เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 112 หน้ากาก
บทที่ 112 หน้ากาก
บทที่ 112 หน้ากาก
น้องสาวได้ของอร่อยเช่นนี้มาจากที่ใด!
อีกอย่าง การมีน้องสาวที่คิดถึงพวกเขาตลอดเวลาเช่นนี้มันช่างดีมากจริง ๆ
ด้านเสี่ยวเป่าพอถูกเอ่ยถึงก็จามหลายครั้ง ทำให้หนานกงฉีซิวและคนอื่น ๆ กังวลว่าคนตัวเล็กจะเป็นหวัด เกือบจะเรียกหาหมอหลวงแล้วด้วยซ้ำ
“เสี่ยวเป่าไม่ได้เป็นหวัด ต้องเป็นเพราะท่านพ่อและพวกพี่ ๆ คิดถึงเสี่ยวเป่าเป็นแน่”
เสี่ยวเป่าถูจมูกพลางเอ่ยอย่างมั่นใจ
แต่คนทั้งหลายก็มิวายเรียกหมอประจำจวนอ๋องมาตรวจดูอาการนางให้แน่ใจอยู่ดี
เนื่องจากวันนี้มีงานวัด แม้ท้องฟ้าจะยังไม่มืด แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับครึกครื้นและคับคั่งไปด้วยผู้คนมากกว่าปกติ
เสี่ยวเป่าเดินไปตามท้องถนน พร้อมชายรูปงามกลุ่มหนึ่งล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ไม่ห่าง จึงกลายจุดสนใจของผู้คนในบริเวณนั้นทันที
โดยเฉพาะหนานกงฉีซิวที่แม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่ารูปร่างหน้าตาและท่าทางที่ดูเป็นผู้ดีมีสกุล ยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งจนไม่มีผู้ใดเมินเฉยต่อเขาได้
ไหนจะหนานกงหลีผู้มีใบหน้าคล้ายแย้มยิ้มอยู่ตลอด พร้อมดวงตาจิ้งจอกดูเจ้าเล่ห์เพทุบาย บนกายแกร่งสวมชุดสีแดงพร่างพราวราวกับเปลวเพลิง ทั้งสง่างามและทรงเสน่ห์ ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดย่อมเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
บุรุษหลายคนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสเหล่านั้นได้ หากเผลอใส่อาจดูเป็นบุรุษตุ้งติ้งก็เป็นได้ ทว่าไม่ใช่กับหนานกงหลีผู้มีความสง่างามและเสน่ห์ยั่วยวนดุจปีศาจจิ้งจอกรวมอยู่ในคนผู้เดียว ราวกับเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
เสด็จแม่ของหนานกงหลีเดิมทีเป็นหญิงคณิกา และด้วยความที่รูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา นางจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า สุดท้ายก็ถูกฮ่องเต้องค์ก่อนเรียกตัวเข้าวัง
แม้ในยามที่เขาเป็นเพียงองค์ชาย ซึ่งถือกำเนิดจากมารดาผู้ต่ำต้อย จะไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้คนในวัง ทว่าส่วนดี ๆ ที่ถูกถ่ายทอดมาจากผู้เป็นมารดานั้นทำให้เขามีโฉมหน้างดงามเสียจนสตรียังต้องอาย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาใกล้จะอายุสามสิบกว่าแล้ว แม้ต้องอยู่ท่ามกลางคนหนุ่มสาวก็ไม่ได้ทำให้เขาดูแก่ขึ้นเลยสักนิด กลับยิ่งดูมีเสน่ห์ที่เพิ่มพูนตามกาลเวลา
สำหรับบรรดาบุตรชายของเขานั้น ผู้ใดก็รู้ดีว่าหนานกงหลีชอบหญิงงามมาแต่ไหนแต่ไร พระชายาเซียวเหยาอ๋องย่อมต้องเป็นสตรีที่สุขุมสง่างาม และเหล่าอนุก็ล้วนเป็นหญิงงาม บรรดาบุตรชายที่เกิดจากบิดามารดาที่เป็นเช่นนี้ย่อมต้องดูดีตามธรรมชาติ
เหล่าคุณชายดูดีมีสกุลรวมกลุ่มกันอยู่เช่นนี้ จะไม่เป็นที่สะดุดตาผู้คนได้อย่างไร
แม่นางบางคนเพียงแค่มองแวบเดียวก็หน้าแดง แต่ก็มิวายแอบชายตามองด้วยใจปรารถนาไม่รู้จบ
เสี่ยวเป่าที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาจึงดูไม่โดดเด่น เพราะนางยังเป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ
แต่ถึงกระนั้น ผู้คนที่ได้เห็นยังต้องทอดถอนใจให้กับเค้าความงามที่นางมี เจ้าก้อนแป้งอายุเพียงสามขวบ ทว่าคิ้วตาจมูกปากงดงามตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโตขึ้นจะต้องงดงามเป็นแน่ ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีคุณชายผู้ดีมีสกุลในเมืองหลวงกี่มากน้อยที่ต้องสู้รบปรบมือยื้อแย่งสตรีนางนี้
วันนี้ผู้คนคับคั่ง โอกาสที่เสี่ยวเป่าจะหลงทางจึงมีมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นตั้งแต่ก้าวขาพ้นประตูจวนออกมา เสี่ยวเป่าก็เดินอยู่ข้างกายพี่ใหญ่อย่างเชื่อฟัง มีเพียงดวงตากลมโตคู่นั้นที่เคลื่อนไหวว่องไวพร้อมทอแสงเป็นประกายวิบวับ
ใบหน้านางมีรอยยิ้มน่ารักอ่อนโยนประดับไว้ ทำให้ผู้คนมองนางแวบหนึ่งพลันรู้สึกหัวใจอ่อนยวบ
สวรรค์บันดาลท้องฟ้าเป็นใจ อากาศวันนี้จึงมีเมฆหมอกหนาตาปกคลุมแสงแดดที่แผดเผา ทำให้อากาศเย็นสบายและไม่มีฝนตก
“พี่ใหญ่ เที่ยวงานวัดต้องไปที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“วัดต้ากั๋ว”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกายทันที “เสี่ยวเป่าไปหาท่านเจ้าอาวาสกับนักพรตเสวียนจีได้หรือไม่”
แม้นักพรตเสวียนจีจะชอบชวนนางทะเลาะเป็นประจำ แต่เสี่ยวเป่าผู้ใจกว้างก็ตัดสินใจว่าไม่โต้เถียงกับเขา และจะพยายามอ่อนข้อให้เขาสักนิดก็แล้วกัน
หนานกงฉีซิวเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่แน่ใจ วันนี้ท่านเจ้าอาวาสอาจจะยุ่งมาก”
เสี่ยวเป่าเข้าใจและไม่งอแง “อืม หากท่านเจ้าอาวาสไม่ว่าง เสี่ยวเป่าก็จะไม่รบกวน”
ตอนที่พวกเขาออกเดินทางมาก็เป็นเวลายามเซิน*[1] แล้ว พอพวกเขามาถึงเชิงเขาวัดต้ากั๋ว ดวงตะวันก็ลับขอบฟ้าเสียแล้ว อากาศจึงไม่ร้อนอบอ้าวอันใด
“ดูนั่น ๆ ปริศนาโคมไฟ”
“เกี๊ยวจ้า เกี๊ยวนึ่งจ้า รับเกี๊ยวสักหน่อยไหมจ๊ะ”
“เชิญขอรับ เชิญเข้ามาชมธูปหอมเทียนหอม…”
ถนนบนเชิงเขาวัดต้ากั๋วครึกครื้นมาก สองข้างทางมีทั้งร้านขายอาหาร ธูปเทียน ด้ายแดง ป้ายสีแดงที่เขียนคำอวยพรต่าง ๆ และเสียงโห่ร้องจากผู้คนที่ชนะการทายปริศนาโคมไฟ…
บนต้นไม้และใต้ชายคาบ้านเรือนแขวนโคมไฟสีแดงไว้เรียงราย ตกค่ำโคมแดงจะถูกจุดตามถนนเส้นหลักของเมืองหลวงไปจนถึงวัดต้ากั๋ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเป่าได้เห็นและได้มีส่วนร่วมในงานที่แสนรื่นเริงเช่นนี้
แม้ภูตพฤกษาตัวน้อยจะอายุยืนยาวราวสามร้อยปี แต่หนึ่งร้อยปีก่อนลืมตา พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในดอกไม้แห่งชีวิต หลังจากถือกำเนิดก็ยังต้องอาศัยอยู่ในหุบเขาอย่างทุลักทุเลอีกเกือบร้อยปี ครั้งแรกที่ออกจากหุบเขาก้าวเข้าสู่โลกมนุษย์ พวกมนุษย์ก็ได้เข้าสู่ยุคที่การเป็นอยู่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแล้ว
ในยามนั้น ผู้คนไม่ได้เกรงกลัวต่อภูตผีหรือเทพเจ้าแล้ว ในเทศกาลต่าง ๆ จึงไม่ครึกครื้นและรื่นเริงเช่นนี้
มีเพียงวันสำคัญอย่างวันสิ้นปีถึงจะครึกครื้นขึ้นมาบ้าง
เสี่ยวเป่ามีความสุขมาก นางพาพี่ใหญ่ไปที่แผงขายหน้ากากขนาดเล็ก หยิบหน้ากากแมวที่มีลายเมฆมงคลสีทองบนพื้นสีขาวขึ้นมา แล้วนำไปเทียบกับใบหน้าของพี่ชาย
“ดูดีมาก!”
เจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มยิ้มหน้าบานเสียยิ่งกว่าดอกไม้
หนานกงฉีซิวยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมาจับหน้ากากไว้จนเผยให้เห็นกระดูกที่นูนเด่น เขาคลี่ยิ้มอบอุ่น ใบหน้าครึ่งล่างไม่ได้ถูกปิดด้วยหน้ากาก รอยยิ้มของเขาจึงเปรียบเสมือนดอกท้อสีแดงที่ผลิบานท่ามกลางหิมะ ชวนให้คนหลงไหลไปแล้วไม่รู้เท่าไร
“ท่านพี่ใส่หน้ากากอันนี้นะเจ้าคะ”
หนานกงฉีซิวพยักหน้าเบา ๆ พลางลูบหัวคนตัวเล็ก “ได้”
“เลือกให้แต่พี่ใหญ่ แล้วของข้าเล่า?”
หนานกงหลีรีบโผล่มาแสดงตัว
เสี่ยวเป่าไม่ลืมที่จะหยิบหน้ากากจิ้งจอกที่มีลวดลายสีแดงบนพื้นหลังสีขาวยื่นให้เขา
“ท่านอาใส่อันนี้”
ก่อนออกมาทุกคนได้กำชับนางว่า เมื่ออยู่ข้างนอกให้เรียกท่านอาเจ็ดว่าท่านอา ห้ามเปิดเผยตัวตนเดี๋ยวจะเที่ยวเล่นได้ไม่เต็มที่
คนขายหน้ากากเห็นว่ามีผู้สูงศักดิ์หลายคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูไม่เหมือนคนธรรมดาจึงรีบพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ผู้สูงศักดิ์น้อยสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก หน้ากากสองอันนี้เหมาะสมกับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
เสี่ยวเป่ากวาดตามองหน้ากากอันอื่น จากนั้นก็หยิบหน้ากากกวางเหมยฮัวให้ญาติผู้พี่ฝาแฝด และหยิบหน้ากากกระต่ายให้ตนเอง
ส่วนญาติผู้พี่คนอื่น ๆ บางคนไม่รู้เดินเตร่ไปที่ใดเสียแล้ว นางจึงช่วยเลือกให้คนที่ยังเหลืออยู่
หลายคนที่มาเที่ยวงานวัดก็สวมหน้ากากเช่นเดียวกับพวกเขา คู่รักหนุ่มสาวหลายคู่ฉวยโอกาสนี้ลอบพบกัน ก็จะสวมหน้ากากและจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด
ส่วนเสี่ยวเป่านั้นจับมือพี่ใหญ่และท่านอาเจ็ดมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ผู้คนกำลังทายปริศนาโคมไฟ
ที่นี่มีโคมไฟทุกชนิด ทั้งรูปสัตว์ รูปดอกไม้ โคมม้าวิ่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย
และโคมไฟที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาโคมไฟทั้งหมด ก็คือ โคมม้าวิ่งสุดประณีตที่สามารถหมุนได้ ลวดลายบนโคมดูเหมือนจะถูกวาดโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียง ตามขอบโคมไฟยังประดับประดาด้วยโคมดอกบัวที่ดูเสมือนจริง ซึ่งมีไข่มุกและพู่ห้อยอยู่ด้านล่าง…
[1] ยามเซิน คือ เวลา 15.00 – 16.59 น.