เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 113 เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่คว้ารางวัลมาให้เจ้าก็แล้วกัน
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 113 เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่คว้ารางวัลมาให้เจ้าก็แล้วกัน
บทที่ 113 เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่คว้ารางวัลมาให้เจ้าก็แล้วกัน
บทที่ 113 เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่คว้ารางวัลมาให้เจ้าก็แล้วกัน
ผู้คนที่มาทายปริศนาโคมไฟ เพียงเห็นเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ก็บอกได้ว่าส่วนใหญ่เป็นบัณฑิต
บางคนทายเพื่อให้หญิงงามประทับใจ บางคนใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถของตน
“เสี่ยวเป่าชอบอันใด?”
หนานกงหลีกวาดตามองโคมไฟหลากหลายสีสัน พลางนึกอยากจะให้หลานสาวตัวน้อยสักหนึ่งดวง
เสี่ยวเป่าชี้โคมไฟรูปกระต่ายดวงหนึ่ง
“อันนั้น อันนั้นสวย!”
แน่นอนว่า โคมไฟม้าวิ่งซึ่งเป็นรางวัลใหญ่นั้นโดดเด่นและสวยงามที่สุด แต่ส่วนใหญ่จะดึงดูดสายตาผู้ใหญ่ พวกเด็ก ๆ จะชอบโคมไฟรูปสัตว์รูปดอกไม้เล็ก ๆ
หนานกงหลีหุบพัดในมือ “ได้ เช่นนั้นต้องให้พี่ใหญ่ของเจ้าคว้ารางวัลมาให้!”
หนานกงฉีซิว “…”
เหล่าบุตรชาย “…”
ท่านไม่อายบ้างหรือไร ไยถึงกล้าเชิดหน้าเอ่ยอย่างมั่นใจเช่นนั้น คนที่ไม่รู้ความจริงคงคิดว่าท่านจะทายปริศนาโคมไฟนั่นเสียเอง!
หนานกงฉีซิวยิ้มเจื่อน ไม่เกินความคาดหมายของเขาเลยจริง ๆ
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านต้องการทายปริศนาโคมไฟหรือไม่ขอรับ?”
หนานกงฉีซิวพยักหน้า “เราต้องการทายปริศนาโคมไฟเพื่อโคมไฟกระต่ายน้อยดวงนั้น”
การทายปริศนาโคมไฟจะมีจำนวนและความยากง่ายในการทายแตตกต่างกันไปตามระดับฝีมือและความประณีตของโคมไฟที่ผู้ทายหมายตา
โคมไฟธรรมดาบางดวงแค่ต้องทายถูกสามถึงห้าปริศนาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป
แต่หากต้องการโคมไฟที่ทำด้วยความประณีตจากผู้มีฝีมือ ก็ต้องทายปริศนาโคมไฟมากขึ้น และความยากจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
ดังเช่น หากอยากได้โคมไฟที่โดดเด่นที่สุดจะต้องทายปริศนาโคมไฟให้ถูกห้าสิบปริศนา และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับงานวัด จำเป็นต้องผ่านทั้งสองอย่างถึงจะได้โคมไฟนั้นไปครอบครอง
โคมไฟกระต่ายที่เสี่ยวเป่าต้องการนั้นถือเป็นหนึ่งในรางวัลใหญ่ จำเป็นต้องทายปริศนาโคมไฟให้ถูกยี่สิบปริศนา
“ไม่ทราบว่าท่านใดจะเป็นผู้ทาย?”
การทายปริศนาโคมไฟนี้มีกฎว่าไม่สามารถเปลี่ยนคนทายกลางคันได้
ทันทีที่เจ้าของร้านเอ่ยจบ ก็พบว่าเหล่าคุณชายสวมชุดหรูหราต่างมองไปยังชายหนุ่มบนรถเข็นอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของชายหนุ่มที่สวมหน้ากากแมว ทว่าเพียงเห็นใบหน้าครึ่งล่างก็รับรู้ได้ถึงเสน่ห์ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น
อีกทั้งยังมีท่าทางที่ดูไม่เหมือนคนธรรมดา
พอเห็นว่าเป็นคุณชายผู้นี้พยักหน้า พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ข้าเอง”
“ได้ เช่นนั้นเริ่มกันเลยนะขอรับ ปริศนาแรกคือ ‘คำพูดมาก่อน ไม่ยอมเสียที่ดินสักชุ่น’”
หนานกงฉีซิวตอบโดยไม่ต้องคิด “บทกวี*[1]”
“เดินอยู่ด้านบน เป็นอยู่ด้านล่าง”
“เดิน*[2]”
หนานกงฉีซิวตอบเร็วมาก ภายในไม่กี่อึดใจ เขาก็ทายได้สิบกว่าคำถามแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มหยุดดูอย่างสนอกสนใจ
ด้วยความที่หนานกงฉีซิวมีกลิ่นอายความเป็นผู้ดีมีสกุล ต่อให้สวมหน้ากากไว้ครึ่งหน้าก็ไม่อาจบดบังความสง่างามของเขาได้ จนทำให้แม่นางน้อยหลายคนมายืนห้อมล้อมมุงดูเขา
เสี่ยวเป่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หนานกงฉีซิวดวงตาเป็นประกายวิบวับมองพี่ใหญ่ของตนอย่างชื่นชมเช่นกัน
บุตรชายของหนานกงหลีส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ เพียงเท่านี้ก็ถือว่า พวกเขามีส่วนร่วมในการทายปริศนาโคมไฟในครั้งนี้แล้ว
เหล่าชายหนุ่มเห็นว่า หญิงสาวหลายคนเอาแต่จับจ้องชายหนุ่มบนรถเข็นอย่างชื่นชมก็เกิดความอิจฉาจนตาแดงก่ำ
“ทายปริศนาโคมไฟเก่งแล้วอย่างไร ก็แค่คนไร้ค่าบนรถเข็น”
“ถูกต้อง สภาพเช่นนี้ยังจะแข่งขันกับเราเพราะอยากเป็นที่สนใจ”
“สตรีพวกนั้นต้องตาบอดเป็นแน่ คนพิการเช่นนี้ก็ยังชื่นชอบได้ลง เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ!”
บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาดังขึ้น ท่ามกลางผู้คนคับคั่งเสียงเซ็งแซ่เหล่านี้จึงไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ
แต่ต่อให้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้ ๆ จะได้ยิน พวกเขาก็แค่ขยับไปที่อื่น
มีเพียงคนไร้ความสามารถและขี้ขลาดเท่านั้น ที่จะอิจฉาคนมีความสามารถ และการพูดให้ร้ายคนอื่นลับหลังเช่นนี้ ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษเลย ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก
ท่ามกลางฝูงชน มีสายตาเคียดแค้นคู่หนึ่งจับจ้องไปยังเสี่ยวเป่าและพวกพ้อง
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสหายของหนานกงหลีที่พบกันเมื่อวานนี้
ปู้ฉือมาจากครอบครัวฐานะต่ำต้อย เขาได้รับการเสนอให้มาที่เมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ แน่นอนว่าเขาได้รับโอกาสนี้จากการติดสินบน แต่เขาโชคไม่ดีจึงสอบไม่ผ่านและถูกไล่ออกมา ทำให้เขาสูญเสียโอกาสที่จะรับราชการ
เดิมทีเขาควรต้องจากเมืองหลวงหวนคืนสู่บ้านเกิด แต่ปู้ฉือหลงระเริงกับความเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวงจึงไม่อยากกลับไป
เขาเคียดแค้นและพร่ำบ่นถึงความอยุติธรรมในใจว่า ไยต้องเป็นเขาที่โชคร้ายเช่นนี้ ขอเพียงเจ้าหน้าที่ที่เขาเคยติดสินบนยังอยู่ หากเขาติดสินบนอีกครั้ง เขาอาจจะสอบผ่านก็ได้
เขาไม่อยากแบกหน้ากลับบ้านเกิด ปู้ฉือจึงเริ่มคิดหาวิธีที่จะทำให้ตนเองอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ในที่สุด เขาก็พบหนทางจนสร้างเงินก้อนโตได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าหาบรรดาคุณชายผู้ดีมีสกุลพวกนั้น
เขาเป็นคนปากหวานและประจบสอพลอเก่ง ได้ประโยชน์มากมายจากการเอาตัวเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ พวกคุณชายผู้ดีมีฐานะเหล่านั้น หลังจากได้ลิ้มรสความหอมหวานของเงินตรา เขาก็ยิ่งคิดหาวิธีทำให้ตนก้าวหน้ามากกว่านี้
เดิมทีปู้ฉือเป็นคนหน้าบางอย่างยิ่ง แต่เมื่อวานนี้หนานกงหลีทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล อีกอย่างคนผู้นี้ยังมีอำนาจมีฐานะซึ่งแตกต่างจากเขาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่มีต่อหนานกงหลีไว้ในใจ
และเขาก็ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะได้พบกันอีก ซ้ำแล้วคนที่อยู่กับหนานกงหลียังเป็นที่สนอกสนใจของผู้คน และแล้วปู้ฉือก็เหลือบไปเห็นแม่นางสุ่ยเซียนผู้ที่ใจเขาเฝ้าคะนึงหา สายตาเขาจับจ้องร่างแน่งน้อยนั้นด้วยความลุ่มหลง ความเกลียดชังทั้งเก่าและใหม่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ความแค้นที่มีต่อคนพวกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“แพศยา เป็นเพียงหญิงคณิกาชั้นต่ำยังกล้าแสร้งทำตัวเป็นผู้สูงศักดิ์ เห็นบุรุษหน้าตาดีเข้าหน่อยก็แทบก้าวขาไม่ออก”
ปู้ฉือจ้องสตรีนางหนึ่งที่มีผ้าคลุมบนใบหน้างามพลางก่นด่าในลำคอ ทว่าความโลภในแววตายิ่งฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ
เขามองซ้ายมองขวา ในที่สุดแววตาละโมบก็หรี่ลงมองเด็กหญิงตัวน้อยผู้งดงามราวกับหยกที่อยู่ข้าง ๆ หนานกงฉีซิว
เสี่ยวเป่าซึ่งกำลังปรบมือให้พี่ชาย จู่ ๆ ก็สังหรณ์ใจ นางรีบหันมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึ
ปู้ฉือลอบสบถออกมาพลางแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน แล้วหายตัวไปในที่สุด
“เป็นอันใดไป?”
และแล้วโคมไฟรูปกระต่ายก็มาอยู่ตรงหน้านาง เสี่ยวเป่าลืมความไม่สบายใจเมื่อครู่ไปทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพี่!”
แสงไฟจากโคมไฟในยามค่ำคืนกระทบกับผิวขาวราวกับหยก เสี่ยวเป่าผู้บอบบางราวกับเทพธิดาตัวน้อยลงมาจุติยังโลกมนุษย์ จึงกลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้ ความสนใจของผู้คนอยู่ที่ชายหนุ่มบนรถเข็น ทว่าตอนนี้ความสนใจทั้งหลายกลับเบี่ยงเบนมาอยู่ที่คนตัวเล็ก
“แม่นางน้อยหน้าตาดีจริง ๆ คุณชายน้อย พวกท่านโปรดระวังด้วย ช่วงเวลานี้ของทุกปีจะมีโจรใจมารจับตัวเด็ก ๆ ไป โดยเฉพาะเด็กหน้าตาดีจะถูกจับจ้องมากที่สุด”
ท่านป้าผู้มีน้ำใจเห็นเสี่ยวเป่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
หากต้องสูญเสียเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้ไป คนที่บ้านนางย่อมต้องทุกข์ใจเป็นอย่างมากแน่
เพียงดูการแต่งตัวก็รู้ได้แล้วว่านางได้รับการเลี้ยงดูมาดีเพียงใด เห็นได้ชัดว่าคนที่บ้านรักนางมาก
หนานกงฉีซิวกุมมือคำนับ “ขอบคุณมากที่เตือนพวกเรา”
เสี่ยวเป่าเองก็รู้มารยาทจึงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสดใสไร้เดียงสา “ขอบพระคุณเจ้าคะท่านป้า ข้าจะเชื่อฟังพี่ชาย”
ทว่าจู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงกระแอมมาจากด้านข้าง หนานกงหลีจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด เสี่ยวเป่าก็รีบพูดอย่างเร็วไว
“ข้ายังมีท่านอาที่เก่งกาจมาด้วยเจ้าค่ะ”
หนานกงหลีพอใจมาก คนตัวเล็กตอบได้ดีทีเดียว
หลังจากบอกลาท่านป้าใจดีแล้ว เสี่ยวเป่าก็ถือโคมไฟรูปกระต่ายดวงเล็กเดินตามญาติพี่น้องอยู่ใกล้ ๆ มุ่งหน้าไปที่วัดต้ากั๋ว
หนานกงฉีซิวเดินขึ้นไปเองไม่ได้ เขาจึงถูกหามขึ้นนั่งบนเสลี่ยงนุ่ม ๆ
แม้แต่ตอนที่ถูกยกตัวขึ้น เขายังคงนั่งหลังตรงราวกับต้นสนเขียวขจี ท่าทางไม่เหมือนคนที่กำลังเสวยสุข ชายหนุ่มกลับดูเหมือนเทพเซียนที่กำลังบำเพ็ญเพียรในภาพวาด
[1] ปริศนาแรกคือ คำพูดมาก่อน ไม่ยอมเสียที่ดินสักชุ่น (有言在先寸土不让) ตอบ บทกวี อธิบายได้ดังนี้ คำว่า บทกวี (诗) ประกอบขึ้นจากสามส่วน คือ 讠 สื่อถึงคำพูด 土 แปลว่าที่ดิน และ 寸 แปลว่า ชุ่น
[2] ปริศนาที่สองคือ เดินอยู่ด้านบน เป็นอยู่ด้านล่าง (上头去上头,下头是下头) ตอบ เดิน อธิบายได้ว่า เมื่อเอาส่วนประกอบบนของคำว่า เดิน (去) และส่วนประกอบล่างของเป็น (是) มารวมกันจะได้ 走 ที่แปลว่า เดิน