เพราะรักสลักใจ - ตอนที่ 889 พระพันปีสวรรคต / ตอนที่ 890 อย่างไรถึงจะเรียกว่าหน้าไม่อาย
ตอนที่ 889 พระพันปีสวรรคต
พระพันปีทรงกริ้วจนกระอักเลือดตรงนั้น ด้วยความเหนื่อยล้าและขุ่นเคืองพระทัยตลอดหลายปี ครานี้จึงล้มประชวรอย่างแท้จริง พระพันปีลงราชโองการเรียกตัวซูเซียงเข้าวังและมอบป้ายอาญาสิทธิ์อำนาจของตนให้แก่ซูเซียงอย่างเงียบๆ ยังแอบจัดการให้หัวหน้ากลุ่มอำนาจของตนได้พบปะกับซูเซียง
คล้อยหลังคนเหล่านั้น พระพันปีก็ทรุดตัวลงบนตั่งนุ่ม
บัดนี้นางเป็นตะเกียงไร้น้ำมันแล้ว โชคดีที่ซูเซียงเข้าเมืองหลวงมาเร็ว หากไม่ใช้โอกาสตอนนางยังมีแสงไฟริบรี่อยู่นี้ เกรงว่าธุระมากมายคงจัดการไม่ทันแล้ว
สุดท้ายพระโอษฐ์ของพระพันปีสั่นเทา ดึงมือซูเซียงไว้เอ่ยคำหนักแน่นจริงใจ “เซียงเอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นเพราะย่าไม่ดีเอง หน้ามือหลังมือนี้ล้วนเป็นเนื้อทั้งนั้น เฮ้อ คนโง่นั่น…เฮ้อ เห็นแก่เซิงเอ๋อร์กับเจ้าโง่นั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ทนได้ก็ทนเถิด ถ้าทำกันเกินไป ข่มขู่ถึงแก่ชีวิต เฮ้อ…เช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจเองเถิดว่าควรจัดการอย่างไร…”
“ลูกหลานย่อมมีชะตากรรมของลูกหลาน อายเจียไร้กำลังแล้ว จัดการมิได้แล้ว…”
“ลูกหลานอกตัญญู ลูกหลานอกตัญญู…” หลังพระพันปีเอ่ยวาจานี้จบ พระเนตรก็ปิดลง น้ำใสหยดหนึ่งกลิ้งลงมาจากหางตา ลาลับโลกไปเช่นนี้
แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายก็ยังไม่เห็นหน้าจักรพรรดิกับรัชทายาท
พระพันปีทิ้งคำสั่งเสียไว้สองประการ ประการแรกคือหลังนางสวรรคต ตราบใดที่ซูเซียงมิได้สมคบศัตรูก่อกบฎกระทำผิดมหันต์ต้องโทษร้ายแรงสิบประการ ไม่ว่าคนผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์คุกคามชีวิตของนาง มิเช่นนั้นไม่ว่าเป็นใครก็ตาม อำนาจที่นางเหลือทิ้งไว้จะขุดรากถอนโคนสิ่งกีดขวางทั้งหมดให้ซูเซียง
คำสั่งเสียฉบับนี้สามารถพูดได้ว่าค่อนข้างไม่สมเหตุสมผล ล้วนกล่าวกันว่าโอรสวรรค์รับโทษเท่าเทียมกับปวงประชา พระพันปีกลับบอกว่า ขอเพียงแค่ซูเซียงไม่สมคบศัตรูก่อกบฏ ก็ไม่อนุญาตให้ใครคุกคามชีวิตนาง นี่เป็นการลำเอียงปกป้องกันอย่างชัดเจน
แต่นั่นแล้วอย่างไร? ผู้อื่นเป็นพระพันปี ซูเซียงเป็นทั้งผู้มีคุณูปการต่อบ้านเมือง เป็นคนดีมีคุณธรรม ยามปกติช่วยชีวิตคนตั้งมากมาย ต่อให้มีความผิดใหญ่โต ก็เอามาหักลบกันได้แค่คนสองคน
อีกอย่าง ทุกคนต่างรู้สึกว่าด้วยสติสัมปชัญญะของซูเซียง อย่าว่าแต่สมคบคิดศัตรูเลย ให้วางแผนทำร้ายสังหารคนหนึ่งคนนางก็ยังไม่ยินยอม
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งเสียอีกหนึ่งประการคือหลังนางสวรรคตแล้ว ป้ายวิญญาณของนางให้จ้าวเซิงเป็นคนถือ โลงศพของนางให้ซูเซียงมาประคอง รัชทายาทกับจักรพรรดิห้ามสอดมือแม้แต่ปลายนิ้ว มิเช่นนั้นวิญญาณหลังความตายของนางจะไม่สงบ!
ถ้าบอกว่าคำสั่งเสียก่อนหน้านั้นทำให้ทุกคนขบคิดอยู่ในใจ เช่นนั้นเมื่อประการสุดท้ายนี้ออกมา ราชสำนักและราษฎรก็ตื่นตะลึงแล้ว
มีที่ไหนลูกชายแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ให้สตรีคนหนึ่งมาช่วยประคองโลงศพให้นาง?
อีกอย่าง การถือป้ายวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของจักรพรรดิ และต่อให้จักรพรรดิผู้มีฐานะเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมีข้อห้ามเหล่านี้ เช่นนั้นก็ควรให้รัชทายาทมาถือ ไฉนตกไปถึงมือหลานชายที่บัดนี้มีตำแหน่งเหลือแค่จวิ้นอ๋อง?
หลายปีนี้ โดยเฉพาะช่วงหลายวันมานี้ ไม่ว่าเป็นราชสำนักหรือชาวบ้านสามัญชน ล้วนมีคำวิจารณ์ต่อทุกการกระทำของจักรพรรดิกับรัชทายาทมากทีเดียว
รัชทายาทยังดีหน่อย ผู้คนเพียงบอกว่าเขากตัญญูอย่างโง่เขลา ไม่แยกแยะถูกผิด อย่างไรเสียมีหลายเรื่องที่เขามิได้เป็นคนกระทำ
แม้เรื่องของซูย่วนเสี้ยนจู่นั้นเล่าลือไปถึงราษฏรแล้ว แต่ทุกคนเพียงถือเป็นเรื่องขำขันฟังจบก็แล้วกันไป คิดว่าคนเป็นพี่ชายผู้นี้ห่วงใยน้องชาย แม้วิธีการไม่ถูกต้อง แต่ก็รักน้องชายจากใจจริง
ดังนั้นแม้รัชทายาทยังคงมีข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ อยู่มาก แต่ด้วยพลังพี่น้องเคารพปรองดอง ทุกคนจึงยกโทษให้เขาไปสามส่วน พุ่งเป้าวิจารณ์แค่จักรพรรดิ
พระพันปีสิ้นพระชนม์แล้ว แม้กระทั่งป้ายวิญญาณรัชทายาทยังไม่ได้ถือ โลงศพก็ยังไม่ได้ประคอง เขาจึงค่อยตระหนักได้ว่าบางทีตนอาจทำผิดพลาดลงไปตรงไหนแล้วจริงๆ ?
ถ้าไม่ใช่แบบนี้ เหตุใดแม้แต่หลานชายคนนี้เสด็จย่ายังไม่อยากยอมรับเล่า?!
แม้แต่ไรมาเสด็จย่าค่อนข้างดุ พูดจาก็ไม่ค่อยน่าฟังอยู่บ้าง แต่ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดียิ่ง ถ้าต้องลำเอียง เสด็จย่าก็ควรช่วยเขาซึ่งเป็นหลานชายคนโตก่อนสิ ทำไมไม่ว่าเรื่องใดก็เอาแต่ปกป้องจ้าวเซิงกับคนชั่วคนนั้นเล่า?
ต้องเป็นเพราะตัวเองทำผิดตรงไหนแน่ เป็นเช่นนี้แน่…
ตอนที่ 890 อย่างไรถึงจะเรียกว่าหน้าไม่อาย
เพราะมีคำสั่งเสียของพระพันปี กอรปกับกลุ่มอำนาจของพระพันปีเหล่านั้นแน่วแน่ไม่ยอมให้ฮ่องเต้กับรัชทายาทเข้าโถงเซ่นไหว้ ต่อให้พวกเขาคุกเข่าอยู่ตรงนอกประตูก็ยังถูกไล่ออกไป
รัชทายาททำได้เพียงสวมชุดไว้ทุกข์ นั่งราบอยู่กลางตำหนักบูรพาของตัวเอง คิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ
แต่จักรพรรดิมิได้คิดเช่นนี้น่ะสิ เขาคิดว่าเป็นเพราะซูเซียงทำให้พระชนนีสิ้นพระชนม์ ยังทำให้เขาผู้เป็นจักรพรรดิแบกชื่อว่าอกตัญญูไว้บนหลัง คงต้องให้บทเรียนนางสักหน่อยแล้ว ในเมื่อฆ่าไม่ได้ เช่นนั้นขังนางไว้วังหลวงตลอดชีวิตก็ได้
ขอเพียงอยู่ใต้หนังตาของตน หึหึ!
ดังนั้นจึงอาศัยช่วงเวลาที่กำลังเฝ้าพระศพของพระพันปี ฮ่องเต้ถึงกับมีราชโองการแต่งตั้งซูเซียงเป็นนางกำนัลผู้ช่วยห้องเครื่องขั้นสอง หลังจัดการงานส่งวิญญาณพระพันปีเสร็จสิ้นแล้วให้รับตำแหน่งในห้องเครื่องทันที
พูดให้น่าฟังก็คือเป็นนางข้าหลวงขั้นสองคนหนึ่ง พูดตามจริงแล้วก็คือเป็นแม่ครัว อีกทั้งมีกฎบัญญัติไว้ว่านางกำนัลไม่สามารถแต่งงานกับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ได้
ตอนขันทีอ่านราชโองการจบแล้วมองซูเซียงด้วยรอยยิ้มเยาะเหยียด ซูเซียงกลับลุกขึ้นจากพื้น เหมือนดั่งเบญจมาศฤดูสารทที่ยืนตระหง่านทระนงท่ามกลางลมใบไม้ร่วง เปิดปากเอ่ยอย่างเรียบเฉย “รบกวนกงกงกลับไปกราบทูลฝ่าบาท ราชโองการฉบับนี้ข้าหญิงชาวบ้านกับสามีไม่อาจรับไว้ ขอฝ่าบาททรงถอนราชโองการ”
กงกงคนนั้นไหนเลยจะคาดคิดว่าซูเซียงกำเริบเสิบสานเช่นนี้ กล่าวตำหนิเสียงแหลม “นางหญิงป่าเถื่อน บังอาจไม่รับราชโองการ วันนี้ข้าจะต้องเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”
ขันทีท่านนี้ได้รับบัญชาจากองค์จักรพรรดิ วันนี้ถ้าซูเซียงไม่รับราชโองการอยู่ในวังหลวงอย่างโดดเดี่ยวจนแก่ตาย ก็ต้องตาย ณ ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ทั้งชีวิตของนางก็อย่าคิดออกจากวังหลวง อย่าคิดแย่งชิงความดีความชอบกับตน ฮ่าฮ่า!
ก่อนหน้านี้น่ะหรือ เขายังหวาดกลัวซูเซียงอยู่สามส่วน ทว่าตอนส่งพระศพของพระพันปีเขาแอบส่งคนลักลอบเข้าไปในตำหนักบรรทมของพระพันปี อย่างที่คิด ใต้ไม้กระดานแผ่นหนึ่งปรากฎตรามังกรวางอยู่
ตรามังกรของเสด็จพ่ออยู่ในมือเขาแล้ว พระพันปีสวรรคตแล้ว ซูเซียงยังจะมีภูผาที่ไหนให้พึ่งพิง แน่นอนว่าแผ่นฟ้ากว้างพสุธาใหญ่ เขาผู้เป็นจักรพรรดิยิ่งใหญ่ที่สุด!
“กงกง เป็นเช่นนี้ ราชโองการนั้นจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงของเรามิอาจรับไว้ได้แน่นอน เชิญท่านถอยกลับไปและแถลงไขต่อฝ่าบาท” เวลานี้นางกำนัลรับใช้ข้างกายพระพันปีลุกออกมา
“บ่าวชราท่านรีบถอยเสียดีกว่า หรือไม่ก็เกลี้ยกล่อมคนชั่วผู้นี้ให้รีบรับราชโองการ ข้าเองจะได้กลับไปกราบทูลรายงานจักรพรรรดิโดยดี” กงกงคนนั้นยามพูดจาคิ้วกระตุก ตากะพริบ แค่เห็นก็รู้ว่ามิใช่ของดีอะไร
ล้วนกล่าวว่าบ่าวทาสนิสัยอย่างไรเจ้านายก็นิสัยอย่างนั้น บัดนี้ซูเซียงนับว่าเข้าใจแล้ว
เดิมทีในใจมากน้อยก็ยังโอบอุ้มความหวังไว้เส้นหนึ่ง คนเป็นพ่อแม่ต่อให้ผิดอย่างไร ทำเกินไปอย่างไร อย่างน้อยก็คงนึกถึงใจสามีนางที่เป็นลูกชายบ้างกระมัง? แต่ไหนจะคาดคิด เหอะๆ ผู้อื่นเห็นเจ้าเป็นแค่เครื่องมือทำสงครามเท่านั้น ถ้าเจ้าสู้รบไม่ได้ จะนับเป็นเงินสตางค์เดียวก็ยังไม่ใช่!
ซูเซียงยังคงเอ่ยประโยคนี้อย่างเรียบเอื่อย “เชิญกงกงกลับไปรายงานฝ่าพระบาท ราชโองการนี้ข้าหญิงสามัญชนไม่อาจรับ อีกอย่าง เรียนกงกงกลับไปเชิญหมัวมัวผู้อบรมมาสอนสั่งร่ำเรียนกฎระเบียบให้ดีอีกหน หญิงสามัญชน แม้เรียกตัวเองว่าว่าหญิงสามัญชน ทว่าบนตัวอย่างไรก็มียศเป็นเก้ามิ่ง กงกง ท่านเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง มิใช่คนที่พออ้าปากแล้วจะเรียกข้าว่าหญิงชั่วร้ายป่าเถื่อนได้ เช่นนี้จะแลดูเหมือนท่านกับเจ้าบ้านของท่านไม่ได้รับการสั่งสอน!”
เดิมกงกงได้รับบัญชาของจักรพรรดิก็ไม่เกรงกลัวถือว่ามีคนหนุนหลัง บัดนี้เห็นซูเซียงยังจองหองถึงเพียงนี้ ด่าว่าเขากับเจ้านายบ้านตนไม่ได้รับการสั่งสอน ตัวเขานั้นยังแล้วไป แต่นี่มิใช่กำลังด่าว่าจักพรรดิไม่ได้รับการสั่งสอนหรอกหรือ นี่พระพันปีเพิ่งลาโลกไปเชียวนะ
กงกงหมดทำอะไรไม่ได้อย่างแท้จริง ราชโองการก็ไม่อาจโยนทิ้งไว้บนพื้น จำต้องหิ้วศีรษะกลับไปรายงานองค์จักรพรรดิ
ฮ่องเต้แม้ทรงกริ้ว สั่งโบยเขาไปหนึ่งยก แต่ยังคงให้เขาดำเนินการต่อไป ให้เขาเร่งออกจากวังไปตามหาคน ถือโอกาสที่ลูกทรพีจ้าวเซิงยังจัดการธุระอยู่ข้างนอกไม่รู้เรื่องรู้ราว จับคนในครอบครัวซูเซียงมาฆ่าให้หมดแล้วโยนเข้าป่าลึกไปเป็นอาหารหมาป่า หรือไม่ก็ตั้งหม้อต้มเป็นอาหารสุนัข
ทางหนึ่งจักรพรรดิส่งคนไปจัดการเรื่อง ทางหนึ่งก็ให้คนเข้ามาขู่เตือนซูเซียงว่าทางที่ดีที่สุดอย่าทำลายวันครบรอบของพระพันปี มิเช่นนั้นนางจะได้เป็นคนบาปแห่งยุค ต้องถูกประหารเก้าชั่วคน