เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 15 องค์หญิงน้อยรู้สึกผิด (รีไรท์)
บทที่ 15 องค์หญิงน้อยรู้สึกผิด (รีไรท์)
บทที่ 15 องค์หญิงน้อยรู้สึกผิด (รีไรท์)
หนานกงสือเยวียนมองเด็กหญิง ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวทายาลงบนรอยถลอกตรงข้อศอกของนาง จากนั้นจึงถามว่า
“เจ้ารู้จักสมุนไพรเหล่านั้นได้อย่างไร? ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้า”
ตอนนี้เสี่ยวเป่าขึ้นมานั่งอยู่บนตักของท่านพ่อแล้ว
“เสี่ยวเป่ารู้เอง เสี่ยวเป่ารู้จักสมุนไพรทุกชนิด”
นางเป็นเพียงเด็กน้อยวัยสามขวบ แต่บอกว่ารู้จักสมุนไพรทุกชนิด แม้แต่แพทย์หลวงที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่สุดในวังหลวงก็ยังไม่กล้าพูดคำนี้ด้วยซ้ำ
หนานกงสือเยวียนเพียงมองใบหน้าที่ภาคภูมิใจขององค์หญิงน้อย และไม่ได้ถามอะไรอีก
“ทำไมเจ้าไม่ใส่รองเท้า?”
หนานกงสือเยวียนจ้องมองเท้าที่สกปรกของเสี่ยวเป่า
ตลอดทางมาที่ห้องบรรทมของหนานกงสือเยวียน เสี่ยวเป่าต้องเดินเท้าเปล่าบนพื้นดินสกปรก ฝ่าเท้าถึงกลายเป็นสีแดง บางจุดมีรอยถลอก นางอาจจะเหยียบก้อนหินจนได้แผล
หนานกงสือเยวียนยกเท้าของบุตรสาวขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววหงุดหงิด
“นางกำนัลพวกนั้นดีกับเจ้าหรือไม่?”
ข้าหลวงพวกนั้นคงไม่รู้ว่านางหนีออกมา
เสี่ยวเป่าหดคอลงอย่างรู้สึกผิด รีบชักเท้าออกมาจากมือของท่านพ่อ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เสี่ยวเป่าออกมาตามหาท่านพ่อ แต่ชุนสี่ไม่ให้เสี่ยวเป่าหนีออกมา เสี่ยวเป่าเลยแกล้งหลับ พอชุนสี่หลับแล้ว เสี่ยวเป่าก็เลยหนีออกมาเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงอายุเพียงสามขวบเจื้อยแจ้ว แต่น้ำเสียงช่างนุ่มนวล ทำให้คนฟังไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด
นางดึงแขนเสื้อของท่านพ่อ พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า
“ท่านพ่ออย่าโกรธเลยนะ ท่านอย่าลงโทษพวกชุนสี่นะเพคะ”
หนานกงสือเยวียนจ้องนางด้วยสายตาเรียบเฉย “พวกเขาดูแลเจ้าไม่ดี ก็สมควรถูกลงโทษไม่ใช่หรือ?”
เสี่ยวเป่ากำชายเสื้อของท่านพ่อแน่น ส่ายหน้าพลางตอบว่า “แต่ถ้าพวกเขารู้ เสี่ยวเป่าก็คงไม่ได้ออกมาหาท่านพ่อ แล้วเสี่ยวเป่าก็จะเสียใจมาก”
พูดจบ เด็กหญิงก็ผงกศีรษะอย่างจริงจัง จ้องมองท่านพ่อด้วยแววตาสดใส ราวกับต้องการฟังคำยินยอมจากเขา
“เสียใจอย่างนั้นหรือ?”
หนานกงสือเยวียนหัวเราะในลำคอ “ข้าไม่เห็นเจ้าเศร้าสักนิด”
เสี่ยวเป่ากอดแขนท่านพ่อพร้อมพูดว่า “เพราะว่าเสี่ยวเป่าได้พบกับท่านพ่อแล้ว เสี่ยวเป่าไม่เศร้าอีกแล้วเพคะ”
ระหว่างที่บิดากับบุตรสาวกำลังพูดคุยกันอยู่นี้ กลับมีการเคลื่อนไหวที่ด้านนอกห้องบรรทม
ต่อให้หนานกงสือเยวียนไม่ต้องออกไป เขาก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฝ่าบาท”
ฝูไห่กงกงส่งเสียงเข้ามาจากทางด้านนอกอย่างระมัดระวัง หนานกงสือเยวียนตอบรับกลับไปอย่างเย็นชา
ฝูไห่กงกงรายงานว่า “กราบเรียนฝ่าบาท นางกำนัลที่คอยดูแลองค์หญิงน้อยเพิ่งมารายงานว่าองค์หญิงหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ…”
พอท่านพ่อจ้องมองมา เสี่ยวเป่าก็หดคอลงอย่างรู้สึกผิด ตอบเสียงอ่อยไปว่า
“ข้า…ข้าอยู่กับท่านพ่อ”
ฝูไห่กงกงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขากังวลว่าหนานกงสือเยวียนจะกล่าวโทษตน ว่าแล้วก็หงุดหงิดนางกำนัลเหล่านั้นเหลือเกิน ดูแลองค์หญิงได้ไม่ดีสักคน
“ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาทจะลงโทษพวกชุนสี่อย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ…”
ในขณะที่ฝูไห่กงกงรอฟังคำสั่งตัวสั่น เสี่ยวเป่าก็กอดแขน จ้องมองบิดาอย่างน่าสงสาร
“ท่านพ่ออย่าลงโทษพวกชุนสี่เลยนะเพคะ เสี่ยวเป่าจะไม่แอบหนีออกมาอีกแล้ว”
หนานกงสือเยวียนถามว่า “เจ้าไม่เศร้าแล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่ารีบส่ายหน้า ยืดหน้าอกขึ้นตอบอย่างภูมิใจ “เพราะว่าเสี่ยวเป่าจะมาหาท่านพ่ออย่างเปิดเผยเอง”
ฝูไห่กงกงได้ยินคำตอบของเด็กหญิงก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
องค์หญิงน้อยช่างมีความกล้าหาญจริง ๆ
มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้นเล็กน้อย เขาออกคำสั่งกับฝูไห่กงกงที่อยู่ด้านนอกเสียงเย็น “ให้บ่าวรับใช้มาล้างเท้าองค์หญิงสักสองคน ส่วนที่เหลือให้กลับไปก่อน”
ฝูไห่กงกง “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คิดไม่ถึงเลยว่า… จะไม่มีใครถูกลงโทษ
ฝูไห่กงกงตกตะลึง ในเวลาเดียวกันก็ยกย่ององค์หญิงน้อยมากกว่าเดิมหลายเท่า องค์หญิงน้อยผู้นี้ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ…
ชุนสี่และกลุ่มหญิงรับใช้ที่รออยู่ข้างนอกเผยสีหน้าเหลือเชื่อเมื่อได้รับทราบข่าว
หนานกงสือเยวียนมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก แม้แต่บิดาและพี่น้องของตนเอง พระองค์ยังเคยฆ่ามาแล้ว นับประสาอะไรกับนางกำนัลอย่างพวกนางที่จะฆ่าไม่ได้
เมื่อพบกับกลุ่มขบวนข้าหลวงที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอก ฝูไห่กงกงก็ทำตัวเป็นหัวหน้าขันทีที่ดีตามเดิม
“องค์หญิงน้อยเป็นคนขอร้องให้ฝ่าบาทปล่อยพวกเจ้าไป แต่หลังจากนี้ พวกเจ้าต้องดูแลองค์หญิงน้อยให้ดีกว่าเดิม คราวหลังห้ามปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้อีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
กลุ่มนางกำนัลพยักหน้าด้วยความเคารพ พวกนางได้แต่นึกขอบคุณองค์หญิง ไม่มีผู้ใดคิดต่อต้านเด็กน้อยอีกแล้ว
เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในวังหลวงเช่นนี้ หากกระทำผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ชีวิตก็อาจจบสิ้นได้ทุกเมื่อ การมีเจ้านายที่ยินดีร้องขอชีวิตเพื่อพวกนางถือเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้แล้ว
เสี่ยวเป่าไม่ทราบเลยว่าบรรดานางกำนัลกำลังคิดอะไรอยู่ นางยังคงรู้สึกผิด เพราะพี่สาวรับใช้เหล่านั้นเกือบจะถูกบิดาลงโทษเพราะตนเอง
หลังจากล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็เกาะติดท่านพ่อไม่ยอมปล่อย
“ท่านพ่อจะนอนแล้วหรือไม่ เสี่ยวเป่าอยากนอนข้างท่านพ่อ”
หนานกงสือเยวียนจ้องมองเด็กน้อยที่คลานขึ้นมาบนเตียงพร้อมนัยน์ตาสีดำเป็นประกาย
ถึงแม้จะรู้สึกว้าวุ่นใจ แต่หนานกงสือเยวียนก็ล้มตัวลงนอนในที่สุด
เหตุผลที่เสี่ยวเป่าเห็นว่าเทียนไขทางด้านนอกถูกจุดสว่างอยู่ เป็นเพราะว่าหนานกงสือเยวียนกำลังทรมานจากอาการนอนไม่หลับอีกครั้ง
หรือต่อให้นอนหลับไปแล้ว เขาก็จะถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้าย หลังจากนั้น หนานกงสือเยวียนก็จะสะดุ้งตื่นพร้อมกับความกลัว
ทุกครั้งที่ตื่นจากฝันร้าย หนานกงสือเยวียนจะอารมณ์ไม่ดี เช่นเดียวกับคืนนี้ แต่บัดนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพราะเมื่อคืนนี้เขาได้นอนหลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรก
แต่เมื่อได้ลิ้มรสชาติการนอนหลับโดยไม่ต้องฝันร้ายเพียงครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่อยากนอนไม่หลับอีกครั้ง
หนานกงสือเยวียนจ้องมองเสี่ยวเป่าที่นอนหลับอยู่ข้างกาย เด็กหญิงหนุนหมอนใบใหญ่
เขาขมวดคิ้ว
เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเพราะนางกันแน่…
วันต่อมา หนานกงสือเยวียนก็ต้องถูกปลุกโดยฝูไห่กงกงอีกครั้ง
ฝูไห่กงกงร่ำร้องด้วยความตื่นเต้นว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงนอนหลับสนิท ไม่ต้องทรมานจากฝันร้ายอีกแล้ว-”
ในฐานะหัวหน้าขันทีที่รับใช้หนานกงสือเยวียนมาอย่างยาวนาน ฝูไห่กงกงย่อมรู้เกี่ยวกับอาการนอนไม่หลับของเขา
รวมถึงเรื่องนอนไม่หลับที่ทำให้เขาหงุดหงิด
แม้แต่คนทั่วไป เมื่อมีอาการนอนไม่หลับ ก็ยากจะอารมณ์ดีได้เช่นกัน
ตอนนี้ หนานกงสือเยวียนนอนหลับสนิทมาสองวันติด ๆ กัน ไม่มีอาการฝันร้ายอีกแล้ว ฝูไห่กงกงเกือบจะคุกเข่าคำนับขอบคุณสวรรค์ด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท องค์หญิงน้อยลงมาจากเตียงอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากตื่นเต้นเสร็จเรียบร้อย ใบหน้าของฝูไห่กงกงก็ชักกระตุกเมื่อเห็นองค์หญิงน้อยกลิ้งตกลงจากเตียงพร้อมกับก้อนผ้าห่ม
หนานกงสือเยวียน “…”
เขายกมือกุมหน้าผาก เมื่อคืนเขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับตนเองอยู่ทั้งคืน ยามนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร…
หนานกงสือเยวียนลุกขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็อุ้มเด็กหญิงโยนกลับไปที่เตียง
ถึงจะเรียกว่าเป็นการโยนกลับไป แต่การกระทำนั้นทะนุถนอมมากกว่าเดิมหลายเท่า…