เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา - ตอนที่ 161 สะเทือนท้องพระโรง (4)/ตอนที่ 162 เฟิงเทียนอวี้กระอักเลือด (1)
- Home
- เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา
- ตอนที่ 161 สะเทือนท้องพระโรง (4)/ตอนที่ 162 เฟิงเทียนอวี้กระอักเลือด (1)
ตอนที่ 161 สะเทือนท้องพระโรง (4)
หลิ่วอวี้เฉินเป็นชายชาตรี แต่กลับให้ผู้หญิงคนนึงรับโทษแทนเขาจริงหรือ?
เขามีสิทธิ์อะไร?
“เสนาบดีหลิ่ว!” ถานหลินโมโหจนถึงขั้นสุด “ท่านควรจะอธิบายกับข้าหรือไม่?”
เสนาบดีหลิ่วยักไหล่ เอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านก็ได้ยินที่องค์หญิงรับสั่งแล้วนี่ ถานซวงซวงเต็มใจเอง ข้าเองก็จนปัญญา”
“ท่าน…” ถานหลินโกรธตัวสั่นไปทั้งร่าง ชี้หน้าเสนาบดีหลิ่วด้วยความโกรธแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เฟิงหรูชิงเท้าคางไว้ด้านหนึ่ง เหล่ตามองถานหลิน “พวกท่านมีบัญชีอะไร อีกเดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้ถึงทีข้าถามคำถามแล้ว”
“อะไร?” ถานหลินนิ่งงัน ไม่เข้าใจที่เฟิงหรูชิงกล่าวนั้นหมายความว่าอย่างไร
เฟิงหรูชิงนั่งตัวตรง ยกยิ้มที่ริมฝีปาก “ถานไท่ฟู่ วันนี้ท่านออกจากบ้าน…นำยามาด้วยหรือไม่?”
ใจของถานหลิงยังมีไฟโทสะอยู่ “องค์หญิงมีอะไรก็รับสั่งมาตรงๆ อย่าได้อ้อมค้อม”
“อ้อ ก็ไม่มีอะไร ถ้าท่านไม่ได้นำยามา ข้าจะให้หมอหลวงไปเตรียมยาไว้ อีกเดี๋ยวหากพวกถังจือ
หนักมือไป โบยท่านจนตายจะไม่ดี อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นท้องพระโรง ข้าไม่อยากให้เลือดนองท้องพระโรง ไม่อยากให้เสด็จพ่อต้องถูกผู้คนนินทา”
“…”
ใบหน้าสูงวัยของถานหลินโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเก่า หรือว่าองค์หญิง จะกล้าลงมือกับเขาต่อหน้าทุกคนจริงๆ ?
เฟิงหรูชิงหันหน้าไปส่งสายตาให้ถังจือ “ยังไม่ลากเขาออกไปอีกโบยให้ถึงตาย! แน่นอน เจ้าก็อย่าตีเขาจนตายจริงๆ ล่ะ ตีให้สาหัสหรือพิการก็ไม่เป็นไร หากตายไป…จะส่งผลกระทบเสียหายต่อเสด็จพ่อของข้าไม่ดีแน่”
“ค่ะ นายท่าน”
ถังจือแย้มยิ้ม
ตอนที่น่าหลานฮองเฮายังอยู่ นางเห็นบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๊นพวกนี้ก็รู้สึกขัดตาอยู่แล้ว อันตรายทั้งหลายแหล่ก็ให้พวกนางแบกรับ คนชั่วพวกนี้ไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง ทำได้แค่หลับหูหลับตาชี้ไม้ชี้มืออยู่ด้านหลัง แล้วยังให้ฝ่าบาทรับสนมอื่นอีกหลายครั้ง
หากมิใช่เพราะฝ่าบาทมีรักมั่นคงต่อน่าหลานฮองเฮา แบกรับแรงกดดันทั้งหมดไว้ ป่านนี้องค์หญิงคงมีน้องชายน้องสาวออกมานับไม่ถ้วน
ตอนนี้ด้วยรับสั่งขององค์หญิง ใจของนางยินดีเป็นพิเศษ ในที่สุดก็สามารถนำเอาความคับแค้นในอดีตระบายออกมาให้หมดเสียที
“องค์หญิง ท่านคิดจะทำอะไร พวกเจ้าปล่อยข้า!” แขนสองข้างของถานหลินถูกยึดไว้ แล้วลากออกไปนอกท้องพระโรง เขายังหันหน้ากลับมา เอ่ยตะโกนด้วยความคับแค้น “ฝ่าบาท พระองค์จะปล่อยให้องค์หญิงทำเช่นนี้มิได้ กระหม่อมไม่มีความดีความชอบแต่ก็ทำงานอย่างหนัก พระองค์จะทำเช่นนี้กับกระหม่อมมิได้!”
ขุนนางฝ่ายบุ๊น อยู่ในท้องพระโรงจนเคยชินเสียนิสัย ถึงจะมีพละกำลังความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็เพราะไม่ได้ฝึกฝนมาเป็นเวลานานหลายปีจึงได้กลายเป็นอ่อนแอเหลือกำลัง จะทนต่อแรงปะทะได้อย่างไร?
วิธีการของพวกคนกองทัพเลือดเหล็กเขารู้ดี แม้ไม่ตายแต่ก็ต้องทำให้เขาเจ็บปวดไปอีกหลายเดือน
เฟิงหรูชิงไม่แม้แต่จะมองถานหลิน สายตาเหล่มองขุนนางคนอื่นๆ ในท้องพระโรง
“เมื่อครู่ดูเหมือนข้าจะได้ยินว่า พวกท่านอยากจะลาออกกลับบ้านเกิด? ในเมื่อพวกท่านคิดถึงบ้านเกิด เช่นนั้นเสด็จพ่อก็จะไม่บังคับฝืนใจผู้ใดเพื่อมิให้เป็นการขัดต่อมนุษยธรรม ใครอยากลาออกก็พูดออกมา ข้าจะจัดการให้พวกท่านเอง อนุญาตให้พวกท่านได้กลับบ้านเกิด!”
สีหน้าของเหล่าขุนนางตื่นตะลึงกันเป็นแถบ
พวกเขาเพียงแค่ข่มขู่ฝ่าบาทเท่านั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ขึ้นมาเป็นขุนนาง ใครจะพูดว่าลาออกก็ลาออกกันง่ายๆ เล่า?
“องค์หญิง เมื่อครู่พวกกระหม่อม…ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ใช่แล้วก็แค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อครู่ขุนนางฝ่ายบุ๊นที่ร้องตะโกนเสียงดังที่สุดกับถานหลินยิ้มแห้งๆ เอ่ยขึ้น
เฟิงหรูชิงส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกท่านอยากกลับไป ข้าย่อมมิอาจรั้งท่านไว้ อย่างไรคนมีความสามารถในแคว้นหลิวอวิ๋นก็มีอยู่มิใช่น้อย อย่างมากก็แค่ลำบากท่านลุงของข้าหน่อย ให้ช่วยเสด็จพ่อเลือกคนเข้ามาใหม่”
“ไม่ไม่ไม่ องค์หญิง ไม่จำเป็นต้องรบกวนแม่ทัพน่าหลานเลย แม่ทัพน่าหลานมีเรื่องยุ่งมากมายหลายเรื่อง เรื่องเล็กเช่นนี้จะไปรบกวนเขาได้อย่างไร?”
ขุนนางฝ่ายบุ๊นคนนั้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………
ตอนที่ 162 เฟิงเทียนอวี้กระอักเลือด (1)
“หลีซั่งซู ตอนนี้แคว้นหลิวอวิ๋นไม่มีศึกสงคราม ข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ยุ่ง อีกอย่างต่อให้ต้องเคลื่อนทัพออกรบจริงข้าก็สามารถให้จิ้งเอ๋อร์ไปแทนข้าได้ ดังนั้น…ข้ามีเวลามากมายในการคัดเลือกผู้มีความสามารถ”
แม่ทัพน่าหลานยิ้มเย็น
เมื่อครู่พวกเจ้ายังอวดเก่งตะโกนบีบบับคับฝ่าบาทอยู่เลยเป็นอะไรไป? ตอนนี้พอเห็นถานหลินถูกลากออกไป แต่ละคนก็ขวัญเสียเสียแล้ว? หากมีปณิธานแรงกล้าจริงลาออกไปตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือไม่มีใครรั้งพวกเจ้าไว้นี่
หลีซั่งซูหน้าแข็งทื่อเกือบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่มุมปากกระตุกหลายครั้ง
จนถึงตอนนี้บรรดาขุนนางทั้งหลายถึงได้รู้แล้วว่า เฟิงหรูชิงคนนี้…ไม่ใช่องค์หญิงถุงฟาง[1]คนเดิมอีกแล้ว!
“ฝ่าบาท” หลีซั่งซูหันกลับไปคุกเข่าลง เขาร้องไห้น้ำตานองโศกเศร้าเสียใจเต็มที
“เป็นเพราะถานหลินบีบบังคับกระหม่อม ให้กระหม่อมช่วยเขาในท้องพระโรง กระหม่อมไม่กล้าต่อต้านไท่ฟู่ ขอฝ่าบาทอภัยให้กระหม่อมด้วย”
เฟิงเทียนอวี้ลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร เหมือนมีไฟกำลังแผดเผาอยู่ในอกของเขา เจ็บปวดจนทรมาน
“เจ้าไม่กล้าต่อต้านถานหลิน แต่กลับกล้าบีบบังคับข้า!” ริมฝีปากของเขาฉีกยิ้มเย็น “ออกประกาศคำสั่งข้า ถานหลินให้ร้ายองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลและยังนำคนก่อกบฏ นำตัวเขาไปขังคุกค่อยสอบสวนวันหลัง”
“…”
ก่อกบฏ?
บรรดาขุนนางตะลึงงัน ตาโตอ้าปากค้าง
ถานหลินแค่เพียงต้องการให้ฝ่าบาทลงโทษองค์หญิง เหตุใดจึงกลายเป็นก่อกบฏได้?
แต่ว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ครั้งนี้ตำแหน่งไท่ฟู่ของถานหลินเกรงว่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว…
“ส่วนคนอื่นๆ…” สายตานิ่งเรียบของเฟิงเทียนอวี้กวาดมองทุกคนในท้องพระโรง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน “ในเมื่อพวกท่านรู้สึกว่าขุนพลไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นพวกท่านก็ไปเฝ้าชายแดนครึ่งปี ครึ่งปีนี้ ตำแหน่งของพวกท่านเราจะหาคนมาแทนชั่วคราว รอพวกท่านกลับมาแล้วจะเข้ารับตำแหน่งต่อหรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของพวกท่าน ต่อจากนี้ตำแหน่งขุนนางทั้งหมดจะต้องเป็นผู้มีความสามารถเท่านั้น”
บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านี้สบายจนชิน อย่าว่าแต่ครึ่งปีเลย แค่เดือนเดียวก็เพียงพอให้พวกเขาอกแตกตายแล้ว
“ฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย”
ตึ่ง!
บรรดาขุนนางต่างพากันคุกเข่า น้ำตานองหน้า พวกเขาละทิ้งชีวิตสุขสบายกินอิ่มนอนหลับในเมืองหลวง ไปเฝ้าที่กันดารแห้งแล้งเช่นนั้นไม่ได้
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เต็มใจ เช่นนั้นออกประกาศคำสั่งข้า นำตัวคนเหล่านี้ไปขังคุกแล้วค่อยจัดการในหลัง!”
เฟิงเทียนอวี้โบกมือ อวิ๋นชิงเฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“…กระหม่อม…น้อมรับบัญชาฝ่าบาท ไปยังชายแดน…”
เช่นนี้แล้วตำแหน่งของพวกเขาจึงจะยังรักษาไว้ได้ หากถูกขังคุกตำแหน่งขุนนางนี้ต้องรักษาไว้ไม่ได้แน่…
“ในเมื่อพวกท่านรับข้อเสนอเราแล้วก็ไปได้”
แววตาเย็นยะเยือกของเฟิงเทียนอวี้มองไปยังเหล่าขุนนาง “แม่ทัพน่าหลานกับชิงเอ๋อร์อยู่ก่อน”
“รับด้วยเกล้า”
ขุนนางทั้งหลายออกจากท้องพระโรงด้วยความโศกเศร้า
คนที่ถูกถานหลินเกลี้ยกล่อม ความแค้นในใจยิ่งแรงกล้าอยากจะฉีกร่างเจ้าคนเลวถานหลินออกเป็นหมื่นชิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเขาคงไม่ต้องไปลำบากตรากตรำที่ชายแดน
“เสนาบดีหลิ่ว” นอกท้องพระโรง หลีซั่งซูมองใบหน้าแต้มรอยยิ้มของเสนาบดีหลิ่ว เข่นเขี้ยว เคี้ยวฟันถาม
“ปกติเห็นหลิ่วอวี้เฉินกับถานซวงซวงใกล้ชิดกัน นึกว่าความสัมพันธ์จะดี นึกไม่ถึงว่าหลิ่วอวี้เฉินนั่นจะเป็นเหมือนเจ้า ปอดแหกขี้ขลาด ชาติชั่ว!”
ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วเสนาบดีหลิ่วทำตัวไม่เกี่ยวข้อง ไม่อยู่ฝ่ายไหน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับโทษใดๆ ในตอนนี้ ดีร้ายอย่างไร ถานหลินก็เกือบจะดองกับครอบครัวเขาแล้ว…
…………………………………………
[1] ถุงฟาง ถุงที่ใส่ฟาง เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย