เพราะเป็นเทพมังกรเลยไม่มีระบบพิเศษเหมือนเขาอ่ะ! - ตอนที่ 37 โชคชะตา
บทที่ 37 – โชคชะตา
เช้าวันรุ่งขึ้นในวันที่ 26 มกรา คางาริตื่นนอนในสภาพที่นอนอยู่บนพื้น แถมของตกเต็มห้อง แต่ว่าห้องคางาริมันรกแต่แรกอยู่แล้วเลยดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของเขากับเรนะ ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าตื่นสาย คางาริก็แทบจะผุดลุกขึ้นมาแล้วก็รีบทำธุระก่อนออกจากบ้านเลยทันที
เขารีบเดินทางไปยังสถานที่ที่นัดกับแฟนสาวเอาไว้…. เพราะว่าที่ทำงานที่แฟนสาวคางาริได้ทำงานอยู่ห่างกันพอสมควร
เลยต้องใช้รถไฟในการเดินทางนิดหน่อย.. ก่อนจะเดินทางมาถึงปลายทางและลงจากรถไฟกำลังเดินไปยังที่นัดพบกับแฟนสาว
แต่ในระหว่างที่ผู้คนกำลังทำหน้าที่ประจำวันในแบบของตัวเองอยู่นั้น เหนือน่านฟ้าที่สูงเหนือก้อนเมฆนั้นมีการปะทะกันที่รุนแรงเกิดขึ้นอยู่
ทุกครั้งที่มิวหวดดาบออกไปลมหายใจมังกรที่เคลือบไว้บนดาบนั้นสามารถตัดได้แม้แต่ร่างของอีกฝ่ายสามารถสร้างแผลให้กับศัตรูได้
นับตั้งแต่ต่อสู้กันมา มิวก็เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับการต่อสู้ตลอด และมิวก็ได้รับรู้ถึงจุดอ่อนของอีกฝ่าย
ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าจุดอ่อนต้องบอกว่าเป็นจุดอ่อนของงทุกอย่างเลยมากกว่า นั่นคือมันไม่สามารถรับการโจมตีจากลมหายใจมังกรเข้าไปตรงๆ ได้
จริงๆ ก็ตั้งแต่เริ่มสู้แล้วที่เจ้านี่จะเลือกหลบลมหายใจมังกร แต่พอเป็นดาบหรือหมัดมันแทบจะไม่หลบเพื่อแลกหมัดกับมิวเลย
แต่เมื่อมิวพ่นลมหายใจออกจากปากมันก็จะหลบให้ได้ มิวจึงเดาว่าขอแค่มันโดนลมหายใจมังกรมันก็น่าจะบาดเจ็บเหมือนกัน
ต่อให้เป็นผู้คุมเวลาก็ตามที.. แต่ว่าถ้าจะให้มิวพ่นลมหายใจมังกรออกมาต่อเนื่องไม่หยุด ต่อให้เป็นเทพมังกรก็คงไม่ไหวแม้จะควบคุมปริมาณมันได้แล้วก็ตามที
เพื่อตอบสนองต่อการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมิวจึงเติบโตเรียนรู้ และได้วิธีใหม่ในการต่อสู้นั่นก็คือเคลือบดาบด้วยลมหายใจมังกร
แทนที่จะบอกว่าลมหายใจมังกร.. สถานะของมันเป็นพลังงานบางอย่างเหมือนที่กล่าวไปตอนแรกนั่นแหละ
ดังนั้นสิ่งที่มิวทำคือการเคลือบดาบด้วยพลังงานที่ว่า.. แถมเดิมทีดาบเล่มนี้ก็ฟันอีกฝ่ายได้แต่แรกอยู่แล้ว เมื่อผสมกับพลังงานลึกลับที่ปล่อยลมหายใจมังกร
ยิ่งทำให้ดาบนั้นทรงพลังมากขึ้น.. แถมไอ้ท่าทางที่เหมือนไม่แยแสของอีกฝ่ายนั้นทำให้มิวสามารถตอบโต้ได้
จะว่าไงดี เหมือนเจ้ายมทูตคุมเวลานี่มันทำเหมือนโกรธอยู่ตลอดเวลางั้นแหละ.. เพราะแบบนั้นมิวจึงสามารถสร้างสถานการณ์นี้ได้
แม้ตัวมันน่าจะแข็งแกร่งกว่ามิวก็ตาม..
สถานการณ์ที่เคียวของมันถูกปัดจนปลิวกระเด็นไปไกล และแขนขาของมันถูกจับให้หยุดนิ่ง แน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์เพียงเสี้ยววินาที
หากมิวพลาดไปละก็ อีกไม่ถึงเสี้ยววิข้างหน้ามันก็คงกลับมาได้แล้ว.. แต่ว่ามิวไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่
เธอก้าวขาออกไปก่อนจะตวัดดาบเป็นแนวทแยงตั้งแต่หัวไหล่จนไปถึงเอวของมัน แน่นอนว่าถูกฉีกขาดออกทันที
ร่างของมันถูกแยกออกเป็นสองส่วน แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดการโจมตีมัน.. เพราะคลื่นพลังงานลึกลับยังคงพุ่งกระแทกเข้าที่อกของมิว
มิวพ่นเลือดสีแดงออกจากปาก แต่เธอฉีกยิ้มอย่างพอใจ
“ขอบคุณที่ช่วย”
มิวพูดออกมา.. พร้อมกับอาศัยแรงผลักนั้นดีดตัวออกห่างจากร่างของยมทูต แน่นอนว่าเพราะนี่เป็นกลางอากาศการที่มิวจะดีดตัวต้องใช้เท้าเหยียบร่างอีกฝ่ายพร้อมพุ่งดิ่งลงพื้นด้วยความเร็วสูง
มิวกลายเป็นลำแสงหนึ่งพุ่งดิ่งลงจากฟากฟ้า ดวงตาของเธอกวาไปทั่วเมือง.. แม้จะใช้เวลานานไปหน่อยในการลากอีกฝ่ายมาที่นี่ได้
แต่ก็น่าจะพอทันสิ.. มิวกวาดสายตาไปรอบๆ เวลาในตอนนี้น่าจะประมาณ 8 โมงเช้าเห็นจะได้.. น่าจะยังเหลือเวลาอีกนิดเพราะมิวออกจากห้องมาตอนเวลา 8 โมง
สายตาของมิวกวาดไปทั่วเมืองพร้อมใช้อาณาเขตจิตมังกรกวาดไปทั่วโตเกียว แต่เพราะที่นี่มีประชากรเยอะมากเกินไปทำให้สัมผัสจิตมิวสัมผัสได้ทุกจิตของทุกชีวิต
ความเจ็บปวดที่หัวก็พุ่งพรวดขึ้นมา.. ทว่ามิวไม่คิดจะถอดอาณาเขตจิตมังกร เธอเพ่งหาตัวเอง.. เพ่งหาคางาริ..
ทว่า
“นี่เป็นโชคชะตา”
เสียงนุ่มลึกกล่าวขึ้น ด้านข้างมิวที่ไม่มีอะไรเงาของยมทูตสีดำที่ควรจะถูกตัดขาดเป็นสองส่วนก็โผล่ขึ้นแบบไม่มีปี่หรือขลุ่ย
มิวถึงกับเหงื่อตก.. เจ้าบ้านี่มันเป็นแมลงสาบหรือไง.. ทว่าเท้าเข้ามันเหยียบเข้าที่เอวของมิวอย่างรุนแรงจนร่างเธอประเด็นเพราะแรงปะทะ
ร่างของมิวพุ่งทะลุตึกสูงราวกับกระสุนปืนใหญ่ สร้างความตื่นตระหนกต่อผู้คนจำนวนมาก ร่างของมิวทะลุผ่านตึกไปเหมือนกับฉากในหนัง
เธอกระอักเลือดออกมาคำโต เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ายมทูตสีดำมันโผล่ขึ้นเหนือหัวเธออีกครั้งพร้อมกับเหยียบมาที่ท้องของมิวอย่างโหดเหี้ยม
ทว่ามิวเองก็ไม่ได้นอนรอให้ถูกโจมตี เธอบิดหมุนตัวกลางอากาศทำให้หลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด
ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังเตะเท้าขึ้นไปอัดใส่หน้าของอีกฝ่ายได้ทันท่วงที และอาศัยจังหวะนี้ถอยตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว
เพราะมิวไม่รู้เวลาตอนนี้แบบชัดเจนเธอไม่สามารถเสียเวลาได้มากนัก..
อย่างไรก็ตามเจ้ายมทูตสีดำนั่นก็ไม่ต่างจากแมลงสาบมากจริงๆ นัก เพราะมันจับขามิวในจังหวะที่เธอถอยห่าง
ราวกับปรสิตที่ไม่ยอมปล่อยให้มิวไป แน่นอนว่ามิวเองก็เริ่มร้อนรนขึ้นแล้ว เพราะเจ้าบ้านี่มันฆ่าก็ไม่ตายหลบหนีก็ไม่พ้น
แถมเวลาก็กระชั้นชิดขึ้นมาอีกด้วย… ทุกอย่างมันกำลังบีบคุ้นให้มิวแพ้พ่าย แต่เธอกัดฟันกรอด
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย พยายามมาถึงขั้นนี้แล้ว”
มิวตะโกนออกมาพร้อมกับคำรามลั่น แสงสว่างจากทั่วร่างของเธอก็ประกายออกมา.. นี่คือทักษะที่มิวพึ่งคิดออก
นั่นก็คือระเบิดพลังงานแบบเดียวกับลมหายใจมังกรออกมาจากทั่วทั้งร่าง.. อย่างที่บอกว่ามังกรนั้นใช้พลังงานนี้ในการหล่อเลี้ยงเหมือนที่มนุษย์ต้องการออกซิเจนหล่อเลี้ยงเลือด
ซึ่งนั่นหมายความว่าพลังงานนี้แทรกอยู่ในทุกอณูของผิวหนัง กล้ามเนื้อ.. จะพูดให้ถูกคือแทรกซึมอยู่ในโมเลกุล..หรือจะลึกกว่านั้นมันก็แทรกอยู่ภายในอะตอม
มันเล็กยิ่งกว่าอะตอม.. มันลึกลงไปลึกลงไป..
จะพูดให้ชัดเจนแบบเห็นภาพชัดๆ เลยมันคือพลังงานรูปแบบหนึ่งที่มาจากสนามควอนตัมหรืออาจจะเป็นพลังในรูปแบบหนึ่งที่อยู่เคียงคู่กับควอนตัมเลยมากกว่า
และเมื่อมิวระเบิดมันออกมา.. ร่างกายของเธอก็เปล่งแสง.. ก่อนจะแตกออกกลายเป็นเหมือนบอลแสงขนาดใหญ่
“นี่เจ้าอยากตายหรือไง”
เสียงปริศนาดังขึ้นในโสตประสาทของมิว ก่อนที่ดาบในมือของมิวจะเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเองแล้วก็ฟันไปที่มิว
วินาทีนั้นแสงทั้งหมดก็สลายหายไป แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะเจ้ายมทูตสีดำนั้นถูกลบหายไปภายใต้แสงแล้ว
มิวที่ได้สติกลับมาเธอไม่สนใจเสียงปริศนาพยายามจะเคลื่อนไหวไปข้างหน้า.. แต่ทว่าร่างกายเธอในตอนนี้กลับไร้ซึ่งพลังใดๆ เลย
ไม่สิ..
เธอในตอนนี้สัมผัสถึงพลังอะไรไม่ได้เลย..
“ข้าได้ตัดตัวตนของเจ้าออกจากนิยามของ ‘เทพมังกร’ ไม่เช่นนั้นตัวเจ้าในตอนนี้ต้องตายแน่ๆ”
“หากเจ้าตายไป.. ทำไมถึงไม่รู้ว่าทุกอย่างจะไม่จุติ.. เจ้าคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง จุดเริ่มต้นของบ่วงโซ่แห่งกรรมที่ไม่สิ้นสุดนี้”
“ทุกอย่างต้องดำเนินไป.. ทุกอย่างควรจะเป็นอย่างที่จะเป็น”
“จะโกรธข้าก็เชิญเลย.. หากนี่ทำให้เจ้าได้..…..”
เสียงปริศนานั้นดูเจ็บปวดเหลือเกิน มิวไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเธอพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน.. แรกเริ่มเดิมทีมิวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคือใคร
แถมสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมิวก็แทบจะไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่เธอทราบนั้น… คือ
ตอนนี้มิวนั้นไม่ต่างจาก..คนธรรมดาเลย เพราะตัวตนของเธอถูกแยกออกจากเทพมังกร.. หากพูดง่ายกว่านี้ก็คือเธอในตอนนี้ไม่ใช่เทพมังกรที่ชื่อ ‘มิว’
แต่เป็นคนธรรมดาที่ชื่อ ‘คางาริ’ ต่างหาก…
และแน่นอนว่าเมื่อมิวไร้ซึ่งพลังแล้ว..ร่างกายของเธอก็ค่อยๆ ร่วงลงบนพื้นราวกับดาวตก..
“ไม่สิ.. ฉันยังตายไม่ได้.. ฉันต้องไปช่วยให้ตัวเอง.. ให้คางาริไม่ตาย ไม่งั้นทุกอย่างมันจะไร้ความหมาย ที่ฉันทำมาทั้งหมดมันจะไร้ความหมาย”
“ฉันไม่อยากเห็นยัยนั่นทำสีหน้าแบบนั้น.. ฉันไม่อยากเห็นทำสีหน้าแบบนั้นเข้าใจไหม.. เพราะงั้นได้โปรดเถอะ.. ได้โปรดเอาพลังคืนมาให้ฉันเถอะ..”
มิวที่ตอนแรกคิดว่าพลังที่ได้มาเพราะความบังเอิญนี้มันทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนผันไป.. แต่คราวนี้เป็นคราวที่เธอต้องร้องขอพลัง
เสียงนั้นเมื่อได้ยินเสียงอ้อนวอนของมิวเธอก็เงียบปากลง..
“ข้าขอโทษ.. ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถดึงเอานิยามกลับมาได้ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้สูญเปล่าหรอก”
“และการที่ยัยนั่น.. การที่นาง.. การที่แฟนของเธอต้องทำสีหน้าแบบนั้น”
“มันเป็นเรื่องสมควรสำหรับชีวิตที่ไร้ค่าแบบหล่อนแล้ว”
มิวขมวดคิ้วกับพูดของเสียงปริศนา เพราะว่าการที่มีคนมาว่าแฟนของเธอ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะรู้สึกไม่ชอบ
แต่ว่าเสียงปริศนายังคงกล่าวต่อไปว่า..
“และไม่ต้องห่วง.. เจ้าจะไม่ตายหรอก”
“คนที่จะช่วยเจ้าไว้—”
“ก็คือตัวเจ้าเอง”
ร่างของมิวที่ร่วงดิ่งลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงนั้นก็ร่วงลงไป…ทับใส่คางาริที่วิ่งผ่านมาทางนี้พอดี—
และแน่นอนว่าผลลัพธ์ก็คือคนที่ตายไม่ใช่มิวที่ร่วงลงมาจากด้านบน
แต่เป็นคางาริที่รับน้ำหนักและแรงที่มิวตกลงมา