เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 126 วิธีรักษา
บทที่ 126 วิธีรักษา
บทที่ 126 วิธีรักษา
หนานกงฉีซิวลูบหัวของเขา “เจ้าชื่อโจวเหยียนสินะ”
ถูกพี่ใหญ่ที่หน้าตาดีเช่นนี้ลูบหัว โจวเหยียนก็ส่งเสียงตอบรับออกมาด้วยความตื่นเต้น
เสียงน้อย ๆ ที่ส่งออกมานั้นแหลมสูงเป็นอย่างยิ่ง
โจวเหิง “…”
ขายหน้า ช่างขายหน้าเขาเกินไปแล้ว!
เสี่ยวเป่าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ โจวเหยียนหน้าแดงหดคอตนเองลง เก้อเขินจนต้องไปซ่อนอยู่ด้านหลังพ่อตนเอง
“ช่างไม่ได้เรื่องอะไรเช่นนี้”
เจี่ยเจินก่ายหน้าผากขณะเดินไปอยู่ทางด้านข้างของโจวเหยียน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ขาสองข้างของหนานกงฉีซิวอย่างไม่ลดละ
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังหนานกงฉีซิวมีสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาวาวโรจน์
คนผู้นี้ทำอันใดกัน มาจ้องขาขององค์ชายใหญ่โจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“เส้นลมปราณ*[1]ของขาทั้งสองอุดตัน กระดูกที่หักก็ไม่ได้เชื่อมต่อกันดี”
เขาเพียงมองดู ยังไม่ทันลงมือทำสิ่งใดก็เห็นถึงปัญหา หนานกงฉีซิวกับองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพลันชะงักไปครู่หนึ่ง
เสี่ยวเป่ารีบถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นแล้ว ท่านช่วยดูหน่อยว่าสามารถรักษาท่านพี่ได้หรือไม่”
เสียงนุ่มนิ่มนั้นมีความกระตือรือร้นอยู่เล็กน้อย
ขณะที่เอ่ยนางก็ดึงตัวคนเข้ามาใกล้ จากนั้นเสี่ยวเป่าก็หลีกเปิดทางให้
หนานกงฉีซิวกำที่วางแขนของรถเข็นแน่น เขาเม้มริมฝีปาก มองไปยังผู้อาวุโสที่หน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นตรงหน้า
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาตึงเครียดเสียยิ่งกว่า
“เสี่ยวเป่า” หนานกงฉีซิวเอ่ยเรียกเด็กน้อย
เสี่ยวเป่าตบหน้าผากตนเอง ลืมบอกเรื่องนี้กับพี่ชายไปเสียสนิท
“พี่ใหญ่ เขาบอกว่าตนเองเป็นหมอที่เก่งกาจอย่างยิ่ง สามารถรักษาพี่ใหญ่ได้ พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัวไปนะ เสี่ยวเป่าอยู่ที่นี่แล้ว”
เสียงนุ่มนิ่มของเด็กน้อยเอ่ยโน้มน้าวด้วยความชำนาญเป็นอย่างมาก
หนานกงฉีซิวที่เดิมทีกำลังตึงเครียด แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย คล้ายกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก น้องหญิงของเขานี่ช่าง…
พอโดนเสี่ยวเป่าขัดจังหวะเช่นนี้แล้ว ภายในใจของเขาพลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อต้องเผชิญกับการตรวจของหมอในครั้งนี้ เขาไม่ได้มีอาการต่อต้านดังเช่นครั้งก่อน เพียงแต่ในใจของชายหนุ่มไม่มีความหวังใดอยู่อีกแล้ว
ขาของเขานั้นมีหมอนับไม่ถ้วนเคยตรวจดูแล้ว แต่ล้วนไม่อาจทำสิ่งใดได้
ทุกครั้งที่มีความหวัง ความผิดหวังก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เองก็เป็นเหตุผลให้หนานกงฉีซิวค่อนข้างจะต่อต้านการพบหมอ
ภายในใจของเขานั้นรู้ดีว่าขาของตนรักษาไม่ได้แล้ว
แต่ครั้งล่าสุดที่เสี่ยวเป่าหายตัวไป ตัวเขากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ความรู้สึกไร้ค่านี้ทำให้เขากลับมารู้สึกอยากลุกขึ้นยืนได้เองเป็นครั้งแรก
เจี่ยเจินลูบเคราพร้อมพยักหน้า “ให้ข้าดูเสียหน่อย”
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของเสี่ยวเป่าและสายตาตึงเครียดขององครักษ์ที่อยู่ข้างกาย หนานกงฉีซิวพยักหน้าตกลงอย่างแช่มช้า
เหล่าองครักษ์ต่างโล่งใจ ขณะเดียวกันก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ขอเพียงแค่องค์ชายยินยอมให้หมอดูก็นับว่าดีแล้ว กลัวก็แต่พระองค์จะไม่เต็มใจให้ตรวจรักษา
ห้วงเวลาผ่านมากว่าหนึ่งปีแล้ว ทุกครั้งที่หมอหลวงต้องการเข้ามารักษาก็ล้วนถูกไล่กลับไป ทำได้เพียงให้คนข้างกายเรียนรู้วิธีการนวดกายภาพขา ซึ่งทำให้ขาทั้งสองข้างไม่ลีบเกินไปจนไม่น่าดู
ในที่สุดตอนนี้องงค์ชายใหญ่ก็ยอมเข้ารับการรักษาแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะองค์หญิงน้อย องค์หญิงน้อยนับเป็นดาวนำโชคของเหล่าองค์ชายจริง ๆ!
เจี่ยเจินนั่งย่อตัวลง ก่อนจะม้วนขากางเกงของเขาขึ้น ร่างกายของหนานกงฉีซิวเองพลันเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ขาของเขานั้นไม่น่ามองเป็นอย่างมาก กระทั่งตัวของหนานกงฉีซิวเองยังไม่ต้องการจะมอง
เสี่ยวเป่าอยากเข้าไปใกล้ แต่ถูกฝ่ามือคู่หนึ่งปิดตาเอาไว้
“เสี่ยวเป่า อย่ามอง”
ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนสงบนิ่งมาเสมอ ยามนี้กลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ เอียงศีรษะน้อย ๆ คลอเคลียกับฝ่ามือของพี่ชายก่อนกล่าวออกมาอย่างรู้ความ
“เสี่ยวเป่าไม่มอง พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัว”
ขณะเอ่ยมือเล็ก ๆ ก็ตบมือของพี่ใหญ่ ราวกับกำลังปลอบโยน
หนานกงฉีซิวลูบหัวของนาง “ขอโทษนะ ข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าตกใจกลัว”
เจ้าก้อนแป้งที่ขาวราวหิมะกอดแขนของเขาเอาไว้ ใบหน้าเล็กคลอเคลียกับแผงอกของพี่ใหญ่ประหนึ่งแมวตัวน้อย ขณะเอ่ยว่า “ไม่กลัวหรอกเพคะ พี่ใหญ่จะเป็นเช่นไรเสี่ยวเป่าก็ไม่กลัว!”
เจี่ยเจินกดนิ้วไปยังบริเวณหลายแห่งบนขาของหนานกงฉีซิว ดวงตาหลับลงคล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“กระดูกเชื่อมผิดตำแหน่ง กระดูกที่หักบางส่วนยังฝังอยู่ในเนื้อ เส้นลมปราณเองก็อุดตัน…”
เมื่อเขาเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา หัวใจขององครักษ์พลันเย็นเยียบ
แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าใจคำพูดเหล่านั้นทั้งหมด แต่เพียงแค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี!
หนานกงฉีซิวเม้มปากหลุบตาลง รอยยิ้มขมขื่นยกขึ้นที่มุมปาก ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ผิดหวังอันใดมากนัก
เพราะเดิมทีภายในใจของเขาก็ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้อยู่แล้ว
“ไม่มีทางรักษาได้เลยหรือ?”
องครักษ์ข้างกายหนานกงฉีซิวมีนามว่าเจี่ยเฟิง ถามออกมาด้วยความร้อนใจ เขาเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ แต่เสียงที่เอ่ยกลับติดสะอื้นเล็กน้อย
หนานกงฉีซิวจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว มุมปากกลับมามีรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย ทั้งยังมีกะใจเอ่ยหยอกล้อออกมา
“ไม่เป็นอันใดหรอก ลุกไม่ได้ก็ลุกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าราชวงศ์จะเลี้ยงข้าไม่ได้เสียหน่อย”
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะแนบกับฝ่ามือของพี่ชาย หลังจากนั้นเสียงนุ่มนิ่มก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น
“เสี่ยวเป่าจะเลี้ยงพี่ใหญ่เอง!”
เจี่ยเจินกลอกตาทันที “ร้อนอกร้อนใจอันใดกัน ข้ายังพูดไม่จบเสียหน่อย”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาหลายคู่ต่างหันมามองที่เขาเป็นสายตาเดียว
ลมหายใจที่สุขุมมาตลอดของเจี่ยเฟิงหนักหน่วงขึ้น สายตาจับจ้องไปทางเจี่ยเจิน
“ที่เจ้าพูดเมื่อสักครู่หมายความว่าอย่างไร”
แม้กระทั่งหนานกงฉีซิวยังหัวใจเต้นระรัว นิ้วของเขากำที่วางแขนของรถเข็นแน่นขึ้น
เจี่ยเจินกล่าวออกมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ข้าบอกว่ามีวิธีรักษา แต่…”
วาจาเช่นนั้นชวนให้ผู้คนอยากจะกระชากคอเสื้อเขามาเขย่าแล้วตะโกนถาม แต่อันใด รีบพูดเร็วเข้าเสีย!!!
เสี่ยวเป่าจับชายเสื้อของเขาด้วยความร้อนใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนิ่มว่าง่าย
“อาจารย์~~”
เจี่ยเจินลูบเคราตนแล้วยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
“แต่ข้าจำเป็นต้องผ่าเนื้อเปิดขาเขาออกมา จากนั้นก็เอากระดูกที่แตกหักออกไป ส่วนกระดูกที่คดงอจะต้องถูกทุบแล้วจัดเพื่อให้มันเชื่อมกันใหม่ ระหว่างขั้นตอนนี้เจ้าต้องดื่มหมาเฟ่ยซ่าน*[2] ทว่าหลังจากฤทธิ์ยาหมดก็จำต้องรับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก”
เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้ว เจี่ยเฟิงและองครักษ์คนอื่นต่างลังเลขึ้นมา วิธีรักษาเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ซ้ำยังน่าตกใจเป็นอย่างมาก แค่ได้ยินว่าต้องผ่าเปิดเนื้อก็ชวนให้หนังศีรษะรู้สึกชาวาบแล้ว
ไหนจะมีการหักกระดูกเพื่อจัดใหม่อีก ความเจ็บปวดเช่นนั้น แม้กระทั่งผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเขายังทานทนได้ยาก นับประสาอะไรกับองค์ชายใหญ่
เจี่ยเจินกล่าวต่อ “ยังนับว่าโชคดี แม้เส้นลมปราณจะอุดตันแต่ไม่ได้ถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังมีคนคอยดูแลขาของเจ้า ดังนั้นขาจึงไม่ได้ลีบตาย หากช้ากว่านี้อีกสักครึ่งปี เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยากกว่าเดิมมาก
หลังจากหักกระดูกเพื่อเชื่อมใหม่แล้ว เจ้าจะมีโอกาสลุกขึ้นมาเดินได้กว่าเก้าส่วน ส่วนความเจ็บปวดนั้นไม่น้อยไปกว่าตอนที่ขาของเจ้าถูกทำลาย จะกล้าหรือไม่กล้ารักษาก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง”
เอ่ยจบ เจี่ยเจินก็ปัดมือตัวเอง จากนั้นก็เดินไปนั่งยังเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนเริ่มจิบชาด้วยความสบายใจ
หนานกงฉีซิวกำมือแน่น ขณะเอ่ยถามออกมา “ท่านมั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถเชื่อมกระดูกของข้าได้”
“องค์ชาย!”
[1] เส้นลมปราณ (经脉) คือ ทางเดินของเลือดลมในร่างกายตามความเชื่อของแพทย์แผนจีน
[2] หมาเฟ่ยซ่าน (麻沸散) เป็นสูตรยาที่ฮวาโถว (华佗) หมอที่มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกคิดค้นขึ้น ฮวาโถวได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกศัลยแพทย์ (การผ่าตัด) หมาเฟ่ยซ่านเป็นยาที่ทำให้ไร้ความรู้สึก (ยาชา) ในยามผ่าตัด ทว่าตอนนี้สูตรยาได้หายสาบสูญไปแล้ว