เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 100 แม้จะรู้อยู่เต็มอก ก็จะพูดอย่างเต็มปาก
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 100 แม้จะรู้อยู่เต็มอก ก็จะพูดอย่างเต็มปาก
บทที่ 100 แม้จะรู้อยู่เต็มอก ก็จะพูดอย่างเต็มปาก
บทที่ 100 แม้จะรู้อยู่เต็มอก ก็จะพูดอย่างเต็มปาก
หนานกงฉีซิวเห็นว่านางตื้นตันใจมากจนน้ำคลอ อีกทั้งสายตาที่นางมองเขาเหมือนเป็นที่พักพิง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้านุ่มนิ่ม นิ้วเรียวยาวขาวบริสุทธิ์ดุจหยกใสจึงยกขึ้นบีบมันอย่างแผ่วเบา
“ไปเถอะ วันนี้พี่ชายจะพาเจ้าออกไปเล่นข้างนอก”
นับตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ น้องสาวตัวน้อยของเขายังไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นทั่วเมืองหลวงเลยสักครา
สองพี่น้องมุ่งหน้าออกจากวังหลวง จุดหมายปลายทางแรกก็คือจวนจิ้นอ๋อง หลังจากนำข้าวของทั้งหมดที่พวกเขานำออกมาจากวังหลวงเข้าไปไว้ในจวนเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็นำผักส่วนหนึ่งไปที่จวนเซียวเหยาอ๋องซึ่งอยู่ติดกัน
องครักษ์เฝ้าประตูเห็นจิ้นอ๋องมา พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตุ๊กตาหน้าขาวแก้มแดงตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ เป็นผู้ใดโดยไม่ต้องคาดเดา
พวกเขารีบแสดงความเคารพและเชิญคนทั้งสองเข้าจวนอย่างรวดเร็ว
ณ จวนเซียวเหยาอ๋อง หนานกงหลีผู้ถูกบังคับให้เข้าประชุมขุนนางเพิ่งจะกลับมาก็เปิดปากหาวและเตรียมตัวกลับไปนอน
เสด็จพี่นะเสด็จพี่ บังคับให้ข้าเข้าประชุมขุนนาง นานขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่ยอมปล่อยข้าให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนไม่เห็นเสด็จพี่จู้จี้จุกจิกขนาดนี้เลย!
เสด็จพี่จะรู้หรือไม่ว่า มันทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะออกไปเที่ยวเล่น ชื่นชมหญิงงาม และรับฟังดนตรีให้สุขกายสบายอุราได้
ทันทีที่หนานกงหลีปีนขึ้นเตียงและกำลังจะโน้มตัวลงนอนก็มีคนมารายงานว่าจิ้นอ๋องมา
หนานกงหลี “ไปบอกให้เจ้าพวกบุตรชายอกตัญญูหนานกงเหิงและหนานกงเหยี่ยนไปต้อนรับเขาแทนข้า!”
“แต่ว่า…จิ้นอ๋องมาพร้อมกับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็น…”
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนยังเอ่ยไม่จบประโยค เขาก็เห็นท่านอ๋องที่นอนราบอยู่บนเตียง ดีดตัวลุกขึ้นยืนราวกับคนตายแล้วฟื้น ทว่านี่ก็ไม่ได้ทำให้พ่อบ้านตื่นตกใจแต่อย่างใด
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ เสี่ยวเป่ามาอย่างนั้นหรือ!”
“เอ่อ… เหมือนจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลียังไม่ทันได้งีบสักนิดก็ตาตื่นในบัดดล รีบร้อนสวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไป
ณ ห้องโถงใหญ่ของจวนเซียวเหยาอ๋อง พระชายาเอกของหนานกงหลี และบุตรชายฝาแฝดสองคนกำลังทักทายผู้มาเยือน
พระชายาของหนานกงหลีเป็นสตรีที่สวยสง่า บางทีอาจเป็นเพราะพระสวามีของนางหมกมุ่นอยู่กับการอยากมีบุตรสาว จนบัดนี้นางได้พบเสี่ยวเป่าก็ยิ่งเอ็นดูเด็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคนตัวเล็กปากหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า! ปากกระจิริดนั่นพร่ำเอ่ยวาจาเยินยอจนนางเบิกบานใจ
“ท่านอาสะใภ้งดงามมาก ดูดีราวกับเทพธิดาเลย”
“ท่านอาสะใภ้คนสวย นี่คือเฉ่าเหมยที่เสี่ยวเป่าปลูกเอง อันนี้ให้ท่านลองทานนะเจ้าคะ”
“ท่านอาสะใภ้คนสวย นี่คือน้ำมะเขือเทศเคี่ยว เสี่ยวเป่าขอให้เหล่าอู๋พ่อครัวห้องเครื่องทำมันขึ้นมา รสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว อันนี้ก็ให้ท่าน”
“ท่านอาสะใภ้คนสวย…”
น้ำเสียงฉอเลาะพร่ำพรรณนาวาจาหวานบาดใจ คนตัวเล็กนี่ก็กระไร ไยถึงน่ารักน่าชังได้เพียงนี้
พระชายาเซียวเหยาอ๋องเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงต้องการบุตรสาว ผู้ใดจะไม่อยากมีเจ้าก้อนแป้งที่ออดอ้อนออเซาะเก่งกาจเช่นนี้?
“เหตุใดเสี่ยวเป่าถึงได้น่ารักน่าชังเพียงนี้ มาให้อาดูหน้าค่าตาใกล้ ๆ หน่อย”
พระชายาเซียวเหยาอ๋องจับมือเล็กนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าแล้วออกแรงดึงนางมานั่งข้าง ๆ พอลองได้ลูบผมนุ่ม บีบแก้มนวลของเด็กน้อยก็พลันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสของหายาก
“เฮ้อ… ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าไยท่านอาเจ็ดของเจ้าถึงอยากได้บุตรสาวออกปานนั้น เสี่ยวเป่าทั้งงดงามและน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้นี่เอง หากเจ้าเกิดเป็นบุตรสาวของอาก็คงดีไม่น้อย”
นางมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาเศร้าสร้อย นี่เป็นสมบัติล้ำค่าของฝ่าบาท หาใช่ของคนในจวนนี้
“ข้าบอกแล้วว่ามีบุตรสาวนั้นเป็นเรื่องดีเกินจะหาสิ่งใดเปรียบ”
หนานกงหลีเดินตัวปลิวออกมาทั้งที่เสื้อผ้าบนตัวยังไม่สวมให้เรียบร้อยดี ในมือเขามีพัดที่กำลังโบกเบา ๆ
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันทีที่เห็นท่านอาเจ็ด
“ท่านอาเจ็ด~”
“เสี่ยวเป่า~~~”
หนานกงหลีลากเสียงยาวสั่นเครือเหมือนระลอกคลื่น
พระชายาเซียวเหยาอ๋องหันมามองค้อนเขา แต่ในแววตาของนางยังคงเปื้อนยิ้ม
แม้พระสวามีของนางจะเป็นบุรุษเจ้าสำราญและมีบุตรสายรองหลายคน แต่เขาก็ยังให้เกียรตินาง ไม่เคยยกสตรีนางใดในจวนให้เหนือกว่านาง อีกทั้งบุตรสายรองทั้งหลายก็ให้ความเคารพนาง เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ก่อนที่จะสมรสกับเซียวเหยาอ๋อง เดิมทีนางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องอาญา นางถูกคู่หมั้นถอนหมั้น ผู้คนต่างหลีกเลี่ยงหมางเมิน ในยามที่นางตกอยู่ในห้วงของความสิ้นหวัง เป็นเซียวเหยาอ๋องผู้นี้ที่มอบชีวิตใหม่ให้นาง
ในเวลานั้น เซียวเหยาอ๋องไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ก่อน และไม่รู้ว่ามีเหล่าพระสนมในวังหลังอีกเท่าไรที่เห็นเซียวเหยาอ๋องแล้วขัดตาขัดใจ พวกนางจึงยุยงส่งเสริมให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานสมรสให้แก่เซียวเหยาอ๋องกับนางที่เป็นบุตรสาวขุนนางต้องอาญา
เดิมที นางคิดว่าตัวเองอาจจะต้องมีชีวิตอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่ภายหลังกลับพบว่า แม้เซียวเหยาอ๋องจะเป็นองค์ชายเสเพลที่ผู้คนเล่าลือกันทั้งเมืองหลวง แต่เขาก็ให้เกียรตินางในฐานะพระชายาเอกเสมอมา
บุรุษผู้นี้ไม่เคยดูถูกนางเพราะสถานะเดิมของนาง ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อนางไม่ดีเพราะเห็นว่า การสมรสในครั้งนี้เป็นเพียงแผนที่คนพวกนั้นวางเอาไว้ เขามอบสิ่งดี ๆ ในจวนให้อยู่ในมือนางทั้งหมด และมอบอำนาจให้นางจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในจวนได้เต็มที่
แต่เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ ชีวิตของคนในจวนเซียวเหยาอ๋องนั้นยากลำบากมาก ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ ชีวิตของคนในจวนก็ดีขึ้นจากหลังมือเป็นหน้ามือ
ท่านอ๋องของนางเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่เขาเจ้าสำราญ ชื่นชอบหญิงงาม และอยากมีบุตรสาวมากจนเกินพอดี
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดในจวนอ๋องแห่งนี้ สามารถให้กำเนิดบุตรสาวตามที่เขาวาดหวังไว้ได้ เพราะทุกคนล้วนให้กำเนิดบุตรชาย
แม้ท่านอ๋องจะชื่นชอบหญิงงาม แต่ก็ไม่เคยลุ่มหลงพวกนางจนโงหัวไม่ขึ้น กระทั่งตอนที่พาอนุเหล่านั้นเข้ามาในจวน ท่านอ๋องยังเอ่ยอย่างชัดเจนว่า อนุภรรยาทั้งหมดต้องอยู่ในความดูแลของพระชายาเอก อย่าได้มีความคิดที่ไม่ควรคิดเด็ดขาด
หากผู้ใดทะเยอทะยานจนทำให้นางขุ่นเคืองใจ ท่านอ๋องจะส่งพวกนางออกไปโดยไม่ลังเล
สำหรับนางแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องจะเจ้าชู้ แต่ขอเพียงเขายังให้เกียรตินางก็พอแล้ว นางเคยเห็นคนมากมายลุ่มหลงอนุจนละเลยภรรยาหลวง ท่านอ๋องของนางแค่เป็นคนเจ้าชู้เจ้าสำราญ เทียบกับบุรุษวางมาดภูมิฐานพวกนั้นแล้ว ท่านอ๋องยังถือว่าดีกว่าอยู่เศษเสี้ยวหนึ่ง!
แต่พอถึงเวลาที่ควรรังเกียจก็ต้องรังเกียจ อย่างเช่นตอนนี้ เสียงของเขาเป็นอันใดไปล่ะนั่น!
หนานกงหลีอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และไม่คิดจะปล่อยนางลง เขาบีบมวยผมก้อนกลมสองก้อนบนหัว แล้วเปลี่ยนมาบีบแก้มป่อง ๆ ของเด็กเล็ก
ไยถึงได้บีบสนุกมือขนาดนี้นะ นุ่มนิ่มเป็นที่สุดเลย!
หลานสาวตัวน้อยของเขายังคงตัวหอมเหมือนเคย ช่างแตกต่างกับบุตรชายตัวเหม็นพวกนั้นยิ่งนัก!
“เหตุใดวันนี้เจ้าถึงออกมานอกวังหลวงได้ เสด็จพี่ทรงอนุญาตให้เจ้าออกมาหรือ? แล้วเขามาด้วยใช่หรือไม่?”
แม้หนานกงหลีจะคิดถึงหลานสาวตัวน้อยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ายามนี้เขาเป็นคนนอก จึงไม่สามารถเข้าออกวังหลวงของเสด็จพี่ได้ทุกวัน มิฉะนั้น ฝ่ายตรวจการราชสำนักจะต้องสร้างปัญหาให้แก่เขาเป็นแน่
เสี่ยวเป่าพพยักเพยิดไปที่พี่ใหญ่พร้อมเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เสี่ยวเป่ามากับพี่ใหญ่”
หนานกงหลีดวงตาทอประกาย “หมายความว่าวันนี้เจ้าอยากจะเที่ยวเล่นอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
พระชายาเซียวเหยาอ๋องกลอกตามองค้อนเขาทันที “ท่านอยากออกไปเที่ยวเล่นที่ใดก็ตามใจท่านเถอะ แต่อย่าได้คิดจะพาเสี่ยวเป่าไปด้วยเด็ดขาด”
หนานกงหลีรีบทวงความเป็นธรรมให้ตนเองทันที “พระชายา เจ้าเอาแต่มองข้าเช่นนั้นทุกที คิดว่าข้าไม่รู้หรือ? ดอกบัวในทะเลสาบชุนถิงกำลังบาน มิหนำซ้ำวันพรุ่งนี้ยังเป็นเทศกาลชมโคมไฟ เสี่ยวเป่า~ พรุ่งนี้เจ้าออกมาอีกได้หรือไม่? แม้วันนี้จะเริ่มครึกครื้นแล้วก็ตาม ทว่าพรุ่งนี้จะครึกครื้นที่สุด”
เสี่ยวเป่าเริ่มลังเล “เสี่ยวเป่าต้องถามท่านพ่อก่อน”
หนานกงหลีตบหน้าอกพร้อมทำหน้ามั่นใจ “ไม่เป็นไร ท่านอาเจ็ดผู้นี้จะไปทูลขอเสด็จพ่อของเจ้าเอง”
หนานกงฉีซิวที่เงียบมาตลอดได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น หนังตาเขาก็กระตุก
“ให้เสี่ยวเป่าเอ่ยขอเองเถิดพ่ะย่ะค่ะเสด็จอาเจ็ด เสด็จพ่อใจอ่อนกับเสี่ยวเป่ามากกว่าผู้ใด”
หากท่านไปเอง ข้าเกรงว่าเสด็จพ่อจะคิดว่าท่านไม่น่าเชื่อถือและย่อมไม่เต็มใจให้เสี่ยวเป่าออกไปเล่นกับท่าน
หนานกงหลีไม่ยอม “นอกจากเจิ้นหนานอ๋องแล้ว ข้าก็เป็นน้องชายที่สนิทกับฝ่าบาทที่สุด!”
พระชายาเซียวเหยาอ๋อง “…นอกจากพวกท่านสองคนแล้ว ฝ่าบาทยังทรงมีน้องชายคนใดอีกหรือเพคะ?”
หนานกงหลีตอบเต็มปากแม้จะรู้อยู่แก่ใจ “ไม่มีแล้ว”
แล้วสิ่งที่เขาพูดนั้นมีส่วนใดผิดอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่มี!
หนานกงฉีซิว “…”
พระชายาเซียวเหยาอ๋อง “…”