งวันทั้งคืน คนในบ้านต่างก็เป็นห่วง เคยเตือนอยู่หลายครั้ง
หวังต้าเหนียงเองก็แอบลากซูเซียงเข้าในห้อง เกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ลูกสาวเอ๋ย เจ้ายุ่งง่วนทั้งวันทั้งคืนนี้ไม่ใช่เรื่องเลย อย่าลากสังขารตัวเอง เจ้ามีงานอะไรจะทำก็ให้แม่ไปทำแทนเจ้าได้ไหม?”
ซูเซียงกลับส่ายหน้า ได้ยินวาจาอบอุ่นนิ่มนวลของมารดาบ้านตน นางก็ทนไม่ไหวตาแดงร้อน สุดท้ายก็ก้มหน้าเอ่ยคำที่ควักออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ “ท่านแม่ ข้าแค่อยากทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ ไม่อยากไปคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก ข้าอยากปลูกสมุนไพรเยอะๆ ช่วยคนให้มากขึ้น เช่นนี้จึงนับว่าเป็นการแผ่บุญกุศลให้ลูก…ท่านแม่ ท่านปล่อยให้ข้าทำเถิด ไม่อย่างนั้นหัวใจข้าไม่สงบ… ”
ตอนที่ 866 ไปหรือไม่ไปดี
หวังต้าเหนียงเดิมทีเตรียมคำมาโน้มน้าวไว้เต็มขบวนรถ แต่พอได้ยินซูเซียงเอ่ยเช่นนี้ คำพูดทั้งหมดของนางก็จุกอยู่ตรงลำคอ ทำอย่างไรก็พูดไม่ออก สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยืดยาว “แม่เองก็สนับสนุนเจ้า ทำเรื่องเรื่องดีงามเพื่อลูกที่ถูกรังแก แต่เจ้าเองก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตน หากตัวเจ้าล้ม ก็ทำเรื่องดีงามเหล่านั้นไม่ได้แล้ว”
แม้ซูเซียงทราบว่าลูกถูกผู้วิเศษลึกลับอุ้มไป และก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นท่านหมอเตี๋ยและเสียงอวิ๋นนักพรตกำมะลอคนนั้น แต่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ถ้าสามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ก็คงกลับมานานแล้ว ถึงไม่ราบรื่นก็น่าจะให้คนมาบอกกล่าวกันบ้าง ข่าวคราวอะไรก็ไม่มีมา กลัวแต่ว่า…
สองแม่ลูกนั่งคุยกันเงียบเชียบอยู่ภายในห้อง จ้าวเซิงที่อยู่บนหลังคาก็ย่อมได้ยินหมดแล้ว เวลานี้เขายืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูดวงดาวดารดาษกลางท้องฟ้ายามราตรี สีหน้าแววตาลุ่มลึก ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่
เดิมทีมากน้อยเขาก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เวลานานขนาดนี้แล้วภรรยากก็ยังไม่สนใจเขา ทว่าบัดนี้หลังได้ฟังวาจาเช่นนี้ของซูเซียง นอกจากความละอายใจเข้มข้นแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปแผ่ขยายขึ้นในใจ
นับแต่นั้นมา ไม่ว่าซูเซียงอยากทำอะไร เขาก็คอยตามเคียงข้างไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวเหมือนกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ตัวหนึ่ง แน่นอนว่า นี่ย่อมเป็นเรื่องในภายหลังแล้ว
โดยรวดเร็ว สตรีที่มาทำงานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นาค่อนข้างกว้างขว้าง ก็พันหมู่นี่นะ ย่อมต้องการคนงานไม่น้อย ซูเซียงกลัวว่าในนั้นจะมีคนแฝงตัวมาก่อกวน จึงให้พวกชิงหลานคอยลอบสังเกตการณ์
ที่เหนือความคาดหมายเลยก็คือ ดูเหมือนทุกคนล้วนขยันตั้งใจทำงานอย่างยิ่ง ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ยังออกแรงจนเหงื่อท่วมศีรษะ ซ้ำไม่สนใจจะเช็ดด้วยซ้ำ
ซูเซียงค่อยๆวางใจลง วันนี้เป็นวันกำหนดจ่ายเงินค่าแรง มีสตรีหลายคนมาเพราะบุรุษบ้านตัวเองทำงานอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้รับน้ำใจจากซูเซียง แม่สามีจึงให้พวกนางรีบมาช่วยทำงาน ฉะนั้นจึงไม่เคยคิดต้องการเงินค่าแรงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ได้ยินเสียงเคาะฆ้องตีกลองรวมพล ทุกคนก็รู้ว่าถึงเวลาจ่ายเงินค่าแรงแล้ว ดังนั้นพวกบุรุษจึงจัดระเบียบเสื้อผ้ารีบมาถึงสถานที่นัดหมาย แต่สตรีเหล่านั้นกลับไม่ได้ขยับตัว ก่อนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงคงทำงานไม่ด้มากเท่าไหร่ ยังจะให้เอาเงินของผู้มีพระคุณก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงมิได้ขยับตัว
ไหนจะคิดถึง เวลานี้ชุ่ยหลิ่วถือกลองทองเหลืองตีขึ้นอีกครั้ง “ท่านป้า ท่านน้า พี่สาวทุกท่านมารวมตัวกันทางนี้ จ่ายค่าแรงเจ้าคะ”
หลังทุกคนได้ยินก็สลับกันมองหน้า ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า บางคนเพราะครอบครัวยากจนอย่างแท้จริงคิดว่าได้เงินบ้างเล็กน้อยก็ยังดีจึงทยอยไปยังสถานที่ที่ชุ่ยหลิ่วบอก ทว่าก็สตรีไม่น้อยรู้สึกละอายใจ ถึงขั้นคิดจะแอบย่องหนีอย่างลับๆ
แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ถูกซูเซียงคาดการณ์ไว้แล้วตั้งแต่แรก นางเคยบอกกับชุ่ยหลิ่วไว้ก่อนแล้ว ชุ่ยหลิ่วเห็นสถานกาณ์เช่นนี้ก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เคาะฆ้องแรงๆขึ้นอีกหน “อย่าชักช้าเสียเวลากันเลย คนของเราล้วนมีรายชื่อจำนวนชัดเจน ขาดไปคนหนึ่งก็ต้องเสียเวลาหา จะยุ่งยากหลายเรื่อง นี่จะลากเวลาเพาะปลูกให้เลื่อนออกไป”
ฟังคำของชุ่ยหลิ่ว สตรีแม่บ้านที่กำลังแอบย่องหนีเหล่านั้นพลันจิตใจปั่นป่วน นี่จะเดินก็ไม่ใช่ หยุดเดินก็ไม่เชิง หรือพวกนางต้องไปเอาเงินค่าแรงจริงๆ? แต่ถ้าแอบหนีไป ถึงเวลาคงสร้างความยุ่งยากให้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเพิ่มอีก
“พี่หญิงรอง ทำอย่างไรกันดี เราจะไปหรือไม่ไปดี? ”
“นี่ นี่…”
ไปเถอะ เดี๋ยวจะเพิ่มความลำบากให้ผู้อื่น อย่าไปเลย เอาเงินค่าแรงก็รู้สึกละอายใจอีก ทุกคนไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไรดี แต่สุดท้ายภายใต้การคะยั้นคะยอของชุ่ยหลิ่วก็ไปยังสถานที่นัดหมาย เพราะเข้าใจสิ่งชุ่ยหลิ่วพูดดี ถ้าขาดไปคนหนึ่งเงินค่าแรงก็จ่ายไปไม่ได้ เสียเวลาผู้อื่น ยังทำให้งานในนาล่าช้าอีก
ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแข่งกับเวลาแล้ว จำเป็นต้องใช้โอกาสจัดการที่ดินให้เรียบร้อยก่อนหิมะตกหนักในหน้าหนาว ฤดูใบไม้ผลิจะได้หว่านเมล็ดดีๆ ถ้าเสียเวลาก็จะยุ่งยากมากแล้ว ดังนั้นแต่ละคนล้วนยืนอยู่ตรงสถานที่นัดหมายด้วยจิตใจลังเลอยู่ไม่สุข