เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 124 พรสวรรค์
บทที่ 124 พรสวรรค์
บทที่ 124 พรสวรรค์
“ส่วนสตรีนางนั้น ก็แค่รอนางคลอดเด็กออกมา ถึงวันที่นางได้ออกจากคุก นางจะได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบาก”
เดิมทีหากนางอยู่ของนางดี ๆ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง โลภมากไม่รู้จักพอ นางก็จะยังเป็นฮูหยินตระกูลโจวมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ต่อให้นางออกจากคุกมาได้ แต่สิ่งนางทำลงไปย่อมทำให้ตัวนางไม่เป็นที่ต้องการของตระกูลเก่า เกรงว่าชีวิตหลังจากนี้คงเลวร้ายยิ่งกว่าตาย
สิ้นประโยคนั้น เจี่ยเจินก็สงบจิตสงบใจลงเล็กน้อย ก่อนจะพาสายตาไปหยุดอยู่ที่เด็กหญิงตัวเล็กที่ยังคงกอดขาตนอยู่
“อยากให้ข้ารักษาพี่ชายเจ้าจริงหรือ?”
เสี่ยวเป่ารีบพยักหน้าหงึก ๆ พลางมองเขาอย่างมีความหวัง
“อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไข”
เสี่ยวเป่ารีบถามทันที “ท่านรีบบอกมา ไม่ว่าสิ่งใดย่อมได้ทั้งนั้น!”
ขอเพียงรักษาพี่ใหญ่ให้หายได้ก็พอแล้ว
เจี่ยเจินหัวเราะหึ ๆ “ตัวแค่นี้ แต่คำพูดคำจากลับใหญ่โตไม่น้อย แล้วหากเจ้าทำตามเงื่อนไขของข้าไม่ได้เล่า?”
เสี่ยวเป่าเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิ “เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อ มีพี่ชายอีกหลายคน แล้วก็มีท่านอาที่เก่งกาจอีกสองคน”
เจี่ยเจิน “…นี่เจ้ากำลังอวดข้าหรือ?”
เสี่ยวเป่าไม่ตอบ
“พรุ่งนี้ข้าจะไปตรวจดูก็แล้วกัน”
เสี่ยวเป่า “ไปตอนนี้เลยไม่ได้หรือ?”
เจี่ยเจินปรายตามองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบร้อนไปไย พี่ชายเจ้าเป็นเช่นนั้นมาตั้งนานนม ไม่ใช่เพิ่งเป็นแค่วันสองวัน”
เสี่ยวเป่าจึงทำได้เพียงระงับความร้อนใจ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับเป็นอันว่านางเข้าใจแล้ว แต่หลังจากนั้น นางก็รีบเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงอาการพี่ใหญ่ ด้วยท่าทางมุ่งมั่นที่จะรักษาขาพี่ชายให้หายดี
เจี่ยเจินจำต้องฟังเสียงของเด็กเล็กอยู่นานสองนาน ทันใดนั้น เขาก็หยิบยาลูกกลอนน้ำตาลออกมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มมีเลศนัยราวกับคนร้ายที่กำลังล่อลวงเด็กน้อย
“อะนี่ ลูกกวาด ข้าจะให้เจ้าลองกินดู”
โจวเหยียนเห็นอย่างนี้ก็ตาลุกวาว “อาจารย์ปู่ ข้าก็อยากได้นะ”
เจี่ยเจิน “ตัวเจ้าแทบไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากมายจนต้องกินมัน”
เสี่ยวเป่าหยิบมันมาจ่อปลายจมูกแล้วทำท่าดมฟุดฟิด ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ท่านมันคนนิสัยไม่ดี เจ้านี่หาใช่ลูกกวาด!”
เจี่ยเจินยืนกระต่ายขาเดียว*[1] ดูเหมือนคนแก่หลายคนจะชอบทำเช่นนี้
“อย่ามาใส่ร้ายข้า เห็น ๆ อยู่ว่ามันมีรสหวาน จะไม่ใช่ลูกกวาดได้อย่างไร ไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ด้วยตนเองเถอะ”
เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย “เช่นนั้นท่านก็เก็บไว้กินเองเถอะ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก นี่มันขนมเด็ก”
“เหอะ! เห็นเสี่ยวเป่าเป็นเด็กสองขวบหรือไร นี่มันยาชัด ๆ!”
ดวงตาของเจี่ยเจินทอประกายวาววับ พร้อมเอ่ยถามนางต่อ “หืม? เช่นนั้นบอกข้าทีว่ามันคือยาอันใด?”
“อ้อยขาว มะแว้งเครือ พลูคาว…”
เสี่ยวเป่าไล่เรียงชื่อสมุนไพรหลายชนิดที่นางรับรู้ได้จากการดมกลิ่นเท่านั้น
ยิ่งนางพูด ดวงตาของเจี่ยเจินก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่ผู้อาวุโสโจวที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยังตื่นเต้น จนเกือบเผลอดึงเคราตนเองหลุดออกมาเป็นกระจุก
พอเอ่ยถึงชื่อสมุนไพรมากกว่าสิบชนิดรวดเดียวแล้ว เสี่ยวเป่าก็ดมกลิ่นอีกครั้งก่อนจะขมวดคิ้วและพึมพำต่ออีกว่า
“เหมือนจะมีอย่างอื่นด้วย แต่ไม่ใช่สมุนไพร”
เจี่ยเจินใจเต้นไม่เป็นส่ำ พยายามเก็บอาการพลางเอ่ยถามเสียงเรียบว่า
“เพียงดมกลิ่น เจ้าก็รู้แล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ท่านนิสัยไม่ดีเลย ถ้าเสี่ยวเป่ากินเจ้านี่เข้าไปแล้วก็จะพูดไม่ได้!”
แม้สมุนไพรแต่ละชนิดในยานี้จะไม่มีพิษ แต่เมื่อถูกผสมเข้าด้วยกันมันก็ทำให้เกิดพิษได้ ถึงอย่างนั้น พิษของยานี้เพียงทำให้คนพูดไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น อีกอย่างเจี่ยเจินก็มียาแก้พิษอยู่ในมือ
พอได้ยินเสี่ยวเป่าพูดเช่นนั้น เจี่ยเจินก็หัวเราะเสียงดัง เหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่เกือบจะพุ่งออกมากันตาเฒ่าผู้นี้ให้ออกห่างจากองค์หญิง
เพียงแต่ตาเฒ่าผู้นี้อาจรักษาอาการป่วยขององค์ชายใหญ่ได้ อีกทั้งยังไม่มีคำสั่งจากองค์หญิง พวกเขาจึงมิอาจลงมือ และทำได้เพียงสังเกตการณ์ต่อไปอย่างอัดอั้นตันใจ
“เจ้าเด็กนี่รู้มากทีเดียว เจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด?”
เสี่ยวเป่ามองเขางง ๆ ดวงตากลมโตใสซื่อคู่นั้นมองเขาราวกับจะบอกว่า ‘เรื่องพวกนี้ข้าจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยหรือ?’
เจี่ยเจิน “…”
เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกหยามหน้า เขาเป็นถึงหมอปีศาจที่ได้ชื่อว่าเป็นเชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่มาวันนี้กลับถูกเด็กน้อยคนหนึ่งหยามหน้า!
จิตวิญญาณแห่งการเอาชนะของชายชราลุกโชนทันที
“หรือเจ้าจะบอกว่าซึมซับความรู้เรื่องสมุนไพรมาจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ข้าไม่เชื่อหรอกนะ!”
เด็กน้อยคิดในใจ ท่านไม่รู้อันใดเสียแล้ว ที่จริงเสี่ยวเป่ารู้เรื่องพวกนี้ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในครรภ์ท่านแม่ด้วยซ้ำ ความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับพืชพันธุ์มีอยู่ในสมองของเสี่ยวเป่าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
“มานี่มา เจ้ามาดูหน่อยว่าพวกนี้เป็นสมุนไพรชนิดใด”
หมอปีศาจไม่ปักใจเชื่อสิ่งใดง่าย ๆ เขาหยิบสมุนไพรที่เตรียมไว้จำนวนมากออกจากถุงผ้าที่พกไปไหนมาไหนด้วย
โจวเหยียนขยับเข้าไปดูด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น ในฐานะที่เขาเป็นทายาทที่ถูกหมายมั่นปั้นมือไว้ว่า ต้องขึ้นเป็นประมุขคนต่อไปของตระกูลโจว ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของคนในตระกูล ทว่าเขาก็เริ่มเรียนรู้การจำแนกสมุนไพรและการปรุงยาสมุนไพรตั้งแต่เขาอายุสามขวบ
ฉะนั้นโจวเหยียนจึงพอจะรู้จักสมุนไพรอยู่บ้าง
ทว่าสมุนไพรที่อาจารย์ปู่นำออกมานั้น เขารู้จักเพียงสองชนิด!
สมุนไพรบางชนิดถูกทำให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ จนไม่เหลือเค้าเดิม บางชนิดก็ถูกหั่นบาง ๆ เดิมทียาสมุนไพรบางชนิดก็มีความคล้ายคลึงกันมากอยู่แล้ว ยิ่งพอถูกทำให้อยู่ในรูปแบบอื่นหรือถูกตากแห้งแล้วละก็ จะยิ่งแยกแยะได้ยาก แม้กระทั่งผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้มาเป็นสิบปีก็ยังมีโอกาสระบุชนิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ เว้นเสียแต่ว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับยาสมุนไพรเท่านั้นจึงจะสามารถระบุชนิดได้ทีละชนิดเช่นนางได้
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปดมกลิ่นสมุนไพรทั้งหมด จากนั้นก็เอ่ยชื่อสมุนไพรออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และนางก็ตอบถูกทั้งหมด!
เด็กน้อยเอ่ยชื่อพวกมันออกมาอย่างใจเย็น แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนั้นกลับตื่นตาตื่นใจกันไม่หยุด
ทว่าสิ่งที่เจี่ยเจินนำออกมานั้น นอกจากยาสมุนไพรแล้วยังมียาที่ทำมาจากกระดูกสัตว์ แมลง รวมไปถึงแร่ธาตุ ซึ่งนางแยกกลิ่นแมลงได้ แต่กระดูกสัตว์นั้นค่อนข้างยาก ส่วนแร่ธาตุนั้นนางไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลย
ถึงกระนั้น นางก็ยังถือเป็นผู้มีพรสวรรค์อันปราดเปรื่องที่เทพเบื้องบน*[2]ประทานให้
พอเสี่ยวเป่าเอ่ยชื่อสมุนไพรที่นางรู้จักจนหมดแล้ว เจี่ยเจินที่กำลังมองเด็กน้อยอึ้ง ๆ ก็ดึงสติกลับมา แล้วหัวเราะร่าพลางปรบมือเสียงดัง
“ดี ๆ ยอดเยี่ยมมาก ฮ่า!!!”
เสี่ยวเป่าขยับตัวออกห่างเขาเล็กน้อย นางมองเจี่ยเจินคล้ายกับกำลังเวทนาอีกฝ่าย
เกิดอันใดขึ้นกับชายชราผู้นี้ คงไม่ใช่ว่าเสียสติไปแล้วหรอกนะ
พอเจี่ยเจินหยุดหัวเราะ เขาก็เอ่ยถามเสี่ยวเป่าว่ารู้วิธีปรุงยาพวกนี้หรือไม่
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าไม่รู้ นางจึงส่ายหัวอย่างไม่ลังเล
นางมีความรู้เรื่องพืชพันธุ์ เพราะมันเป็นความสามารถที่ภูตพฤกษาตัวน้อยมีอยู่แล้ว
“ข้ารับปากว่าจะรักษาขาพี่ชายเจ้า และตอนนี้ข้าก็คิดเงื่อนไขออกแล้ว”
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “ท่านบอกมาได้เลย”
เจี่ยเจินลูบเคราของตนพลางเสนอบางสิ่ง “หากข้ารักษาขาของพี่ชายเจ้าหายดีแล้ว เจ้าจะต้องนับถือข้าเป็นอาจารย์ ข้อเสนอนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เสี่ยวเป่าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ นี่เป็นเงื่อนไขอันใดกัน?
นางมองเจี่ยเจินด้วยสายตาว่างเปล่า “ทำไมต้องให้เสี่ยวเป่าฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย?”
เจี่ยเจินเชื่อมั่นในตัวยาสมุนไพรและมั่นใจในความสามารถของตนมาก พอได้ยินนางถามอย่างนั้น เขาก็เชิดหน้าตอบ
“ก็เพราะว่าข้าจะได้สอนเจ้าปรุงยาอย่างไรเล่า ที่จริงเจ้ากำลังเอาเปรียบผู้อื่นนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้ต้องการฝากตัวเป็นศิษย์ข้า แถวยาวจนออกไปนอกเมืองหลวงเลยก็ว่าได้”
เสี่ยวเป่าเองก็เชิดหน้าขึ้นไม่ให้น้อยหน้าเขา ท่าทางเย่อหยิ่งยิ่งทำให้นางดูฉลาดทันคน ทั้งยังน่ารักน่าชังไม่น้อย
“แต่หนึ่งในนั้นไม่มีเสี่ยวเป่า!”
[1] ยืนกระต่ายขาเดียว หมายถึง การยืนกรานไม่ยอมรับผิด ปากแข็งยืนยันคำพูดเดิม
[2] เทพเบื้องบน ในที่นี้คือ เง็กเซียนฮ่องเต้ เทพเจ้าสูงสุดผู้ปกครองสวรรค์