เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 875 กลัวจะทำร้ายหัวใจโดยใช่เหตุ / ตอนที่ 876 เด็กลึกลับ
ตอนที่ 875 กลัวจะทำร้ายหัวใจโดยใช่เหตุ
สีหน้าของหลงฉีย่ำแย่ แท้จริงแล้วในใจทุกคนล้วนเข้าใจดี ด้วยนิสัยของพวกหมอเตี๋ย ถ้าช่วยชีวิตเด็กไว้ได้คงส่งข่าวมาบอกแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรีรอจนถึงวันนี้ ที่ไม่มาบอกกล่าวเกรงว่าคงกลัวทำให้คนเจ็บปวดเสียใจอีกกระมัง
ทว่าในเมื่อหมอเตี๋ยและเสียงอวิ๋นนั้นไม่มีข่าวคราว ก็ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นข่าวที่ดีที่สุด แม้มีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นพวกเขาก็ไม่อาจปล่อยผ่าน ดังนั้นหลังหลงฉีรับคำแล้วรีบสั่งการให้เสริมกำลังคนออกไปค้นหาร่องรอยของพวกหมอผีเสื้อทันที
ในเวลาสามปีกว่า พระพันปีเองก็ถือโอกาสนี้กุมอำนาจไว้อย่างมั่นคง โดยพื้นฐานว่าควบคุมอำนาจของจักรพรรดิได้แล้ว
ด้วยมีความมานะบากบั่นแทบรากเลือดของพระพันปี แม้ไม่มีผลงานใหญ่เปิดอาณาเขตขยายดินแดนอะไร แต่ดีที่ราชสำนักค่อยๆมั่นคง ทางชายแดนก็เช่นกัน แม้ยังมีปัญหาเล็กๆน้อยๆบ้างเป็นครั้งคราวแต่พอฝืนนับได้ว่าสงบสุข
ส่วนจักรพรรดิกับรัชทายาททางนั้น ในพระทัยย่อมไม่ยินดี แต่แล้วทำอะไรได้? ทำเสียงดังจนพระพันปีทรงรำคาญ โยนทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “ไม่พอใจรึ เจ้ากัดข้าสิ!”
ล้วนกันว่าคนโง่เขลากลัวคนสับสน คนสับสนกลัวคนทำตามใจชอบ ส่วนพระพันปีน่ะหรือ เอ่อ…พอดีเป็นคนทำตามใจชอบ ซ้ำยังเป็นประเภทตามใจตัวเองเป็นพิเศษ มารดาของผู้อื่นเกิดจากสามัญชน บิดาล้วนเคยชินแล้ว ตนแต่งให้จักพรรดิองค์ก่อน อดีตจักพรรดิก็ยังชินบ้างไม่ชินบ้าง
แท้จริงประโยคนนี้มีเรื่องเล่าเล็กน้อย นั่นเป็นตอนที่ซูเซียงเข้าเฝ้าพระพันปีแล้วเล่นมุกหยอกล้อผู้ชราให้มีความสุข พระพันปีจำได้ บัดนี้หยิบยกขึ้นมาใช้แล้วช่างเหมาะเหม็ง ทำเอาจักรพรรดิกับรัชทายาทโกรธกริ้วเสวยอาหารไม่ลงไปสามมื้อ
ตอนนางข้าหลวงมากราบทูลรายงานพระพันปีว่าฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทไม่เสวยกระยาหาร โกรธกริ้วจนหน้าซีดขาว พระพันปีกลับแค่นเสียงฮึหนึ่งเสียงแล้วตรัสว่า “นึกถึงครานั้นที่ทำให้ข้ากระอักเลือด บัดนี้คงได้ลิ้มรสบ้างแล้วกระมัง พอแล้วๆ อย่าไปสนใจไอ้ลูกกระต่ายสองตัวนั้นเลย เชิญซ่งอ้ายชิง[1]มาพบอายเจีย อายเจียมีเรื่องจะหารือกับเขา
“พระพันปี…” นางกำนัลรับใช้ผู้นั้นเดิมทียังอยากช่วยขอร้องให้จักรพรรดิกับรัชทายาท ดีร้ายก็ให้พระพันปีเอ่ยคำนุ่มนวลสักประโยคสองประโยค เกิดจักรพรรดิกับรัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมาเช่นนั้นแล้วจะดีหรือ?
พระพันปีมีหรือจะไม่รับรู้เจตนาดีของนางกำนัลรับใช้ ทว่าตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่ จะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปสนใจลูกกระต่ายเหลือขอสองตัวนั้น
“เอาเถิด ไปเถิด จับตาดูหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้พวกเขาสร้างปัญหาอีก ส่วนเรื่องข้าว จะกินหรือไม่กินก็แล้วแต่ สำรับที่ยกเข้าไปถ้ากินไม่หมดไม่ต้องยกออกมา ประหยัดเสบียงอาหาร เซียงเอ๋อร์เคยพูดไว้ สิ้นเปลืองอาหารต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”
พระพันปีทางหนึ่งก็บ่นพึมพำ ทางหนึ่งก็ให้นางกำนัลติดตามข้างกายสวมฉลองพระองค์ให้นาง เตรียมออกไปพบขุนนางใหญ่หารือราชกิจ
นางกำนัลรับใช้ท่านนั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของพระพันปี อ้าปากจะพูดอยู่สองครั้ง สุดท้ายก็ปิดลง ช่างเถอะๆ ใครใช้ให้จักรพรรดิกับรัชทายาททำเรื่องไม่ถูกคลองธรรมเล่า ไม่แปลกที่พระพันปีจะทรงกริ้ว แท้จริงแล้วในใจทุกคนต่างไม่มีความสุข
สำหรับเรื่องที่พระพันปีรับสั่งว่าพระกระยาหารที่ยกเข้าไปถ้าเสวยไม่หมดก็ไม่ต้องยกออกมาอะไรนั่น พวกเขากลับมิอาจทำเช่นนั้นได้ อย่างมากที่สุดยกออกมาแล้วก็กินเสียเอง ไม่นับว่าสิ้นเปลือง แต่จักรพรรดิกับรัชทายาทนั้นอย่างไรก็ต้องจัดสำรับอาหารสดใหม่
รัชทายาทแม้กักบริเวณเพียงครึ่งปีก็ได้รับการปล่อยออกมาจากศาลตระกูลแล้ว แต่พระพันปีกลับไม่มอบสิทธิ์อำนาจใดๆให้เขาถือครอง ขังให้อยู่ในวังบูรพาทั้งวัน
ต่อมามีขุนนางทัดทานกราบทูลต่อพันปีว่า คนเป็นบุตร ทั้งยังอยู่ในเมืองหลวง นานวันแล้วจะไม่เข้าเฝ้าถวายพระพรให้พระราชบิดาของตนเองได้อย่างไร ยังต้องเคารพปฏิบัติตามหลักกตัญญู
หลังนั้นมาพระพันปีเห็นรัชทายาทหลายหนแล้ว รู้สึกว่าเด็กคนนี้มากน้อยก็ยังมีความสำนึกผิด จึงโบกพระหัตถ์กว้าง ให้เขาไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ
ผลก็อย่างที่เห็น เหอะ ดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้มีเพียงรัชทายาทกับจักรพรรดิที่รู้ แม้กระทั่งกงกงผู้ถวายงานรับใช้จักรพรรดิคนหนึ่งก็ยังถูกรัชทายาทปิดปาก
นั่นก็คือจักรพรรดิทรงพิโรธเดือดดาล หลังพบหน้ากชายก็พ่นระบายความทุกข์ไหลเป็นแม่น้ำ ถึงกับตรัสอย่างชิงชังว่า ยายแก่พระพันปีนั่นตายไปเสียก็ดี
รัชทายสดับวาจาเช่นนี้ย่อมตื่นตะลึงหน้าถอดสี รีบคุกเข่าโขกคำนับให้พระบิดา ขอให้เขาไม่เอ่ยวาจานี้อีก จักรพรรดิดูเหมือนก็รู้ตัวว่าพูดผิดไปแล้วจึงปิดพระโอษฐ์อย่างกระดากอาย
เพราะเรื่องนี้มีคนทราบไม่มาก รัชทายาทยังปิดปากรวดเร็วไม่มีเล็ดลอดออกไป มิเช่นนั้นล่ะก็ พระพันปีคงจัดการพ่อลูกคู่นี้อย่างสาสมสักหนึ่งยกเป็นแน่!
——
[1] อ้ายชิง (爱卿) แปลว่าขุนนางที่รัก เป็นคำเรียกที่กษัตริย์ใช้เรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ตอนที่ 876 เด็กลึกลับ
ในสามปีนี้ รัชทายาทเองก็เขียนจดหมายให้จ้าวเซิงหลายครั้งมาก บอกว่าต่อไปจะไม่ฝืนบังคับเขาอีก บอกว่าเรื่องที่ซูเซียงก่อกวนทำลายราชสำนักก็จะไม่ถือสา เพียงแต่ให้วางฐานันดรศักดิ์ของซูเซียงไว้ตรงนั้น มากสุดให้เป็นได้แค่เช่อเฟย จากนั้นยังบอกอีกว่าซูย่วนรักจ้าวเซิงลึกซึ้งมากเพียงใด คะนึงหาจ้าวเซิงมากแค่ไหน
จ้าวเซิงกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรจริงจัง ฉะนั้นจึงเปิดแผ่นสารออกดูทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่อ่านก็อารมณ์บูดบึ้งทุกที สีหน้าเฉยชา ตามด้วยฉีกแผ่นกระดาษเป็นเศษซาก
มีครั้งหนึ่งซูเซียงเพิ่งเก็บข้าวของออกมาจากห้องกำลังเตรียมตัวไปทุ่งนา ก็เห็นจ้าวเซิงรับนกพิราบตัวนั้นอีกแล้ว สำหรับจดหมายระหว่างรัชทายาทกับจ้าวเซิงซูเซียงรู้อยู่แล้ว แค่ขี้เกียจจะเอ่ยถาม
ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรตอนนั้นจ้าวเซิงสามารถเติบโตได้อย่างสงบสุข รัชทายาทผู้เป็นพี่ชายคนนี้ก็ทำตนเหมาะสมกับตำแหน่ง สำหรับองค์ชายที่ไม่มีพระมารดา ยิ่งไม่มีตระกูลของมารดาสนมคอยหนุนหลัง คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงลึกล้ำกินคนไม่คายกระดูกเช่นนั้นคงไม่ง่ายดายนัก
อีกทั้งจ้าวยังเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ถ้าจะบอกว่านี่มิใช่รัชทายาทสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเต็มกำลัง ตัวซูเซียงเองก็ยังไม่เชื่อ
ผู้อื่นมีสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องนานหลายปี และจ้าวเซิงเองก็พูดชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ทำร้ายลูกในท้องนางไม่มีทางเป็นรัชทายาท ดังนั้นต่อให้ซูเซียงไม่ชอบใจราชวงศ์ยิ่งกว่านี้ มากที่สุดก็ทำได้แค่ไม่สนใจ ตาไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญก็เป็นอันได้แล้ว
จ้าวเซิงรับกระดาษมาแล้วยังไม่ทันเปิดอ่านก็เห็นซูเซียงออกมาแล้ว เขาจึงชูมือขึ้นสะบัดกระดาษแผ่นนั้นจนกลายเป็นผุยผง ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กเข้ามา “ที่รัก เจ้าสวมชุดแบบนี้จะลงดินหรือ?”
“อืม จะไปดูหน่อยว่ามีอะไรพอช่วยได้บ้าง เออใช่ เมื่อวานลุงฮวาขอลาพักกลับบ้าน บอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะมา นี่คงต้องรดน้ำช้าไปอีกวันหนึ่ง” ซูเซียงจัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างราบเรียบ บนหน้าไม่มีความรู้สึกอะไรมาก ไม่ได้ยิ้มแย้ม และก็ไม่ได้นับว่าโมโห
เพียงแต่สีหน้าท่าทางเช่นนี้จ้าวเซิงเห็นเข้าทุกวันก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ตัวเองไม่ได้เรื่อง รักษาลูกไว้ไม่ได้ ภรรยาคงไม่ถึงกับกลายเป็นสภาพนี้
รดน้ำที่ซูเซียงพูดถึงนี้มิใช่สูบน้ำมารด แต่หาบปุ๋ยมูลไปรดในนา ยุคโบราณไม่ดีตรงส่วนนี้ ไม่มีปุ๋ยคุณภาพดีหลากหลายชนิดให้มาบำรุงดิน จำต้องเลือกปฎิกูลมาใช้
“ไยพูดเช่นนี้เล่า ยังมีข้าสามีกับหลงฉีอยู่สองคนมิใช่รึ? หาบปุ๋ยได้เร็วกว่าลุงฮวาอีกแหนะ” จ้าวเซิงเห็นท่าทีซูเซียงวันนี้คงต้องพูดกับเขามากกว่าสองประโยค ก็รีบอาสาแสดงความภักดี พูดพลางก็หันหันหน้าไปจ้องหลงฉีเขม็ง
หลงฉีแม้ไม่ยินดีไปหาบปุ๋ย รู้สึกได้ว่าสิ่งของเหม็นคละคลุ้งนั่นคงติดตัวไปสามวันสามคืนก็ยังล้างไม่ออก ทว่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้านายบ้านตนเขาก็ใจแข็งปฎิเสธไม่ลง จึงตอบว่า “ใช่ขอรับๆ ฮูหยิน เราสองคนแข็งแรงกว่าลุงฮวาคนเดียวเสียอีก ไป ไปๆ รีบไปหาบปุ๋ย อย่าให้เสียเวลาเพาะปลูกเลย…”
เดิมทีทั้งหมดสงบเรียบร้อยดี แต่คิดไม่ถึงว่าในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สามหลังซูเซียงออกจากเมืองหลวง จู่ๆจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยก็มีผู้อาวุโสลึกลับคนหนึ่งมาเยือน ยัดเด็กใส่มือองค์หญิงเต๋อฮุ่ยแล้วก็หมุนกายหายไปอย่างเบาหวิว
ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ใช่หมอเตี๋ยและก็มิใช่เสียงอวิ๋น เส้นผมและหนวดเคราล้วนขาวโพลนราวกับหิมะ ดูท่าทางแล้วอายุน่าจะราวร้อยกว่าปี ทว่าการเคลื่อนไหววรยุทธ์ของผู้อื่นนั้นกลับลื่นไหลดุจสายน้ำ ราวกับขนนก เหาะเหินได้ดั่งใจคิด
รอจนถึงตอนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยตอบสนองกลับมาคิดจะตามคนไป ชายเสื้อของผู้อื่นก็ไม่อยู่แล้ว นางอุ้มเด็กในมืออย่างงงงวย ทำตัวไม่ถูก
แม่นมคนที่เคยถูกส่งมาดูแลซูเซียงและเด็กที่เสียไปเมื่อคราอยู่ในวังหลวง เห็นเทพเซียนชราเปี่ยมราศีเทพอมตะคนหนึ่งทำไมถึงอุ้มเด็กเข้ามาในจวนองค์หญิงของพวกเขา ซ้ำยังวางลงในมือขององค์หญิงด้วยตัวเอง?
ทันใดนั้น แววตานางสว่างวาบ สาวเท้าขึ้นหน้าทันที ไม่สนใจนายบ่าวอะไรทั้งนั้น แหวกผ้าบนหน้าอกเด็กออกทันที
ดังคาด เห็นปานรูปจันทร์เสี้ยวรอยหนึ่งบนนั้น ต่อมาก็เห็นถุงผ้าห่อหนึ่งบนร่างของเด็กคนนั้น เปิดออกดูเห็นเป็นผ้าชิ้นน้อยที่ซื่อจื่อน้อยสวมใส่ตอนถูกอุ้มออกไปเมื่อปีนั้น
นี่เป็นสิ่งที่นางสวมให้เด็กด้วยมือของนางเอง ตลอดทั้งชีวิตนี้นางไม่มีวันลืม!