เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 119 ผลลัพธ์
บทที่ 119 ผลลัพธ์
บทที่ 119 ผลลัพธ์
ครั้งนี้ไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น แต่หนานกงสือเยวียนยังคงรู้สึกแปลก ๆ ในใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
จะมีแมวและสุนัขจำนวนมากขนาดนั้นมาขัดขวางผู้ค้ามนุษย์เหล่านั้นได้อย่างไร?
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เสี่ยวเป่า
เด็กน้อยยังคงดูรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ก็มองกลับมาที่ท่านพ่ออย่างไร้เดียงสา
ทันใดนั้นเอง หนานกงหลีก็เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด “หากกล่าวถึงเรื่องนี้แล้วก็เป็นความผิดของข้าเอง ปู้ฉือเพ่งเล็งมาที่เสี่ยวเป่าเพราะโกรธและอับอายที่ข้าทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายในวันก่อนหน้านั้น”
จากการสอบสวนของศาลต้าหลี่ คนขี้ขลาดเช่นปู้ฉือเพียงโดนตีไม่กี่ครั้งก็ยอมเล่าทุกอย่างออกมา
เสี่ยวเป่าจับมือของท่านอาเจ็ดแล้วเอ่ยปลอบเสียงหวาน
“ไม่ใช่ความผิดของท่านอาเจ็ดหรอกเพคะ เป็นพวกเขาที่ไม่ดีต่างหาก”
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ตำหนิที่เขาไปมีปากมีเสียงกับผู้อื่น ทั้งยังไม่ได้โกรธด้วย เรื่องวันนั้นถูกเขาตรวจสอบอย่างกระจ่างชัดเรียบร้อยแล้ว หากวันนั้นหนานกงหลีอดทนไม่กล่าวอันใดออกมา เขาคงเกิดความคิดอยากจะตีคนแน่นอน
ทว่าเขายังคงมีโทสะและต้องหาคนระบายออก
“คนก็ยังไม่รู้จักดียังจะออกไปมั่วสุมด้วย!”
หนานกงหลียอมรับความผิดอย่างว่าง่าย
เพราะพวกค้ามนุษย์เหล่านั้นจับตัวองค์หญิงน้อยของราชวงศ์ไป นี่ไม่ใช่เพียงการเตะแผ่นกระดานเหล็ก แต่เป็นการถือแผ่นเหล็กที่ร้อนจนกลายเป็นสีแดงทุ่มใส่ตัวเอง
ดังนั้นการสอบสวนของศาลต้าหลี่จึงจริงจังและรวดเร็วเป็นพิเศษ ทั้งสิบแปดชั่วโคตรของพวกเขาล้วนถูกตรวจสอบอย่างละเอียด สิ่งเลวทรามที่พวกเขาทำลงไปทั้งหมดย่อมต้องถูกตรวจพบเช่นกัน
คนเหล่านี้มารวมตัวกันเพราะต้องการลักพาตัวเด็กและสตรีไปขาย มีทั้งคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ใฝ่ต่ำไม่ยอมทำงานทำการ มีทั้งมิจฉาชีพนอกกฎหมาย
ปู้ฉือเป็นข้อยกเว้นเดียวในหมู่พวกเขา คนผู้นี้เกือบจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเสี้ยวเหลียน*[1]ที่มาจากครอบครัวผู้ดียาจก แต่กลับไปคลุกคลีอยู่กับพวกค้ามนุษย์ นี่นับเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าของการแต่งตั้งเสี้ยวเหลียนและครอบครัวจริง ๆ
ยิ่งเหล่าบัณฑิตจากครอบครัวยากจนได้ยินเรื่องนี้เข้า ต่างพากันเลือดลมพลุ่งพล่าน จากนั้นก็วิ่งตรงไปยังประตูของศาลต้าหลี่เพื่อก่นด่าปู้ฉือ หากมีผู้ไม่รู้ผ่านมาคงคิดว่าระหว่างพวกเขามีความเกลียดชังบาดหมางกันลึกซึ้งเสียแล้ว
ศาลต้าหลี่มองงานที่ทำสำเร็จด้วยความยินดี ก่อนจะเพิกถอนสิทธิ์บัณฑิตจากตระกูลยากจนของปู้ฉือออก ลดขั้นให้กลายเป็นสามัญชนทันที พร้อมทั้งคุมขังตัวเขาเอาไว้
ระหว่างการสอบสวนปู้ฉือยังได้ปริปากเล่าต้นสายปลายเหตุออกมาเองว่าเขาเข้าร่วมการค้ามนุษย์ได้อย่างไร
ปรากฏว่า เดิมทีหลังจากขุนนางได้แนะนำเขา แต่กลับไม่ผ่านเกณฑ์และถูกส่งออกมา เขาก็เศร้าซึมหมดอาลัยตายอยากเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้น เขามักจะไปเล่นพนันและเที่ยวซ่องโสเภณีอยู่บ่อย ๆ เหตุผลเป็นเพราะเขาไม่ต้องการกลับไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลของเขา
แต่ปู้ฉือไม่มีเงินติดตัว ทำให้ต้องคิดหาทางเลี้ยงชีพตนเองในเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ อีกอย่างเขาเป็นบัณฑิต ไม่สามารถทำงานที่ต้องลงแรงหนักได้แน่นอน ไปขายภาพวาดภาพอักษรด้วยระดับของเขาแล้วก็ทำให้ผู้คนไม่แม้แต่จะชายตามอง จะคัดลอกตำราก็ได้เงินช้า ซ้ำยังไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ครั้งหนึ่งเขาบังเอิญเห็นแม่เล้าซื้อขายเด็กผู้หญิงกับชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งด้วยราคาประมาณสามสิบถึงห้าสิบตำลึงเงิน ปู้ฉือได้เห็นเงินจำนวนมากเช่นนี้จึงเห็นลู่ทางขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น เขาก็พบวิธีตามหาพวกค้ามนุษย์เพื่อทำงานร่วมด้วย เขามีหน้าที่ติดต่อกับเหล่าคุณชายตระกูลร่ำรวยในเมืองหลวงเพื่อมองหาเด็กหน้าตาดี และรวบรวมข้อมูลกับตรวจสอบลู่ทาง ปล่อยให้คนอื่นมีหน้าที่ในการลักพาตัว
เด็กของตระกูลร่ำรวยเนื้อตัวย่อมขาวสะอาดสะอ้านน่ามอง ราคาที่ขายได้ก็ย่อมสูงตามไปด้วย
อีกทั้งพวกเขายังมุ่งเป้าไปที่บุตรและบุตรีสายรองที่ไม่ได้รับความรักความเอ็นดูของตระกูลร่ำรวย ในยุคสมัยนี้ทั้งคนเลวและดีอยู่ปะปนกันไปทั่ว กว่าจะพบว่าคนหายตัวไปรวมเวลาคนไปแจ้งกับทางการ พวกเขาก็หนีไปได้นานแล้ว
หลังจากลงมือสำเร็จได้ลิ้มลองความหอมหวานหลายครั้ง คนเหล่านี้ก็เริ่มมีความหาญกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าเมื่อเดินริมน้ำประจำมีหรือรองเท้าจะไม่เปียก เรือที่ไม่เคยล่มก็ยังโดนคลื่นยักษ์ซัดคว่ำได้
แม้กระทั่งซ่องโสเภณีที่ปู้ฉือเอ่ยถึงยังถูกยึดและตรวจสอบ พบว่าด้านในมีเด็กหญิงหลายคนที่ถูกขายเข้ามา
ไม่เพียงแค่นั้น มือของพวกเขายังเปื้อนชีวิตคนอีกด้วย
เด็กและสตรีบางคนที่ถูกจับมาบางครั้งก็ดื้อรั้นและเสียงดังเกินไป ทำให้ถูกพวกเขาทุบตีจนตายโดย ‘ไม่เจตนา’ หรือไม่ก็มีบางคนตายเพราะได้รับยาสลบเกินขนาด
ด้วยเหตุนี้ ศาลต้าหลี่จึงพิพากษาโทษร้ายแรง แต่ด้วยเจตจำนงขององค์ฮ่องเต้ โทษประหารจึงถูกเลื่อนออกไปสองปี
และในช่วงสองปีนี้ พวกเขาจะต้องถูกส่งไปเหมืองหินเพื่อใช้แรงงานอย่างหนัก
การสังหารให้ตายในดาบเดียวออกจะเป็นเรื่องสบายไปสำหรับพวกเขา
ทุกคนต่างปรบมือโห่ร้องยินดีกับคำตัดสิน
เมื่อผู้พิพากษาศาลต้าหลี่มารายงานคำตัดสิน เสี่ยวเป่าเองก็อยู่ด้วย อย่างไรเสียนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เด็กน้อยจึงรบเร้าท่านพ่อ เพราะอยากรู้ผลของคดี จึงได้มาอยู่ข้างกายท่านพ่อเช่นนี้
และพอรู้ว่าคนเลวเหล่านั้นถูกลงโทษอย่างสมควรแล้ว เสี่ยวเป่าก็ถามอีกคำถามขึ้นมา
“เช่นนั้น เด็กสามคนที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาพร้อมกับข้าได้กลับบ้านกันแล้วหรือยัง”
“เรียนองค์หญิงเก้า เด็กทุกคนล้วนถูกครอบครัวของตนเองพากลับไปแล้ว ทว่า…”
เสี่ยวเป่ามองเขาตาแป๋ว
“เรื่องของเด็กที่ชื่อว่าโจวเหยียนมีลับลมคมในอยู่บ้าง มีคนค้ามนุษย์ผู้หนึ่งกล่าวว่า เป็นบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งของตระกูลโจวที่ร่วมมือกับพวกเขา ใช้ประโยชน์จากงานวัดครั้งนี้จงใจพาคนออกมาให้พวกเขาลักพาตัวไป”
เสี่ยวเป่าโกรธจนแก้มพองเป็นซาลาเปา “เหตุใดจึงเลวทรามเพียงนี้! เป็นผู้ใดกัน!”
“คนของเราตามสืบเสาะไปถึงตระกูลโจวเพื่อตามหาคน แม้จะพบตัว แต่สาวใช้ผู้นั้นก็ฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว นางเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของโจวเหยียน ซ้ำยังเป็นผู้พาโจวเหยียนออกไปงานวัดอีกด้วย ก่อนฆ่าตัวตายนางได้เขียนคำสารภาพถึงสาเหตุที่ตนเองลงมือเช่นนี้”
เหตุผลที่เขียนเอาไว้นั้นไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง นางสารภาพว่าตนเองเคยขโมยเงิน และมีครั้งหนึ่งที่บังเอิญถูกนายน้อยเห็นเข้า แม้นางจะเอ่ยตบตาหลอกลวงไปแล้ว แต่ก็ยังคงกลัวถูกเปิดโปงอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดความคิดหาญกล้าเช่นนี้
หนานกงหลียิ้มเย้ย “เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีปัญหาตั้งแต่แวบแรก”
ในที่นี้นอกจากเสี่ยวเป่าที่ยังเด็กจึงไม่รู้เรื่องราวแล้ว ทุกคนล้วนรู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เอ่ย “การฆ่าตัวตายของสาวใช้มีช่องโหว่มากเกินไป แต่ตอนนี้ยังไม่อาจตรวจพบสิ่งใด”
หนานกงสือเยวียน “ตรวจสอบต่อไปเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตระกูลโจว…
แม้ตระกูลโจวจะไม่ใช่ตระกูลขุนนาง แต่ก็เป็นถึงตระกูลพ่อค้ารายใหญ่ของเมืองหลวง นับได้ว่าเป็นตระกูลเศรษฐีที่มีชื่อเสียง
คนตระกูลโจวค่อนข้างเรียบง่ายสุภาพอ่อนโยน จึงมีชื่อเสียงดีงามในหมู่ชาวบ้าน
แต่ตระกูลโจวนั้นมีสมาชิกอยู่เพียงน้อยนิด ประมุขตระกูลโจวแต่งภรรยาสองคน ภรรยาคนปัจจุบันเพิ่งแต่งเข้ามาในภายหลัง ส่วนโจวเหยียนนั้นเกิดกับภรรยาคนก่อนของเขา
เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายคนเดียวในตระกูล ทุกคนจึงรักประคบประหงมเขาอย่างถึงที่สุด เวลาปกติส่วนมากก็จะใช้ไปกับการอยู่ข้างกายปู่ย่า
ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้นกับโจวเหยียน ตระกูลโจวทั้งหมดตามหาคนด้วยความเร่งร้อนวุ่นวาย ยังดีที่หลังจากนั้นศาลต้าหลี่หาตัวคนพบ
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่กลับกลายเป็นการวางแผนโดยเจตนา
เมื่อได้ทราบข้อมูลนี้แล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองที่รักเอ็นดูหลานชายก็โมโหจนแทบลมจับระหว่างกอดหลานชายที่ร้องไห้อย่างหนัก
“ตรวจสอบ! หาคนที่ต้องการจะทำร้ายหลานชายของข้าให้ได้!”
ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมองไปทางแม่เลี้ยงของโจวเหยียนด้วยความสงสัย แต่หลังจากโจวเหยียนหายไปนั้น นางเป็นกังวลยิ่งกว่าผู้ใด กังวลกระทั่งเป็นลมหมดสติไป
ทว่าด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พบว่าตัวนางนั้นตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว อีกทั้งสิ่งแรกที่นางทำตอนฟื้นขึ้นมาคือการถามหาโจวเหยียน ความห่วงใยนั้นดูไม่เหมือนการเสแสร้งแต่อย่างใด
[1] เสี้ยวเหลียน (孝廉) นั้นก่อนการสอบจอหงวน ในอดีตใช้ระบบฉาจวี่ (察举) เป็นการใช้ข้าราชการประจำท้องที่ตรวจสอบคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม แล้วส่งเสนอชื่อไปทางราชสำนักเพื่อพิจารณาเข้ารับราชการ ผู้ได้รับการเสนอผ่านจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเสี้ยวเหลียน ที่ประกอบด้วยคำว่า กตัญญู (孝) และสะอาดสุจริต (廉) ตามคุณสมบัติที่ใช้ในการคัดเลือก