เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 105 นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอร่อย
บทที่ 105 นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอร่อย
บทที่ 105 นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะอร่อย
ก่อนที่หนานกงหลีจะปล่อยเสี่ยวเป่าไป เขาก็ทนความน่ารักไม่ไหวจึงบีบแก้มนุ่มนิ่มอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาบีบเพียงข้างเดียว
“น่ารักจริงเชียว~”
ตอนนี้เรือของพวกเขาแล่นเข้ามาอยู่ท่ามกลางดงดอกบัวเป็นที่เรียบร้อย กุ้งมังกรน้อยที่จับมาก็ได้เยอะพอสมควร จึงเอาฝาไม้ปิดถังไว้ไม่ให้พวกมันปีนป่ายหนีไปได้ ส่วนเสี่ยวเป่าก็หันไปจดจ่ออยู่กับการเก็บดอกบัวและใบบัว
“เก็บเพียงดอกบัวก็พอแล้ว เก็บใบมันไปทำอันใด”
เสี่ยวเป่ารีบตอบ “กิน!”
ทุกคน “…”
หนานกงหลีเหล่ตามอง “หืม อยากกินไก่ขอทาน*[1]หรือ?”
คนตัวเล็กพยักหน้าหงึก ๆ พร้อมชูดอกบัวในมือขึ้น
“ดอกบัวก็กินได้”
พอเห็นนางเอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกาย คนทั้งหลายก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เจ้าเห็นสิ่งใดก็คิดจะกินไปเสียหมดเลยนะ”
เสี่ยวเป่า “ก็มันอร่อยนี่นา เสียดายที่เสี่ยวเป่าดึงรากบัวขึ้นมาไม่ได้”
เจ้าก้อนแป้งมองรากบัวที่อยู่ใต้ผืนน้ำในทะเลสาบอย่างอาลัยอาวรณ์
หนานกงหลี “เอาน่า ที่จวนอาเจ็ดก็มีสระบัว หากเจ้าอยากได้จริง ๆ พอกลับจวนแล้วอาเจ็ดจะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปเอามาให้”
เสี่ยวเป่ารีบคว้าแขนหนานกงหลีมาถูไถด้วยความรักใคร่ทันที
“ท่านอาเจ็ดดีกับเสี่ยวเป่ามากเลย~”
หนานกงหลีเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นหลานสาวคนเดียวของข้า หากข้าไม่ดีต่อเจ้าแล้วจะให้ข้าไปดีกับผู้ใด”
บรรยากาศบนเรือเป็นไปอย่างชื่นมื่นครื้นเครง จนกระทั่งเวลามื้อค่ำใกล้เข้ามา พวกเขาจึงกลับจวนพร้อมข้าวของมากมาย
ทว่าปัญหาคือจะทำอย่างไรกับกุ้งก้ามแดงพวกนั้น
เสี่ยวเป่าพับแขนเสื้อขึ้นท่าทางขมักเขม้น “เสี่ยวเป่าเอง เสี่ยวเป่าจะทำเอง!”
หนานกงหลีเอ่ยเสียงดุ “ตัวเจ้าก็มีอยู่เท่านี้ สูงพ้นเตาไฟแล้วหรือถึงได้อาสา?”
เสี่ยวเป่าถูกขัดใจ แก้มป่อง ๆ พองขึ้นมาอีกขั้น ท่านอาเจ็ดใจร้ายเกินไปแล้ว ท่านโจมตีเสี่ยวเป่าอย่างนี้ได้อย่างไร!
“มีตั่ง!”
“อย่างไรก็ไม่ได้ ผิวเจ้าบอบบาง หากถูกน้ำมันกระเด็นใส่เพียงเล็กน้อยก็เป็นรอยแดงได้แล้ว”
สุดท้ายเสี่ยวเป่าก็ทำได้เพียงสั่งการกับพ่อครัว
พ่อครัวฟังชื่อเครื่องเทศมากมายที่พ่นออกมาจากปากเล็ก ๆ นั้น ทั้งรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง และยังมีเครื่องเทศหายากอีกด้วย!
มัน…จะอร่อยจริง ๆ หรือ?
หนานกงหลีสั่งให้คนออกไปหาซื้อเครื่องเทศพวกนั้นมาจากข้างนอก แต่หากหาซื้อไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้จึงขาดเครื่องเทศหลายชนิด ฉะนั้นจะต้องทำออกมาไม่อร่อยเท่าชาติก่อนของนางแน่นอน
แต่เพียงเท่านี้ก็คงพอใช้ได้แล้ว
กุ้งมังกรน้อยที่ถูกผัดบนกระทะใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล ยิ่งใส่กระเทียมลงไปเยอะ ๆ ก็จะมีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
แม้แต่พ่อครัวยังไม่คิดไม่ฝันว่ากุ้งก้ามแดงจะมีกลิ่นหอมน่าลิ้มลองถึงเพียงนี้!
เพียงได้กลิ่นหอมที่โชยมา ความแคลงใจที่เคยมีพลันหายไปจนหมดสิ้น ในขณะที่ผัดกุ้งก้ามแดงพ่อครัวก็ตื่นเต้นแทบทนไม่ไหว
หนานกงหลีและคนอื่น ๆ ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เดิมทีพวกเขาไม่คิดคาดหวังกับกุ้งก้ามแดงพวกนี้ แค่ทำตามใจเสี่ยวเป่า ทว่าผลที่ได้กลับเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
“นี่…นี่คือกุ้งก้ามแดงจริง ๆ หรือ? ไยถึงได้หอมเพียงนี้!”
หนานกงหลีกลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนบุตรชายทั้งสองก็ทำท่าทางน้ำลายสอถอดแบบเขามาได้เหมือนเปี๊ยบ
หากไม่ใช่เพราะกุ้งก้ามแดงยังอยู่ในกระทะ สามพ่อลูกคงหยิบมันขึ้นมาลิ้มลองแล้ว
เสี่ยวเป่าเองก็กลืนน้ำลายอย่างตะกละตะกลาม นางยืนอยู่บนตั่งจ้องกุ้งมังกรน้อยกลิ้งไปมาอยู่ในกระทะตาเป็นมัน
กุ้งมังกรน้อยในทะเลสาบชุนถิงไม่เพียงตัวใหญ่ ทว่ายังอวบอ้วนมากอีกด้วย เนื้อส่วนลำตัวกุ้งก็เยอะมาก!
พ่อครัวกลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึกก่อนจะเอ่ยให้ผู้เป็นนายได้ชื่นใจ “ท่านอ๋อง พวกท่านโปรดรออีกหน่อย อีกไม่ช้าอาหารในกระทะนี้จะพร้อมเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาเช่นนี้เสี่ยวเป่าพลันคิดถึงท่านพ่อขึ้นมา
“ท่านอาเจ็ด ส่งให้ท่านพ่อด้วยได้หรือไม่เพคะ”
หนานกงหลียังคงจ้องกุ้งในกระทะอย่างใจจดใจจ่อ พลางพยักหน้าซ้ำ ๆ
“ได้ ๆ เดี๋ยวอาเจ็ดจัดการให้”
หนานกงหลีพูดจบ เขาก็สั่งให้คนหาปิ่นโตใบใหญ่มาใส่อาหาร ก่อนจะให้คนนำไปส่งที่วังหลวง
หลังจากที่เอาแต่จ้องกุ้งก้ามแดงอยู่นานสองนานแล้ว เขาจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำไปให้พระชายา อนุภรรยา และบรรดาบุตรชายที่อยู่เรือนด้านหลัง
อย่างไรเสียวันนี้ พวกเขาก็จับกุ้งก้ามแดงมาเยอะมากพอที่จะแบ่งปันทุกคน
หนานกงหลีเป็นคนสบาย ๆ ไม่พิถีพิถัน เขาหยิบกุ้งออกมาด้วยมือเปล่าและเริ่มแกะเปลือกมันทันที
ทันทีที่เนื้อกุ้งก้ามแดงเข้าปาก ดวงตาคู่นั้นพลันทอแสงเปล่งประกาย
เนื้อกุ้งก้ามแดงที่ดูดซึมน้ำเครื่องเทศเข้าไปได้กำลังดี มันเนื้อนุ่มรสชาติดี เป็นความอร่อยที่ไม่เคยกินที่ใดมาก่อน มันให้ความรู้สึกแตกต่างจากกุ้งขาวอย่างสิ้นเชิง
น่าเสียดายที่กุ้งนี้มีแต่เนื้อส่วนตัวจนถึงหางที่กินได้เพลิน ๆ แม้ก้ามกุ้งจะมีเนื้อ แต่ก็มีเพียงน้อยนิด อีกทั้งเปลือกยังแกะยากเป็นพิเศษ
คราแรกเสี่ยวเป่าจะแกะเปลือกกุ้งเอง แต่หนานกงฉีซิวห้ามไว้เสียก่อน
“ให้บ่าวรับใช้แกะให้เถอะ”
มือน้องสาวผิวบอบบาง เปลือกกุ้งก้ามแดงนี้แข็งไม่น้อย มันจะทำให้มือนางบาดเจ็บเอาได้
หนานกงฉีซิวไม่ได้ใช้มือเช่นกัน เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาถูกเลี้ยงดูในวังหลวง จึงไม่คุ้นเคยกับการแกะเปลือกกุ้งด้วยมือเปล่า
เสี่ยวเป่ากินกุ้งที่บ่าวรับใช้แกะให้ พลางมองอาเจ็ดและญาติผู้พี่ทั้งสองที่กำลังใช้สองมือแกะกุ้งกินอย่างอิ่มเอม
“กุ้งจะอร่อยก็ต่อเมื่อแกะเปลือกเอง”
หนานกงฉีซิวเหลือบมองมือเล็ก ๆ ของนาง “มือเจ้าเล็กและบอบบาง ฉะนั้นต้องค่อย ๆ แกะอย่างระมัดระวังนะ”
เสี่ยวเป่ารีบรับปากทันใด “ได้เลยเพคะ”
จากนั้น นางก็อ้าปากยัดเนื้อกุ้งที่บ่าวรับใช้แกะให้จนเต็มปาก แก้มอ้วนเต็มไปด้วยเนื้อกุ้งที่อวบอิ่มและชุ่มฉ่ำ คำนี้ช่างน่าพึงพอใจจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าคงจะกินกุ้งก้ามแดงเยอะขนาดนี้ไม่หมดเป็นแน่ ทว่าเพียงได้ลิ้มลองถึงกับติดใจจนหยุดกินไม่ได้ หลังจากกินเสร็จรสชาติเลิศรสก็ยังคงติดอยู่ในปาก และทั้งที่ท้องอิ่มก็ยังอยากกินมันอีก
“เยี่ยมไปเลย”
หนานกงหลีค่อย ๆ ล้างมือด้วยสบู่หอม หวนคืนสู่ท่าทางทรงเสน่ห์ที่เคยมี แต่ตัวเขานั้นพอกินจนอิ่มแปล้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่คิดรักษาภาพลักษณ์เลยสักนิด
“คิดไม่ถึงว่ากุ้งก้ามแดงจะอร่อยขนาดนี้!”
พอนึกถึงกุ้งสีแดงในทะเลสาบชุนถิงที่ถูกผู้คนเหยียดหยาม พลันรู้สึกว่าพวกเขาพลาดมาก!
“พรุ่งนี้ไปจับกันอีกเถอะ!”
บุตรชายทั้งสองที่ถอดแบบกันมาแทบทุกอย่างยกมือเห็นด้วยทันที
เสี่ยวเป่าก็ยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นแล้วกระโดดดึ๋ง ๆ
“เสี่ยวเป่าด้วย ๆ อย่าลืมเสี่ยวเป่า!”
ท่าทางกระตือรือร้นนั้นดูราวกับว่ากลัวพวกเขาจะลืมตนเอง
หนานกงฉีซิวคลี่ยิ้มพลางบีบจมูกกระจิริดอย่างมันเขี้ยว “รอให้พรุ่งนี้เจ้าออกจากวังหลวงได้เสียก่อนเถอะ”
ในเวลาเดียวกัน ผู้ดูแลจวนอ๋องก็เดินเข้ามารายงาน
“ท่านอ๋อง เหล่าอ๋องน้อยจากเรือนด้านหลังมาขอรับ”
มาที่นี่ด้วยเหตุผลใด พวกเขามองกุ้งก้ามแดงที่ถูกแกะกินจนหมดเหลือเพียงเปลือกกองโต
อีกด้านหนึ่ง ในวังหลวง…
ขันทีจากจวนเซียวเหยาอ๋องนำปิ่นโตกลิ่นหอมฉุยเข้าไปถึงในห้องโถงของตำหนักฉินเจิ้ง และส่งมอบถึงมือฝูไห่กงกง
“ฝูไห่กงกง องค์หญิงน้อยทรงส่งสิ่งนี้มาให้ฝ่าบาทขอรับ”
ฝูไห่พยักหน้าในขณะที่รับปิ่นโตมา และยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ขันทีผู้นั้น
“ลำบากเจ้าแล้ว”
ขันทีส่ายหัวอย่างมีความสุขหลังจากได้รับรางวัล “ไม่ลำบากเลยขอรับ มันเป็นหน้าที่ของข้าน้อย”
รอจนคนผู้นั้นจากไป ฝูไห่จึงถือปิ่นโตอย่างระมัดระวังเดินเข้าไปในห้องโถง จมูกเขาดี เพียงได้กลิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าข้างในบรรจุอาหาร แต่เขาเดาไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด
“องค์หญิงเก้าทรงส่งสิ่งนี้มาให้ฝ่าบาท แม้อยู่นอกวังยังทรงคิดถึงฝ่าบาท ชัดแล้วว่าองค์หญิงทรงคิดถึงฝ่าบาทตลอดเวลา”
ประจบสอพลอในเวลาเช่นนี้ถูกต้องเป็นที่สุด
หนานกงสือเยวียนปรายตามองปิ่นโตพลางเอ่ยค่อนขอด “ตอนนี้คงกำลังสนุกสนานอยู่ล่ะสิ”
แล้วฝูไห่กงกงก็ค่อย ๆ เปิดฝาปิ่นโตออก
[1] ไก่ขอทาน หมายถึง ไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบ