เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 107 “ถ่ายทอดข้อความให้เซียวเหยาอ๋อง”
บทที่ 107 “ถ่ายทอดข้อความให้เซียวเหยาอ๋อง”
บทที่ 107 “ถ่ายทอดข้อความให้เซียวเหยาอ๋อง”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเบื่อหน่ายและรำคาญใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ และท่าทางที่มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษของเด็กน้อยสามารถทำให้คนรู้สึกมีความอดทนขึ้นมามากเป็นพิเศษ
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ขัดจังหวะความตื่นเต้นของเด็กน้อย เขาเพียงตอบสนองด้วยการส่งเสียงเรียบ ๆ หนึ่งคำไม่ก็พยักหน้าเล็กน้อย นี่คล้ายกับส่งเสริมให้นางเล่าต่อมากยิ่งขึ้น เสียงของเจ้าก้อนแป้งมีความสุขเบิกบานเป็นอย่างมาก
เด็กน้อยพูดจนปากแห้ง ก่อนจะยอมนั่งนิ่ง ๆ เข่าชิดพิงตัวท่านพ่ออย่างว่าง่าย
เมื่อนั่งท่านี้แล้วก็ดูมีความเป็นกุลสตรีอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับเด็กที่อยู่ไม่สุขแล้วย่อมไม่อาจนั่งได้นาน
ผลก็เป็นเช่นนั้นจริง หลังจากดื่มน้ำเสี่ยวเป่าก็เริ่ม ‘ขยับยุกยิก’
เริ่มจากการดึงแขนเสื้อของท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด หลังจากนั้นเด็กน้อยจึงกอดแขนท่านพ่อเอาไว้อย่างอุกอาจ ก่อนจะเงยหัวเล็ก ๆ ขึ้นไปมองด้วยดวงตาที่กะพริบปริบ ๆ ใส่เขา
“ท่านพ่อ กุ้งมังกรน้อยอร่อยหรือไม่~~”
…
รถม้าแล่นเข้าสู่พระราชวังโดยไร้ผู้ใดขัดขวาง จากนั้นชายร่างสูงสง่าก็ลงมาจากรถม้าพร้อมกับเด็กน้อยที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเขา
วันนี้นางเล่นทั้งวันจนไม่ได้นอนกลางวัน หลังจากผ่านช่วงตื่นเต้นดีใจเข้าสู่ช่วงสงบ เพียงแค่รถม้าแล่นไปได้ครึ่งทาง เด็กน้อยก็หลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา ปากเล็ก ๆ น่าทะนุถนอมเผยอเล็กน้อย บนร่างถูกห่อไว้ด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีดำของท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนก้มลงมอง ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้านางให้ไปอยู่ด้านหลังใบหู ปากเล็ก ๆ ขมุบขมิบไปมาไม่รู้ว่ากำลังกินสิ่งใดอยู่ในฝัน แขนขาสั้น ๆ ขยับหามุมสบายในอ้อมแขนของท่านพ่อ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ
หลังจากตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่าก็แต่งตัวเตรียมไปหาท่านพ่อ
“ท่านพ่อ ท่านอาเจ็ดบอกว่าวันนี้มีงานวัด เสี่ยวเป่าออกไปเที่ยวเล่นได้หรือไม่เพคะ”
เด็กน้อยใช้สองนิ้วดึงชายแขนเสื้อของท่านพ่อ เสียงน้อย ๆ หวานปานน้ำผึ้งชวนให้คนฟังใจอ่อน
ทุกครั้งที่ทำตัวออดอ้อนเช่นนี้ ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธนางได้
ดวงตาของหนานกงสือเยวียนลุ่มลึก “งานวัดมีคนมากมาย อันตรายเกินไป”
เสี่ยวเป่าตอบกลับ “มีพี่ใหญ่ ท่านอาเจ็ด และก็พวกญาติผู้พี่อยู่ด้วย”
รวมแล้วมีคนอยู่ด้วยมากมาย ไม่น่าจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน
อีกทั้ง…
เสี่ยวเป่าเอียงหัวไปมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ นางพญาผึ้งที่อยู่บนหัวของนางดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“ข้ายังมีเฟิงเฟิงอยู่!”
“หวึ่งหวึ่ง…”
พญาผึ้งกระพือปีกแสดงตนออกมา
“พรืด…”
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านข้าง เสี่ยวเป่าหันไปมองด้วยดวงตากลมโต ตอนนั้นเอง นางถึงได้เพิ่งเห็นเซี่ยหวงกุ้ยเฟยนั่งอยู่
ดวงตาของเสี่ยวเป่าวาววับขึ้นมา เซี่ยชิงหร่านพลันสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
ในพริบตาต่อมา เจ้าก้อนแป้งก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “พระสนมคนสวย!”
มุมปากของเซี่ยชิงหร่านกระตุก โชคดีที่ตอนนี้นางไม่ได้ดื่มชา ไม่เช่นนั้นนางคงจะพ่นชาออกมาต่อหน้าฝ่าบาทเสียแล้ว
“องค์หญิงเก้าเรียกข้าว่าพระสนมเซี่ยเถิด”
เสี่ยวเป่าแย้มยิ้มอย่างเขินอาย “เสี่ยวเป่าตัวเตี้ยเกินไปจนมองไม่เห็นท่าน”
มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ฉายชัดขึ้นในดวงตางดงามของเซี่ยชิงหร่าน นางส่ายหน้าเบา ๆ บอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากนั้นก็วนกลับมายังหัวข้อประเด็นที่นางต้องการจะไปเข้าร่วมงานวัด
“ท่านพ่อ เช่นนั้น เสี่ยวเป่านำผึ้งไปเพิ่มอีกดีหรือไม่ ท่านให้เสี่ยวเป่าไปเถิดน้า”
เซี่ยชิงหร่านเฝ้ามองจากด้านข้างด้วยความสนใจ นางเห็นองค์จักรพรรดิผู้สูงส่งไร้ผู้ใดเปรียบกำลังอับจนหนทาง เนื่องจากถูกเจ้าก้อนแป้งตามพัวพัน แม้ใบหน้าของเขาจะเย็นชา แต่ภายในดวงตากลับมีการให้ท้ายส่งเสริมเด็กหญิงตัวน้อยอยู่
นางไม่เคยเห็นฝ่าบาทเป็นเช่นนี้มาก่อน
ในความประทับใจของนาง ครั้งแรกที่พบหน้าก็สามารถสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเย็นชาไร้ปรานี ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่อดทนหรือแยแสต่อผู้ใด
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสตรีในวังหลังหรือพระโอรส ก็ดูราวกับเขาจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดด้วย
นางคิดว่าฝ่าบาทจะเย็นชาเช่นนี้ได้ตลอด แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกใส่ใจขึ้นมาได้
“ข้าจะให้องครักษ์เงาตามไปกับเจ้า”
นี่ถือเป็นการยินยอมอย่างประนีประนอมที่สุดแล้ว เสี่ยวเป่าเขย่งตัวทันทีด้วยความดีใจ ดึงแขนท่านพ่อลงมาประทับริมฝีปากลงบนแก้ม
“ท่านพ่อใจดีที่สุดเลย!”
มือของเซี่ยชิงหร่านกระตุก แววตาประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
นี่…ค่อนข้างจะเกินความคาดหมายไปบ้าง ดูท่าฝ่าบาทจะรักใคร่เอ็นดูองค์หญิงน้อยมากกว่าที่นางคิด
ทว่านางก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าองค์หญิงน้อยกำลังเดินมาทางตนเอง
“พระสนม เสี่ยวเป่ากำลังจะไปหาพี่ใหญ่ ท่านมีสิ่งใดฝากเสี่ยวเป่าไปให้พี่ใหญ่หรือไม่?”
เซี่ยชิงหร่านไม่ได้คาดว่า องค์หญิงน้อยจะมีใจนึกถึงตนเอง ภายในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
นางนั่งอยู่ในท่วงท่าสง่างาม มุมปากยกยิ้ม
“อันที่จริงก็มี ก่อนหน้านี้ข้าทำเสื้อไว้ให้กับจิ้นอ๋อง คงต้องรบกวนองค์หญิงเก้านำมันไปให้เขาด้วย”
เสี่ยวเป่าตบหน้าอกตนเองพร้อมเอ่ยรับคำ “ข้าจะส่งมันให้พี่ใหญ่แน่นอน”
เมื่อเสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้นจากไปแล้ว รอยยิ้มในดวงตาของหนานกงสือเยวียนก็เลือนหายไปทันที
เขากลายเป็นผู้ที่คนไม่กล้าเข้าใกล้เช่นเดิม
หากเป็นก่อนหน้านี้ เซี่ยชิงหร่านที่คุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้แล้วคงไม่รู้สึกอันใด ทว่าเมื่อนางได้เห็นท่าทางมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ผู้หนึ่งของฮ่องเต้ไปเมื่อครู่ แล้วแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นเช่นเดิม นี่ทำให้นางออกจะมึนงงอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท เรื่องงานเลี้ยงอาหารกุ้งก้ามแดงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสนมผู้นี้เถิดเพคะ”
ใช่แล้ว ที่หนานกงสือเยวียนเรียกเซี่ยชิงหร่านมาก็เพื่อเรื่องนี้ หลังจากได้ทานกุ้งก้ามแดงที่เสี่ยวเป่าส่งมาเมื่อวาน เขาก็คิดวิธีจัดการกุ้งก้ามแดงขึ้นมาได้ในทันที
งานเลี้ยงอาหารกุ้งก้ามแดงจะถูกจัดขึ้นโดยพระราชวัง ขอเพียงแค่เหล่าขุนนางได้ลองชิมกุ้งก้ามแดงที่รสชาติเหมือนเมื่อวาน เขาเชื่อว่าใช้เวลาเพียงไม่นานก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
แน่นอนว่าเรื่องงานเลี้ยงอาหารย่อมต้องเป็นหน้าที่ของพระสนมซึ่งกุมอำนาจของวังหลังเป็นผู้จัดเตรียม
หลังจากเซี่ยชิงหร่านออกไปแล้ว หนานกงสือเยวียนก็หรี่ตาลงเล็กน้อยครุ่นคิดบางสิ่ง
“ถ่ายทอดข้อความให้เซียวเหยาอ๋อง”
สุดท้ายเขาก็เปิดปากเอ่ยออกมา
หนานกงหลีที่ได้รับข่าว ก็รีบตรงมายังพระราชวังอย่างรวดเร็ว แม้จวนอ๋องของเขาจะไม่ได้อยู่ห่างจากพระราชวังมากนัก แต่พื้นที่ในพระราชวังนั้นกว้างใหญ่เกินไป ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามเขาจึงค่อยมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง
“ฝ่าบาทเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ?”
หนานกงหลีอกสั่นขวัญแขวน คิดว่าพี่ชายของเขาจะล่วงรู้เรื่องที่เขาทำลงไป ไม่ก็เป็นหลานของเจ้าคนแซ่หวังที่ฟ้องเรื่องของเขากับพี่ชายอีกครั้ง!
“ใช่เรื่องของบุตรชายเซวียนผิงโหวหรือไม่? ฝ่าบาทฟังข้าก่อนเถิด นั่นเป็นเพราะข้าไม่อาจทนได้กับเรื่องสารเลวอย่างการพูดจาแทะโลมผู้หญิงจากครอบครัวสุจริต ซ้ำยังข่มเหงรังแกคนชราสองคน ที่ข้าทำก็เพื่อสั่งสอนบทเรียนให้แก่เขา”
หนานกงสือเยวียนจับจ้องมาทางเขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
หนานกงหลีมองสีหน้าอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก่อนจะเห็นสีหน้ามืดมน
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรือ? เช่นนั้นหรือว่าเป็นเรื่องที่บุตรชายข้าทะเลาะกับผู้อื่นในสถานศึกษา นี่นับว่าเป็นการทะเลาะกันของเด็ก ๆ อย่างไรเสียเด็กก็มีพลังต่อยตีกันเสมออยู่แล้ว”