เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 141 กัดกินหัวใจ
บทที่ 141 กัดกินหัวใจ
บทที่ 141 กัดกินหัวใจ
เมื่อแกะสองตัวนั้นถูกนำไปทำความสะอาดจนหมดจด มันก็ดูน่ารักขึ้นมาก ทว่าขนของตัวเมียนั้นออกจะน่าเกลียดไปเสียหน่อย
แม้จะผ่านการอาบน้ำและเช็ดขนจนแห้งแล้ว แต่ก็ยังมีสีน้ำตาลสกปรกอยู่
หนานกงฉีโม่จ้องมองลูกแกะตัวน้อย เขารู้สึกว่าน้องหญิงของเขาน่าจะชอบมัน
และเขาก็ตัดสินใจได้แล้วว่า จะส่งแกะทั้งสองตัวไปยังเมืองหลวงเพื่อเป็นของขวัญจากเขาให้กับน้องหญิงผู้เป็นที่รัก
“ระหว่างทางให้คนตามไปดูแลด้วย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก อย่าทำให้ขนสกปรกเชียว”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีผลไม้พิเศษบางชนิด เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามี่กวา*[1] แล้วก็ยังมีองุ่น ที่แห่งนี้มีองุ่นมากมาย ทว่าองุ่นสดนี้เน่าเสียเร็ว จึงไม่เหมาะที่จะส่งกลับไป
ดังนั้น หนานกงฉีโม่จึงสั่งให้คนบรรจุลูกเกดกลับไปให้น้องหญิงและน้องชายแทน
ซึ่งเขาก็ได้สั่งให้หาผู้มาคุ้มกันหีบห่อเล็กใหญ่เหล่านี้ ก่อนที่จะส่งกลับไปยังเมืองหลวง…
ไม่กี่วันต่อมา เบี้ยหวัดตอบแทนและเสบียงของทหารก็มาถึง พร้อมกับเม็ดยาจำนวนมากที่เพิ่งถูกผลิตขึ้น
สิ่งที่ถูกส่งมาถึงก่อนคือ ยาเม็ดที่นำมาให้หนานกงฉีโม่ มันทำมาจากสมุนไพรล้ำค่าที่หาได้ยากตามธรรมชาติ ดังนั้น จึงมีปริมาณไม่มากนัก
ส่วนสิ่งที่ตามมาทีหลังสุดคือเสบียง อาวุธยุทโธปกรณ์ และยารักษาโรคทั่วไป จำพวกยาแก้ไข้ แก้หวัด และยารักษาบาดแผลต่าง ๆ
ถึงแม้ว่ายาเหล่านี้จะเป็นยาสามัญทั่วไป แต่ล้วนเป็นยาที่สำคัญยิ่งต่อค่ายทหาร
พอเห็นยาที่บรรจุอยู่ในขวดขนาดใหญ่ แม่ทัพเฒ่าเซี่ยก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนเคราสั่นเทิ้ม เขากล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะการมียาเหล่านี้อยู่ จะสามารถลดการเสียชีวิตของนายทหารภายใต้การปกครองของเขาได้ไม่มากก็น้อย
ในเมื่อเบี้ยหวัดตอบแทนและเสบียงของทหารมาถึงแล้ว เช่นนั้น วันนี้ก็มาฆ่าหมูสักตัวเพื่อเฉลิมฉลองกันเถอะ!
…
ณ เมืองหลวง
ขาของหนานกงฉีซิวฟื้นตัวได้ดีขึ้นมากกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้ ผ่านไปสองสามวัน อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
การเติมพลังให้กับพี่ใหญ่ทุกวัน ทำให้เสี่ยวเป่ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน อาการนอนไม่หลับของท่านพ่อก็กลับมาอีกครั้ง ใต้ตาของท่านพ่อนั้นดูดำคล้ำขึ้น พลังชี่ในร่างกายของเขาก็ลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้ในวันที่สี่ เสี่ยวเป่าจึงกลับไปอยู่เป็นเพื่อนบิดา
นางเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการของท่านพ่อ จึงเชิญท่านหมอมาดูอาการ
เจี่ยเจิน “เอาล่ะ ข้าจะไปตรวจให้”
หลังจากที่เจี่ยเจินได้จับชีพจรของหนานกงสือเยวียนดูแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า
“หืม! อาการประชวรของพระองค์หนักทีเดียว!”
เสี่ยวเป่าคว้ามือบิดาไว้อย่างกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าเป็นอะไร”
เจี่ยเจินลูบเคราพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็นมา
“ผู้ใดกันที่โหดร้ายเช่นนี้ ถึงขนาดว่าให้กู่แก่พระองค์ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรมานมาจนถึงตอนนี้”
ดวงตาสีเข้มของหนานกงสือเยวียนวูบไหวเล็กน้อย “รักษาให้หายได้หรือไม่”
เจี่ยเจิน “นอกจากกู่กัดกินไปทั่วพระวรกายแล้ว หนำซ้ำยังถูกคำสาป ทั้งสองสิ่งนี้นับว่าเป็นอันตรายยิ่ง อาจทำให้กู่กัดกินหัวใจ และส่งผลกระทบต่อจิตใจของฝ่าบาทได้ ซึ่งมันจะใช้หัวใจดวงนี้บ่มเพาะความชั่วร้าย
หากมันเติบโตขึ้น พระวรกายของฝ่าบาทก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ มีอาการนอนไม่หลับ และทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจะมีอาการเจ็บปวดที่หัวใจกับสมองอย่างรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว
ส่วนในเรื่องคำสาป กระหม่อมไม่ได้ศึกษาด้านนี้มามากนัก แต่น่าจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองสิ่งนี้มารวมกัน ฝ่าบาทก็ทรงเสมือนประทับอยู่ในนรกบนดิน กระหม่อมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น…”
ในตอนนี้ เจี่ยเจินได้มุ่งความสนใจมาที่เรื่องนี้โดยสมบูรณ์แล้ว จากนั้นเขาก็มองไปที่หนานกงสือเยวียน
“แต่ดูเหมือนว่าจะทรงมีผู้ที่กดอาการของพระองค์เอาไว้ได้ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นได้ถวายโอสถแก่พระองค์หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยในสิ่งที่หมอปีศาจพูด เพราะเรื่องนี้เขารู้อยู่เต็มอก
ไต้ซือฮุ่ยเยวี่ยนได้ระงับคำสาปบนร่างกายของเขาเอาไว้ ยกเว้นในคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่มันจะกัดกินหัวใจของเขา กู่จะสำแดงฤทธิ์ของมันออกมา ซึ่งคำสาปนั้นจะไม่สามารถระงับได้ และทำให้เขาทรมานเป็นสองเท่า
มันยากเกินไปที่จะถอนกู่ออกจากตัวเขาได้
เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ กอดแขนบิดาไว้แน่นขณะร้องไห้
ที่แท้ ท่านพ่อก็มีสิ่งไม่ดีคอยทำร้ายพระองค์มาตลอด!
“ทรงมีใบสั่งยาหรือไม่ ข้าขอดูหน่อยว่าสมุนไพรข้างต้นนั้นหายากหรือไม่”
หนานกงสือเยวียนลูบหัวเสี่ยวเป่าอย่างปลอบโยน และสั่งให้ฝูไห่นำใบสั่งยาออกมามอบให้เจี่ยเจิน
เจี่ยเจินมองดูอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้า นี่ยังพอมีหนทางอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
“ข้ามีสมุนไพรอยู่ชนิดหนึ่ง”
ทันใดนั้น สายตาทั้งสามคู่ก็มองไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
เจี่ยเจินหันไปมองเสี่ยวเป่า “ข้าคงต้องนำมันออกมา เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแด่องค์หญิงน้อย”
เสี่ยวเป่ายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ท่านอาจารย์…”
เจี่ยเจินลูบเคราอย่างใช้ความคิด แน่นอนว่าการแสดงออกนี้ เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะปล่อยมันไป
เขาชี้ไปที่สมุนไพรชนิดหนึ่ง
“นี่คือดอกเถ้ากระดูก”
มันเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งมักขึ้นในบึงที่มีกระดูกฝังอยู่นับไม่ถ้วน เป็นพืชที่เติบโตอยู่บนกระดูกและซากเน่าเปื่อย เมื่อเบ่งบาน มันก็จะมาพร้อมกับแมลงมีพิษไม่น้อยกว่าสิบชนิด
สถานที่ที่มันเติบโตนั้นอันตรายมาก ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลากว่าสามร้อยปีกว่าที่มันจะงอกเงยและเบ่งบานขึ้นมา
เช่นนี้แล้ว ก็ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันหายากเพียงใด
เมื่อหนานกงสือเยวียนได้ยินว่ามันเป็นดอกเถ้ากระดูก ม่านตาของเขาพลันหรี่แคบลงเล็กน้อย
นี่เป็นหนึ่งในสามสมุนไพรที่หายากที่สุด ไต้ซือฮุ่ยเยวี่ยนยังสงสัยว่าดอกเถ้ากระดูกนี้ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกหรือไม่
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เสี่ยวเป่า ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่ามาอยู่ข้างกายเขา ทุกอย่างก็กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี
และหากไม่มีนาง ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนานกงสือเยวียนจะอดทน จนกว่าจะพบสมุนไพรเหล่านี้ได้หรือไม่
เจี่นเจินกระสับกระส่ายเพียงชั่วครู่ แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปทางฮ่องเต้สองสามครั้ง
เสี่ยวเป่าถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านพ่อยังขาดสมุนไพรชนิดใดหรือ”
หนานกงสือเยวียน “สมุนไพรบางชนิดหาได้แล้ว แต่เหลือบางชนิดที่ยังตามหาอยู่ ตอนนี้หาดอกเถ้ากระดูกพบแล้ว ส่วนสมุนไพรอีกสองชนิดยังไม่ได้ข่าวคราว”
หมอปีศาจเขย่าใบสั่งยาและเอ่ยถามออกมาว่า “นั่นคือดอกสามชีวาและไหมเหมันต์พันปีใช่หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า
เจี่ยเจินแค่นเสียงออกมา “เรื่องนี้ยากเย็นยิ่งนัก ชายชราอย่างข้าออกเดินทางเพื่อตามหามาหลายปีแล้ว พบเพียงดอกเถ้ากระดูกที่เป็นที่กล่าวขานเท่านั้น มีบันทึกว่า มีเพียงผู้ที่ถูกลิขิตเท่านั้นที่จะได้เห็นรูปลักษณ์ของมัน เพราะสิ่งนี้จะเติบโตในที่เย็นจัด และจะปรากฏให้เห็นในยามราตรีเท่านั้น
ดอกสามชีวาฟังดูเหมือนเป็นชื่อของดอกไม้ ทว่ามันมิใช่ดอกไม้ บันทึกในตำราโบราณกล่าวไว้ว่า แม้จะเป็นพืชสมุนไพร ครั้นในยามราตรีมันจะกลายเป็นเหมือนผีเสื้อเริงระบำที่ลอยอยู่เหนือสระซานเซิง
และแม้ว่าไหมเหมันต์พันปีนั้นจะเป็นชื่อที่ฟังดูเกินจริงไปเสียหน่อย แต่เพื่อให้ไหมเหมันต์มีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ มันต้องดำรงอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยปี และการดำรงอยู่มายาวนานเช่นนี้ มันต้องเป็นกู่มีพิษชนิดร้ายแรง และอาศัยอยู่ ณ ที่เย็นจัดในภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอันกว้างใหญ่ เช่นนั้นแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาไหมเหมันต์ตัวเล็ก ๆ เจอและจับมันได้”
หนอนกู่ในพระวรกายของฝ่าบาทจึงเป็นเรื่องยากที่จะกำจัด
เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่ทำพิษกู่นี้ขึ้นมา ก็ยังไม่มีทางแก้พิษ
“เสี่ยวเป่าจะไปหามาให้ท่านพ่อ!”
หากว่าในโลกนี้ยังมีดอกสามชีวาหลงเหลืออยู่จริง ๆ เสี่ยวเป่าก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า นางจะสามารถหามาให้ท่านพ่อได้ ทว่าไหมเหมันต์พันปีนั้น…
เสี่ยวเป่าขบเข้าที่เล็บของตัวเองเบา ๆ ใบหน้านุ่มนิ่มของเด็กเล็กเต็มไปด้วยความคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้
หนานกงสือเยวียนดึงนิ้วที่นางกัดออกมา
“ข้าส่งคนไปหาแล้ว”
เสี่ยวเป่าพึมพำ “แต่พวกเขาก็ยังหาไม่พบ”
สายตาเจี่ยเจินมองไปที่องค์หญิงตัวน้อย “พระองค์ทรงเป็นสตรีตัวน้อยที่มีหัวใจยิ่งใหญ่นัก ต้องการจะเสด็จไปหาเองหรือ ข้าเกรงว่าพระองค์ยังเสด็จไปไม่ถึงภูเขาหิมะ ก็อาจตัวแข็งเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน”
“ท่านอาจารย์ อย่าดูถูกเสี่ยวเป่าเชียว!”
นางช่างมีจิตใจมุ่งมั่นเสียจริง
“ทรงอ่าน ‘ตำรับยาโลกธาตุ’ จบแล้วหรือ?”
ภายใต้การจ้องมองของท่านอาจารย์ องค์หญิงน้อยก็ก้มศีรษะลง
ยัง…ข้ายังอ่านไม่จบ
เจี่ยเจินเคาะหน้าผากของนางเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “ตำรายังอ่านไม่จบ ก็อยากออกไปเผชิญภัยแล้วหรือ ไปอ่านตำราเสีย!”
เสี่ยวเป่า “…”
[1] มี่กวา (蜜瓜) คือ เมลอน