เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 117 พบตัวแล้ว
บทที่ 117 พบตัวแล้ว
บทที่ 117 พบตัวแล้ว
ณ จวนจิ้นอ๋อง
หนานกงฉีซิวเองก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเกลียดตนเองที่เดินไม่ได้
“เสด็จพ่อไปแล้วหรือ?”
หนานกงฉีซิวรออยู่ที่ประตูจวนจิ้นอ๋อง เฝ้ามองถนนข้างหน้าอยู่เงียบ ๆ ผู้คนรอบกายเขาพลอยรู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย
“ฝ่าบาทกับเซียวเหยาอ๋องออกเดินทางแล้ว องค์ชายทรงอย่ากังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีซิวส่งเสียงฮึดฮัด นิ้วเรียวงามที่วางบนขาทั้งสองเผลอจิกลงไปเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เข้าข้างในกันเถอะ แล้วก็ช่วยเตรียมของทำโคมไฟให้ข้าที”
ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถช่วยได้
หนานกงสือเยวียนดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด เขาสั่งให้คนปิดล้อมเส้นทางที่ผึ้งนำทางมา
ผู้คนต่างหวาดกลัวและหลบอยู่ในบ้านเรือน
ในเวลาเดียวกัน พอพวกค้ามนุษย์ได้ข่าวก็ตกตะลึงพรึงเพริดทันที
“ทหารองครักษ์ ทหารองครักษ์มาที่นี่ได้อย่างไร!”
“คนที่เจ้าให้เราจับมาเป็นผู้ใดกันแน่!!!”
หนึ่งในนั้นหัวเสียอย่างหนัก คว้าคอเสื้อปู้ฉือมาตะคอกถามด้วยความโกรธ
ปู้ฉือที่ตกใจไม่ต่างกันเริ่มร้องไห้หน้าตาน่าเกลียด
“ข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เร็วเข้า พาเด็กพวกนั้นออกไปทางประตูหลัง หากพวกมันดื้อด้านนักก็จัดการซะ!”
ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าสั่งเสียงเข้ม ให้ลูกน้องไปนำเด็กทั้งหมดออกมาหมายจะพาหลบหนี
“ปล่อยนะ ปล่อยพวกเรา!”
“อย่าส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งซะ!”
ชายผู้หนึ่งตะคอกเสียงดัง พอเห็นเด็กทั้งสี่เงียบเสียงลง เขาคิดว่าพวกเด็ก ๆ หวาดกลัวจึงรีบพาตัวเด็กทั้งสี่ไปที่ประตูหลัง
เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้มีท่าทีลุกลี้ลุกลน เด็กทั้งสี่ก็เดาได้ทันทีว่าจะต้องมีคนมาช่วยพวกเขาแล้วเป็นแน่ นี่ทำให้เด็กทั้งสี่ลอบดีอกดีใจอยู่ในใจ
ตอนนี้พวกเขากำลังเดินอยู่บนถนนที่ทั้งแคบและมืด พวกค้ามนุษย์จำนวนหนึ่งกำลังรีบหนีไปพร้อมกับเด็กสี่คน ไล่หลังมาเป็นเหล่าองครักษ์เงา ซึ่งเคลื่อนไหวว่องไวราวกับปีศาจร้ายที่หนานกงสือเยวียนพามาด้วย
“เมี้ยว!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงแมวร้องขู่ดังขึ้น พวกโจรใจมารหาได้สนใจ แต่ไม่นานก็มีคนรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนลูกพี่”
ชายคนนั้นลอบกลืนน้ำลาย เหงื่อเย็นไหลพลั่ก ฟันสั่นกระทบกันดังกึก ๆ
“เกิดบ้าอันใดขึ้น!”
ชายผู้มีรอยแผลเป็นแผดเสียงถามอย่างหมดความอดทน
“หมา…หมาแมวเยอะมาก”
“ก็แค่ไม่กี่…”
ยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็ตัวแข็งทื่อ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้วเพราะมันไม่ได้มีเพียงไม่กี่ตัว
บนถนนตรงหน้ามีสุนัขจรจัดมากกว่าสิบตัวขวางอยู่ พวกมันกำลังจับจ้องมา ท่าทางดุร้ายพร้อมกัดฟันแยกเขี้ยว ในขณะที่ดวงตาดุร้ายกวาดมองพวกเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ บรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มแปลกประหลาดขึ้น
“มี…มีพวกเดรัจฉานเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร”
ทุกคนลอบกลืนน้ำลาย เพราะรู้สึกว่าวันนี้มีบางอย่างที่แปลกไป
พวกค้ามนุษย์ที่ทำเรื่องต่ำช้าเลวทรามโดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ตอนนี้กลับรู้สึกขนหัวลุกซู่ สีหน้าซีดเซียวแทบไร้สี
“หรือ…หรือว่าจะเป็นผี”
ทันทีที่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ คนที่เหลือก็แทบคุมสติตนเองไว้ไม่ได้แล้ว แม้แต่เงาต้นไม้ข้างถนนที่พลิ้วไหวตามสายลม พวกเขายังมองว่าเป็นเงาภูตผีปีศาจ
คนเหล่านั้นต่างหวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก เนื้อตัวเปียกโชกด้วยเหงื่อเย็น ๆ ที่แทรกซึมเข้าไปถึงไขกระดูก
“เหลวไหล ใต้หล้านี้มีผีที่ไหนกัน!”
หัวหน้าผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าดุเสียงเข้ม แต่ในความเป็นจริงเขาก็กลัวเช่นกัน
ที่แปลกกว่านั้นคือมีเงาดำแวบไปแวบมาด้านหลังพวกเขา
“ผู้ใด!”
เดิมทีคนพวกนี้ก็กลัวอยู่แล้ว พอเห็นอย่างนั้นยิ่งขนลุกขนพอง สายตาล่อกแล่กมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางหวาดผวา
เงาดำโรยตัวจากบนอากาศลงสู่อีกด้านหนึ่งของถนน ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำ ท่าทางเย็นชาจนบรรยากาศรอบข้างเย็นลงทันตา ดวงเนตรดำทมิฬจดจ้องกลุ่มคนตรงหน้าราวกับอสูรร้าย
“อ๊าก!!! ผี!!!”
“ส่งคนมา”
น้ำเสียงเยือกเย็นของหนานกงสือเยวียนเจาะเข้าไปในกระดูกคนทั้งหลายทีละคน ท่ามกลางราตรีกาลที่ท้องฟ้ามืดมน ทว่าใบหน้าคนพวกนั้นกลับซีดเผือดราวกับกระดาษเพราะความหวาดกลัว
แต่เสียงของหนานกงสือเยวียนก็ทำให้พวกเขารู้ว่าเขาคือคน ไม่ใช่ผี ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นเลย
เพราะเพียงเห็นคนตรงหน้า พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“เจ้า… พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกมันทิ้งเสีย!”
พวกคนร้ายจับตัวเด็กทั้งสี่มาไว้ข้างหน้าพลางขู่ผู้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่
ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความกลัวและความตึงเครียด ในหมู่คนร้ายไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ที่ใกล้เข้ามา
จนกระทั่งโดนผึ้งต่อยมือข้างที่ถือดาบ ถึงได้พานพบกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนได้
“อ๊าก!!! เจ็บจะตายแล้ว!”
ดาบคมปลาบร่วงลงกระทบพื้นดินจนเกิดเสียงดังเป็นสัญญาณบางอย่าง แมวบนกำแพงกระโดดลงมาอย่างว่องไว ใช้อุ้งเท้าที่มีอาวุธเป็นเล็บแหลมคมข่วนใบหน้าและมือของคนพวกนั้น
เกิดเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง เสี่ยวเป่าที่ไร้คนจับกุมแล้วทำท่าเหมือนจะล้มลง
ในระหว่างที่เสี่ยวเป่าคิดว่าตนเองจะต้องล้มไปกองที่พื้นแล้ว นางก็ถูกคว้าตัวเข้าหาอ้อมกอดที่คุ้นเคยเสียก่อน
หนานกงสือเยวียนเคลื่อนไหวว่องไวราวกับปีศาจเข้าไปคว้าตัวธิดาตัวน้อยที่กำลังจะล้มลงทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็ถีบชายที่จับตัวเสี่ยวเป่าเมื่อครู่จนตัวลอยออกไป
เป็นการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก
แต่ก็เสียดายกำแพงนิดหน่อย เพราะคนผู้นั้นถูกถีบกระเด็นจนร่างลอยไปปะทะเข้ากับกำแพงจนมันพังครืน เป็นหรือตายไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ตอนนี้สุนัขป่าแมวป่าต่างแยกย้ายกันเข้าไปในป่าแล้ว เหลือเพียงพวกคนร้ายที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น และร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
จะว่าน่าอนาถก็น่าอนาถจริง ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดเห็นใจ
ส่วนเด็กสามคนที่เหลือยังมีความโมโหเต็มเปี่ยมจึงใช้เท้าเล็ก ๆ เตะคนพวกนั้นเพื่อระบายอารมณ์
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องมาช่วยเสี่ยวเป่า!”
เด็กน้อยยิ้มกว้างพลางกอดคอท่านพ่อแล้วถูไถใบหน้าเล็ก ๆ เพื่อออดอ้อน
“กลัวหรือไม่?”
แววตาเย็นชาของหนานกงสือเยวียนอ่อนลงทันทีที่ถูกคนตัวเล็กในอ้อมแขนออดอ้อน เขาลูบผมนางแผ่วเบาพลางเอ่ยถาม
เจ้าก้อนแป้งส่ายหัวพร้อมยืดอกท่าทางองอาจกล้าหาญ “เสี่ยวเป่าไม่กลัว!”
สถานการณที่นี่อยู่ในการควบคุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงเกือกม้าดังมาจากด้านหลังถนนแคบ ๆ นี้ เป็นหนานกงหลีและคนอื่น ๆ ที่เพิ่งมาถึง
“เสี่ยวเป่าเล่า เสี่ยวเป่าอยู่ที่ใด?”
เมื่อเด็กน้อยได้ยินเสียงท่านอาเจ็ดก็รีบโบกมือน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ
“ท่านอาเจ็ด เสี่ยวเป่าอยู่นี่”
เสียงเล็ก ๆ ที่แสนนุ่มนวลจากเจ้าก้อนแป้ง เรียกความสนใจของหนานกงหลีได้ในทันที เขารีบวิ่งมาทางที่หนานกงสือเยวียนยืนอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บที่ใดบ้าง ตกใจกลัวหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ท่านอาเจ็ด เสี่ยวเป่าไม่เป็นอันใดเลย”
นางพูดพลางหาวก่อนจะซบหน้าลงที่ไหล่ท่านพ่อ ดวงตาคู่งามเริ่มลืมแทบไม่ขึ้น “แค่ง่วงนอน”
หนานกงสือเยวียนลูบหลังนางเบา ๆ “นอนเถิด”
หลังจากที่วิ่งวุ่นใช้เรี่ยวแรงมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้เสี่ยวเป่าง่วงมาก นางหาวนอนอีกครั้งก่อนจะผล็อยหลับซบบนไหล่ของท่านพ่อ
แต่ก่อนนางจะหลับไป ก็เหมือนจะเห็นท่านอาเจ็ดถกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะเดินไปทุบตีใครสักคน
และสิ่งที่นางเห็นก็ถูกต้องทุกประการ หนานกงหลีม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปตีใครบางคนด้วยฝักดาบ
เขาไม่มีวรยุทธ์ก็จริง แต่ในฐานะที่เป็นท่านอ๋องเจ้าสำราญ ผู้ได้ชื่อว่าผ่านเรื่องชกต่อยมามากมาย แรงที่เขาใช้ทุบตีจึงหนักหน่วงจนคนร้ายพวกนั้นต้องร้องโอดโอย
ทว่าจู่ ๆ หนานกงหลีก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นท่ามกลางเสียงคนพวกนั้น
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจำไม่ได้ แต่วันก่อนเขาเพิ่งทะเลาะกับไอ้สุนัขนี้มา
หนานกงหลีพลิกตัวชายที่ถูกข่วนจนหน้าลายดูแทบไม่ได้ขึ้นมา เขาพลันหรี่ตามองชายผู้นั้นด้วยสายตาเหี้ยมโหด
ปู้ฉือหดคอลง ความเจ็บปวดทางร่างกายและสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
บัดนี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่าคนที่เขาท้าทายอยู่…แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นใด!