เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 869 ความไม่พอใจของพ่อบ้านชรา / ตอนที่ 870 ความเป็นมาของเฉิงยวน
ตอนที่ 869 ความไม่พอใจของพ่อบ้านชรา
ซูเซียงเห็นจมูกเล็กของเด็กขยับ ปากเล็กทำหมุบหมิบก็โล่งใจ เมื่อครู่นางกระตุ้นเข็มให้เด็กเรียบร้อยแล้ว ยังฝืนนับว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ถ้าเด็กยังไม่ดื่มโจ๊กลงไปล่ะก็นั่นคงเปล่าประโยชน์แล้ว นี่เป็นยุคโบราณถอยหลังมิใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่จะสามารถให้สารอาหารให้น้ำเกลืออะไรได้
เนื่องด้วยเด็กน้อยหิวจัด ครั้งนี้ซูเซียงไม่กล้าให้นางกินอะไรมากเกินไป หลังตักให้นางสองสามช้อนแล้วก็ไม่ได้ป้อนต่ออีก
เด็กดูเหมือนเพราะกินไม่อิ่มจึงร้องท้วงอยู่บ้าง แต่ร่างกายเล็กๆของนางกับเสียงร้องไห้เหมือนลูกแมวทำให้คนฟังทรมานใจ
ตอนพลบค่ำสตรีคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา ผ่านการบอกเล่าเคล้าน้ำตากระท่อนกระแท่นของนางแล้วจึงรู้ว่าเป็นเพราะนางให้กำเนิดลูกสาว ภายหลังบาดเจ็บจนร่างกายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกจึงถูกบ้านสามีขับไล่ออกมา
ทีแรกนางอุ้มลูกตั้งใจจะกระโดดแม่น้ำแล้ว แต่บังเอิญได้ยินหญิงซักผ้าหลายคนพูดกันว่าเซียงหรงจวิ้นจู่ทางมณฑลชิงเหอใจดี ที่ใดมีเซียงกรงจิ้นจู่ ที่นั่นชาวบ้านก็มีทางรอด
นางคิดว่าตัวเองตายไปก็ไม่เป็นไร แต่เห็นลูกสาวตัวน้อยในอ้อมอกที่ร้องไห้แทบขาดใจ นางก็ทำใจร้ายไม่ลง จึงหอบลูกมาด้วยความหวังเพียงเส้นเดียว ต้องการขอเพียงทางรอดชีวิตทางเดียว
ผู้หญิงคนหนึ่งไม่เคยออกจากบ้านเดินทางไกล อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอายุสองขวบกว่าคนหนึ่ง เดินทางนับร้อยลี้ ความยากลำบากนี้ไม่ต้องบอกก็รู้
ไม่ง่ายนักกว่าจะมีคนชี้ทางให้นาง บอกว่าทางนี้เป็นที่นาของครอบครัวเซียงหรงจวิ้นจู่ พอดีนางได้ยินเสียงเคาะฆ้องตีกลองทางนี้ ได้ยินเสียงคนคึกคักก็อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายอยากเข้ามาดูว่าเซียงหรงจวิ้นจู่ที่นี่หรือไม่
แต่เรี่ยวแรงในร่างกายนางถูกสูบไปหมดสิ้นแล้ว เดินได้ไม่นาน เห็นฝูงชนเสียงดังคึกคัก ทว่าขานางกลับก้าวไม่ออกแล้ว กอดลูกสาวตัวน้อยไว้แล้วล้มลงไปบนทุ่งนา
นางคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีเวลาได้ลืมตา โดยเฉพาะได้เห็นลูกน้อยบ้านตนยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังขยับปากหมุบหมิบกินอาหารได้ นางไม่รู้ว่าตัวเองมีความสุขมากเพียงใด
“ขอบพระคุณจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง ขอบพระคุณจวิ้นหม่า ฮึก ฮือๆ…พวกท่านเป็นพระโพธิสัตว์ตัวเป็นๆจริงแท้…” สตรีคนนั้นกล่าวพลางทำท่าจะลงไปโขกศีรษะให้ซูเซียง
ชุ่ยหลิ่วรีบมาห้ามนางไว้ “อาสะใภ้ท่านนี้ ตอนนี้ร่างกายท่านอ่อนแอมาก ไม่ต้องมากพิธี ถึงเวลาเป็นลมเป็นแล้ง ยังจะลำบากจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบ้านข้า…”
สตรีคนนั้นเดิมทียังอยากพูดแย้งอะไรบางอย่าง แต่ถูกประโยคนี้ของชุ่ยหลิวขวางกลับไป กลืนน้ำลาย มองดูซูเซียง กลัวเหลือเกินว่าซูเซียงจะโกรธ แต่กลับเห็นคนแย้มยิ้มพอใจ นางพลันรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ด้วยเหตุนี้ สตรีนามว่าเฉิงยวนผู้นั้นจึงอาศัยอยู่ในบ้านซูเซียง ตอนแรกเริ่ม ซูเซียงแค่ให้นางช่วยทำงานจิปาถะภายในบ้าน หรือไม่ก็ไปทำงานในทุ่งนาเหมือนสตรีคนอื่นๆ
เพราะซาบซึ้งในบุญคุณซูเซียงช่วยชีวิตนาง รวมกับเดิมทีเฉิงยวนก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ทำการทำงานยิ่งขยันขันแข็ง ช่วยเหลือจัดการงานทั้งในบ้านนอกบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเวลาว่างนิดหน่อยก็ไปช่วยงานในนา
มีหลายครั้งหลายคราวที่ซูเซียงสั่งแกมบังคับให้นางกลับไปดูแลลูก อย่างไรเด็กหญิงคนนั้นก็เพิ่งสองสามขวบ ซ้ำยังพบเจอความลำบากมาขนาดนั้น แม้อยู่ในบ้านจะเลี้ยงดูเอาใจเหมือนคุณหนูทองพันชั่งก็จริง แต่ร่างกายมักจะมีบางอย่างไม่เข้าที่นัก ย่อมไม่อาจขาดมารดาอยู่ข้างกาย
จนกระทั่งไม่นาน พ่อบ้านก็มาคุยกับนางว่าสตรีที่ชื่อเฉิงยวนคนนั้นไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปในแปลงกวาโหลว[1] ยืนกรานว่าต้องรออีกสองสามวันถึงจะเก็บได้
ซูเซียงเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจึงโบกมือกล่าวกับพ่อบ้านคนนั้น “ในเมื่อทุกคนออกความเห็น เช่นนั้นก็รออีกสองสามวันเถอะ…”
สำหรับเรื่องนี้ซูเซียงกลับมิได้รับมาใส่ใจ จากนั้นไม่นานเฉิงยวนกับพ่อบ้านชราถึงกับทะเลาะกันขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้นี่ ผู้หญิงคนนี้นี่ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปหาจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง…” พ่อบ้านชราเดือดดาลอย่างแท้จริง ตั้งแต่สตรีชื่อเฉิงยวนนี่มาอยู่ ก็เที่ยวเจ้ากี้เจ้าการ แม้แต่ในจวนฆ่าไก่ล้มแพะตัวเดียวนางก็เป็นอันต้องได้เอาตัวเองเข้ามาสอดปากสักหน่อย
——
[1] กวาโหลว (瓜篓) หรือกวยลู้ เป็นพืชตระกูลแตง (Cucurbitaceae) มีสรรพคุณละลายเสมหะ ขับร้อน หล่อลื่นลำไส้ ช่วยระบาย รสชาติหวานปนขมเล็กน้อย
ตอนที่ 870 ความเป็นมาของเฉิงยวน
ทุกครั้งที่คุยที่ทะเลาะกับนาง ผู้อื่นก็จะมีเหตุผลมาเป็นกองใหญ่ บอกว่าจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงช่วยชีวิตนางไว้ จวิ้นจู่เหนียงบอกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นครอบครัวของนางแล้ว เรื่องในบ้านตัวเองนางจะไม่สนใจจัดการได้หรือ?
ตอนซูเซียงเข้ามาก็ทันได้ยินเฉิงยวนกำลังพูดไม่รู้เรื่องลงรอยกันอยู่ตรงนั้น “ก็ข้าบอกว่าต้องตากให้แห้งอีกหน่อย ตากอีกหน่อย ท่านก็ไม่ฟัง ถึงเวลาเก็บไว้นานเกิดขึ้นราขึ้นมา นั่นก็เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า[1]น่ะสิ…”
“นางหญิงปากร้าย เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าอะไรกัน ข้ามิได้ทำร้ายคนเสียหน่อย ไยถึงเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าแล้ว?!” พ่อบ้านอาวุโสตอกกลับอย่างไม่พอใจ
“สตรีผู้น้อยมิได้บอกว่าท่านเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า เพียงแค่บอกว่าสมุนไพรนี้ต้องตากแดดอีกหน่อย น้ำในนี้ยังไม่แห้งดี รสยาก็ไม่ถูกต้อง ถึงเวลาเก็บไว้จะขึ้นรา ท่านเอาของขึ้นราให้คนป่วยกินนั่นมิใช่เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าหรอกหรือ? โอย ทำไมข้าคุยกับท่านไม่รู้เรื่องเลย ข้ามิได้ด่าท่านเสียหน่อย ใจเย็นๆเถิด…”
“ใจเย็น? ข้าไม่เย็นบ้าเย็นบออะไรทั้งนั้น ข้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนเก่าแก่ที่จวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมา แต่ตลอดชีวิตนี้ข้าเป็นคนขยันตั้งใจ รับผิดชอบในหน้าที่ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรม เจ้าสตรีผู้นี้เปิดปากปิดปากก็เอาแต่พูดว่าเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า ข้ารับข้อกล่าวหานี้ไม่ได้! วันนี้เจ้าต้องพูดกับข้าให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นก็ให้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงตัดสินความ…” พ่อบ้านชราผู้สุภาพอ่อนโยนเสมอมาโมโหแทบแย่แล้ว
“โอ๊ย โอ๊ย..” เฉิงยวนกุมขมับโอดครวญ “เรื่องเล็กน้อยขนไก่เปลือกกระเทียมเช่นนี้ไยต้องไปลำบากรบกวนจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง จวิ้นจู่เหนียงเนียงนางอารมณ์ไม่สู้ดีอยู่ท่านไม่รู้หรือ?”
“เฮอะ จวินจู่เหนียงเนี่ยงอารมณ์ไม่ดี แล้วเจ้าจะมาวางท่าดูหมิ่นชื่อเสียงข้าได้หรือ? ข้าเป็นคนที่ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าประตูผีแล้ว เจ้ายังกล้าใส่ร้ายว่าข้าเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า นี่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไรเล่า… ”
ตอนซูเซียงเข้ามา ก็ได้ยินคนทั้งสองกำลังทะเลาะกันอึกทึกอยู่ตรงนั้น พ่อบ้านชราเดือดดาลกระทืบเท้า ส่วนเฉิงยวนกลับหงุดหงิดจนปัญญา
“พอแล้ว อย่าทะเลาะกันแล้ว รอบบ้านห้าลี้ล้วนได้ยินเสียงของพวกท่านหมดแล้ว บอกมาสิ ทะเลาะเรื่องอะไรกัน?” ซูเซียงเดินเข้าไป เอ่ยปากพูดไม่หนักไม่เบา
อันที่จริงนางยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว สองคนทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แต่คนทั้งสองก็ทะเลาะกันวนเวียนอยู่ที่เรื่องเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า แม้นางได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยกระจ่างนัก ยังอยากฟังคนทั้งสองพูดสักหน่อย ถ้าใครมีจิตใจคิดคดนางเองก็ไม่อาจเก็บไว้ แม้เป็นคนที่มารดาส่งมา นั่นก็ไม่ละเว้น
ผลคือท่ามกลางเสียงถกเถียงของคนทั้งสองอื้ออึงในหูสองข้างของนาง ในที่สุดก็จับต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวได้กระจ่างชัดแล้ว
ที่แท้ทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็เพราะทั้งสองคนล้วนหวังดีต่อครอบครัวตัวเอง พ่อบ้านชรารู้สึกว่าสมุนไพรตากได้ที่แล้วจึงรีบจัดเก็บจะได้ตากของรอบใหม่ ส่วนเฉิงยวนกลับบอกว่าสมุนไพรนี้ยังแห้งไม่สนิท โดยเฉพาะรากป่านหลาน มีรสชาติไม่ถูกต้อง
พ่อบ้านชราไม่เข้าใจ สมุนไพรตากอยู่ดีๆไยจะรสชาติไม่ถูกต้อง? นี่มิใช่กำลังบอกว่าเขาปลอมปนของเดิมนี้หรอกหรือ? หม้อดำนี่เขาไม่อาจแบกรับได้!
มิน่าเล่า ลงเอยที่สองคนทะเลาะกันขึ้นมา
ซูเซียงเองก็กุมหน้าผากค่อนข้างจะปวดหัว กล่าวกับจ้าวเซิงที่อยู่ข้างๆ “ไปเถอะ เราไปดูรากป่านหลานนั่นด้วยกันหน่อย”
สองสามีภรรยาไปยังบริเวณที่พ่อบ้านชราต้องการจะเก็บแต่เฉิงยวนไม่ยอมให้เก็บ ซูเซียงตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงก็ยังมีน้ำอยู่นิดหน่อยยังต้องรอให้ระเหย ตากแห้งต่ออีกวันประสิทธิภาพก็ยิ่งดีขึ้นและไม่ขึ้นราง่าย
ซูเซียงค่อนข้างสงสัย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้ที่แม้แต่ตัวนางเองถ้าไม่ใส่ใจก็อาจยังละเลยได้ แต่เฉิงยวนเป็นหญิงชนบทคนหนึ่งทำไมถึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้?
เห็นซูเซียงสงสัยในตัวนางเล็กน้อย เฉิงยวนก็รีบคุกเข่าลงพื้นดังปึง โขกศีรษะสองครั้งแล้วกล่าวขึ้นว่า “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงอย่าเข้าใจผิด อย่าเข้าใจผิดนะเจ้าคะ สตรีผู้น้อยเคยเป็นเด็กรับใช้ข้างกายคุณหนูตระกูลแพทย์ ต่อมาคุณหนูเมตตาให้ข้ากลับบ้านออกเรือน แต่ไหนจะรู้ ไหนจะรู้…”
เฉิงยวนพูดไปพูดมาก็เริ่มปาดน้ำตา ถ้ารู้ก่อนว่าคนที่แต่งด้วยจะเป็นสิ่งของใจคอโหดเ**้ยม ตอนนั้นนางน่าจะอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายคุณหนู เข้าเมืองหลวงด้วยกันกับคุณหนู
——
[1] เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า หมายถึงไม่เห็นคุณค่าคน เทียบได้กับสำนวนไทย เห็นคนเป็นผักปลา