เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 871 ตรวจสอบคนมาใหม่ / ตอนที่ 872 ไยเจ้าคิดอยู่แค่นี้
ตอนที่ 871 ตรวจสอบคนมาใหม่
แม้ไม่อาจเพลิดพลินพรั่งพร้อมเกียรติยศเงินทอง แต่อย่างน้อยที่สุดคุณหนูก็ดีต่อนาง อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดชีวิตนี้กินอยู่ไม่อดยาก ตอนนั้นคุณหนูยังเคยบอกว่า ถ้านางยินดี ยังสามารถเป็นนางต้นห้องของคุณหนูได้ เป็นพี่สาวน้องสาวช่วยดูแลซึ่งกันและกันตลอดชีวิต ทั้งหมดต้องโทษที่นางเลอะเลือนเหมือนกินน้ำมันหมูอุดตันหัวใจ เห็นผู้ชายคนนั้นดีกว่า
ซูเซียงมองประเมินเฉิงยวนสักพัก หลายปีมานี้ซูเซียงเองก็กินความลำบากมาไม่น้อย เห็นคนมาก็ไม่หน่อย กอรปกับสายตาจริงใจของเฉิงยวน แป๊บเดียวก็พอมองออกว่านางไม่ใช่คนประเภทเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ซูเซียงถอนหายใจ “เจ้าลุกขึ้นเถิด เรื่องแบบนี้เจ้าควรบอกข้าให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ในเมื่อมีพรสวรรค์ดีถึงเพียงนี้เราก็ไม่อาจฝังกลบไว้ ไว้เดี๋ยวข้าจะเชิญอาจารย์มาช่วยชี้แนะสอนวิชาให้เจ้าดีๆสักเที่ยว
เฉิงหยวนไหนเลยจะยอม รู้สึกว่าตัวเองหอบลูกสาวตัวน้อยมาขออาศัยจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงก็โชคดีใหญ่หลวงแล้ว ไหนเลยยังจะรบกวนจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเชิญอาจารย์ให้นางอีก นี่มิใช่กำลังลดอายุขัย[1]หรอกหรือ?
นางรีบบอกปัด “ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ขอบพระคุณจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง สตรีผู้น้อยได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ของท่าน ขอข้าวประทังชีวิตเลี้ยงดูลูกสาวก็นับเป็นโชคดีใหญ่หลวงแล้ว นี่รับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ…”
ซูเซียงพยุงนางขึ้นมา กล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยนว่ากิจการสมุนไพรของนางอย่างไรก็ต้องทำการใหญ่โตอยู่แล้ว ถึงเวลาเรื่องจำพวกรับส่งเมล็ดพันธุ์สมุนไพรคงไม่อาจมาจัดการได้เองทุกเรื่อง อยากได้คนเป็นงานสักคนมาช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างกาย
เฉิงยวนคิดอยู่นาน รู้สึกว่าที่ซูเซียงพูดมาก็มีเหตุผล ตนได้บุญคุณผู้อื่นช่วยชีวิตไว้ ซ้ำยังเลี้ยงดูแม่ลูกสองคน บุญคุณครั้งนี้ต้องตอบแทน ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง นางก็ยินยอมอุทิศชีวิต ดังนั้นจึงตอบตกลง
แม้ซูเซียงไม่ค่อยปลื้มกับความดื้อรั้นหัวชนฝาของพ่อบ่านชรา แต่ผู้อื่นก็เจตนาดี รวมถึงเป็นคนที่ทางมารดาส่งมา ย่อมต้องไว้หน้าให้สามส่วน
ดังนั้นซูเซียงจึงยืนตรงหน้าพ่อบ้านชรา “ท่านลุงต้าหนิว ท่านลุกขึ้นเถิด เราตกลงกันดีแล้ว ในบ้านไม่ยึดติดกฎเกณฑ์พวกนี้ เรื่องในวันนี้ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของท่าน มิต้องใส่ใจ ต่อไปควรเป็นเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
ทีแรกพ่อบ้านชรานึกว่าซูเซียงจะโกรธเขา ก็เห็นซูเซียงดีต่อเฉิงยวนเสียขนาดนั้น ทั้งจะเชิญอาจารย์ให้ ทั้งพร่ำสอนกวดขัน มากน้อยก็ยังน้อยใจอยู่บ้าง คิดว่าเรื่องที่ตนทำคงไม่ดีต่อทุกคน…
คิดไม่ถึงซูเซียงกลับทำตรงกันข้ามเข้ามาปลอบเขา ทำให้พ่อบ้านชราเบาใจลงไม่น้อย กอรปกับเฉิงยวนเองก็รู้ตัวว่าตนเป็นอนุชนกระตุ้นโทสะผู้อาวุโสนั้นไม่ถูกต้อง จึงรีบขอโทษขออภัย บัดนี้พ่อบ้านชราจึงอารมณ์ดีแล้ว
โดยรวดเร็วช่วงเวลาหว่านเมล็ดพันธุ์ฤดูใบผลิของปีใหม่ก็มาถึง ซูเซียงเตรียมเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าสมุนไพรไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นแล้ว สมุนไพรบางอย่างที่ต้องเพาะเลี้ยงต้นอ่อน ซูเซียงก็ใช้โรงเรือนเพาะเอาไว้ก่อนนานแล้ว แต่ละต้นเจริญเติบโตแข็งแรง
และในช่วงเวลานี้เอง นางก็ร่วมมือกับหลี่ปั๋วหมิงเปิดสำนักศึกษาให้ความรู้แห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งสอนหนังสือเด็กๆให้อ่านออกเขียนได้ และอีกด้านหนึ่งก็รับศิษย์สอนวิชาแพทย์และเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
เรื่องนี้อันที่จริงมิใช่ซูเซียงเป็นผู้คิดขึ้นก่อน แต่เป็นเฉิงยวนเสนอกับนาง กล่าวว่าในเมื่อภายในบ้านขาดแคลนคนเช่นนี้ มิสู้ตัวเองจัดตั้งสำนักศึกษาฝึกอบรมคน อย่างไรก็เป็นคนที่ตัวเองไว้ใจได้ ใช้งานก็สบายใจขึ้นมาก
ที่จริงตอนแรกที่มอบงานสำคัญให้กับเฉิงยวน ในใจซูเซียงมากน้อยก็ยังหวั่นๆอยู่บ้าง ซ้ำยังเคยหารือกับจ้าวเซิง
คำพูดดั้งเดิมของจ้าวเซิงในตอนนั้นคือ “ก่อนอื่นอย่างเพิ่งส่งมอบเรื่องที่เป็นความลับให้นาง ดูๆไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ซูเซียงเองก็คิดเช่นนี้ สุดท้ายแล้วกาลเวลาพิสูจน์คน ประโยคนี้มีมาแต่โบราณย่อมต้องมีเหตุผลมิใช่หรือ?
แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงยวนจะเสนอความคิดเช่นนี้กับนาง บอกว่าต่อไปในบ้านให้มีคนที่มีความสามารถด้านการบริหารจัดการมากหน่อย ไม่ว่าจะช่วยเหลือคนก็ดี เปิดโรงหมอขายยาก็ดี หรือขยายกิจการไปทั่วแคว้นก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อราษฎร
ตอนนั้นซูเซียงยังถามนางว่า “ถึงเวลามีคนมากความสามารถเพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าตำแหน่งของเจ้าอาจจะรักษาไว้ไม่อยู่?”
——
[1] มีความเชื่อว่าถ้าได้รับความโปรดปรานมากเกินไปหรือโชคดีมากเกินไปอายุขัยก็จะลดลง
ตอนที่ 872 ไยเจ้าคิดอยู่แค่นี้
หลังเฉิงยวนฟังจบก็อึ้งก่อนเล็กน้อย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “ได้รับความกรุณาจากจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเห็นความสำคัญให้ข้าดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่ว่ากันแล้ว ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง รวมถึงยังต้องเลี้ยงดูเด็กหญิง แท้จริงแล้วกำลังมีจำกัด หากภายหลังมีตัวแทนทำงานได้ดีกว่านั่นย่อมดีที่สุด ข้าก็ติดตามข้างกายจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง คอยยกน้ำยกชา หยิบจัดเสื้อผ้าให้ท่าน สบายใจกว่าตั้งเยอะมิใช่หรือ ”
ซูเซียงถูกนางขบขันใส่ก็ทำเสียงดุ “เจ้านี่นะ ไยคิดอยู่แค่นี้! ผู้อื่นเขาโลภทรัพย์โลภสิน เจ้าไม่อยากก้าวหน้ากับเขาหน่อยหรือ?”
คิดไม่ถึงว่าสีหน้าของของเฉิงยวนกลับเข้มลง แล้วยิ้มกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “คนเรานี้ ต้องเข้าใจรู้จักพอ โชควาสนาที่เทพสวรรค์มอบให้เรานั้นกำหนดมาชัดเจน ถูกเราใช้จนหมดก็ไร้สิ้นแล้ว…”
วาจาเหล่านี้ของเฉิงยวนย่อมเข้าหูของซูเซียงและจ้าวเซิง ตอนกลางคืนสองสามีภรรยาก็หารือกันถึงเรื่องนี้รอบหนึ่ง
คราแรกจ้าวเซิงเองไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะบุ่มบ่ามใช้งานเฉิงยวนเช่นนี้ แต่หลังผ่านเรื่องคราวนี้ความคิดของจ้าวเซิงก็คือ หลังจากนี้อะไรที่นางทำได้ก็มอบหมายให้นางทำไปเถิด
ไม่ว่าจะในตัวเมืองในอำเภอ หรือกระทั่งในหมู่บ้านใหญ่ๆก็ล้วนมีสำนักศึกษา แต่การสอนอบรมนั้นล้วนเป็นสี่ตำราห้าคัมภีร์[1] แต่สำนักศึกษาที่เปิดสอนวิชาแพทย์เช่นของพวกซูเซียงนี้สร้างเป็นที่แรกในประวัติการณ์
ถ้าพูดถึงการรับสมัครผู้ศึกษา นั่นก็หาง่ายทีเดียว เด็กในบ้านสามีภรรยาที่มาทำงานเหล่านั้นก็มีมิใช่น้อย บางคนช่วยทำงานในทุ่งนาน่ารักน่าเชื่อฟังมากทีเดียว เด็กบางคนก็ช่างทะเล้นซุกซนอย่างแท้จริง
การจัดตั้งสำนักศึกษาเดิมทีก็เป็นเรื่องดีงามเรื่องหนึ่ง รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเด็กซนกลุ่มใหญ่นี้ได้ ในทุ่งนาเองก็เงียบสงบลงไม่น้อย
ความคิดในตอนแรกของจ้าวเซิงคือ อย่างไรในบ้านก็มีเงิน ให้เด็กๆเหล่านี้ร่ำเรียนโดยไม่ต้องเสียเงินแล้วกัน เห็นว่าคนไหนมีแววก็ค่อยอบรมเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้นหน่อย
แต่ซูเซียงกลับรู้สึกว่าการทำบุญด้วยข้าวก็สร้างแค้นด้วยข้าว ตัวนางเองไม่อยากเป็นเจ้าหนี้ทุกคน แม้เงินทองในบ้านนางมีมาก ยินดีจะหยิบออกมาทำเรื่องการกุศล แต่ก็ไม่อาจเอามาใช้ให้ท้ายจนเด็กสร้างกองทัพคนโตแต่ตัวที่ช่างแม่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเอาใจทำดีด้วย ทัศนคติไม่ดีแบบนี้ห้ามเอามาใช้เลี้ยงเด็กเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้มีความรู้มากก็เปล่าประโยชน์!
อย่าว่าแต่ค่าเล่าเรียนเลย แม้แต่เครื่องเขียนให้ลูกใช้ก็ยังซื้อไม่ไหว อีกทั้งเด็กบางคนช่วยทำงานแล้วอย่างไรก็ยังได้เงินเล็กน้อยแค่สองสามอีแปะเท่านั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปวดสมองบางอย่าง ซูเซียงจึงประกาศใช้นโยบายสองข้อ
ข้อแรกคือ ผู้เข้าเรียนเป็นเด็กอายุหกปีถึงสิบสองปี จ่ายแค่ค่าเครื่องเขียนเดือนละห้าสิบเหรียญทองแดง อันที่จริงก็ทำไปอย่างนั้น ทุกคนล้วนอยู่แล้วว่า แค่ราคาแผ่นกระดาษก็มิใช่แค่ห้าสิบเหรียญทองแดงแล้ว ข้อสอง แบ่งเด็กห้องละห้าสิบคน ถ้าสอบได้ห้าอันดับแรกก็จะได้รับทุนการศึกษา และหากผลคะแนนอยู่ลำดับต้นๆของโรงเรียนทุนการศึกษาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน
แม้ในนี้มีหลายครอบครัวทีเดียวที่ยังไม่เข้าใจ คิดว่าบรรพบุรุษล้วนเท้าย่ำโคลน ไม่รู้หนังสือก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงแก่เฒ่า ไยต้องจ่ายเงินร่ำเรียนหนังสือ?
ต่อมาได้คนในบ้านเกลี้ยกล่อมว่านี่เป็นประสงค์ของจวิ้นจู่เหนี่ยงเนี่ยง นอกจากนี้ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพง ให้ลูกไปเรียนหนังสือหน่อยก็ดี แม้นอนาคตมิได้มีความสามารถใหญ่โตอะไร ดีเลวอย่างไรพอออกนอกบ้านไปอ่านหนังสือเห็นโฉนดก็ไม่ถูกคนเขาหลอก เรียนวิชาแพทย์ไว้บ้าง ในบ้านเกิดมีคนเจ็บป่วยเล็กๆน้อย ก็สามารถช่วยดูแลให้ได้มิใช่หรือ
อีกทั้งระบบมอบทุนการศึกษาของซูเซียงนี้ แม้โอกาสที่เด็กเป็นพันคนจะสามารถเอาที่หนึ่งที่สองมาได้จะมีน้อยมาก ทุกคนเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มิใช่กล่าวว่าห้องละห้าสิบคน ห้าอันดับแรกของแต่ละห้อง ล้วนมีทุนการศึกษาให้หรอกรึ? อย่างน้อยนั่นก็สิบกว่าตำลึงเงินเชียวล่ะ
ดังนั้นทุกคนต่างให้การตอบรับสำนักศึกษาวิชาแพทย์สมุนไพรที่ซูเซียงเปิดอย่างมาก หลังเปิดสำนักสอนได้สองเดือนกว่าๆยังมีปราชญ์ชาวบ้านจำนวนมากมาขอคำแนะนำ/ขอเรียน ถึงขั้นทิ้งลูกศิษย์ที่มีความสามารถของตัวเองไว้หรือไม่ก็ลงสนามเข้าร่วมการเรียนการสอนด้วยตัวเอง อีกทั้งล้วนเป็นอาสาสมัครสอนแบบไม่เอาเงิน สำคัญคือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับทุกคน
เดิมทีชื่อเสียงของซูเซียงกับหลี่ปั๋วหมิงก็ดีมากอยู่แล้ว หลี่ปั๋วหมิงเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ในวงการแพทย์คนหนึ่ง บัดนี้ไปมาหาสู่กับปราชญ์ชาวบ้านต่างๆเพิ่มอีก บ้านที่ยังลังเลอยู่เหล่านั้นก็ส่งลูกเข้ามาเรียนทันที
——
[1] สี่ตำราห้าคัมภีร์ (四书五经) ตำราทั้งสี่เล่ม ประกอบด้วย 1. ตำราต้าเสวีย大学 (อุดมศึกษา มหาบุรุษ) 2. ตำราจงยง中庸 (ทางสายกลาง) 3.ตำราหลุนอี่ว์ 论语 (ตำราบันทึกคำสอนระหว่างขงจื่อกับศิษย์) 4.ตำราเมิ่งจื่อ 孟子 (ตำราบันทึกคำสอนระหวางเมิ่งจื่อกับศิษย์) ส่วนคัมภีร์ทั้งห้า ประกอบด้วย 1.คัมภีร์อี้จิง (易经) เกี่ยวกับโหราศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ 2.คัมภีร์ซือจิง (诗经) เกี่ยวกับลำนำบทกวี 3. ซูจิง (书经) เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ 4.คัมภีร์หลี่จี้ (礼记) เกี่ยวกับจารีตประเพณี 5.คัมภีร์ชุนชิว (春秋) บันทึกพงศาวดาร เหตุการณ์สำคัญ