เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 153 ของขวัญจากองค์ชายรอง
บทที่ 153 ของขวัญจากองค์ชายรอง
บทที่ 153 ของขวัญจากองค์ชายรอง
“เสี่ยวเป่า ข้าได้ยินมาว่าขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้เจ้าเป็นคนทำหรือ อร่อยมาก”
“ผู้ใดจะไปคิดกันว่า ไข่แดงและเนื้อสัตว์สามารถนำมาทำเป็นไส้ขนมไหว้พระจันทร์ได้ ข้าน่ะชอบไส้ไข่เค็มเป็ดที่สุดเลย”
“ข้าชอบไส้ถั่วแดงกวน รสชาติหวานอร่อยแต่ไม่เลี่ยนปาก”
“ส่วนข้านั้นขอเทใจให้เฉ่าเหมยกวน”
เมื่อเสี่ยวเป่าได้ฟังเหล่าพี่ชายกำลังพูดถึงรสชาติขนมไหว้พระจันทร์ที่พวกเขาชอบ นางก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ!
“น้องหญิงเก่งมาก เจ้าคิดเรื่องนี้ได้อย่างไร”
เสี่ยวเป่าเลิกคิ้ว ดวงตาสดใสทอประกายดุจดั่งพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
“เสี่ยวเป่าไม่ได้คิด เสี่ยวเป่าก็ได้ยินผู้อื่นพูดมาอีกที!”
ในอดีตนางทำได้เพียงแค่ดู แต่ไม่สามารถกินได้ ทว่าตอนนี้นางมีร่างกายแล้ว นางจะรังสรรค์อาหารเลิศรสต่าง ๆ ที่นางจำได้ออกมากินให้หมด
ไม่สิ ตัวนางเองไม่ได้มีฝีมือในการทำอาหาร แต่นางสามารถเอ่ยปากได้ ท่านพ่อมีพ่อครัวมากฝีมืออยู่หลายคน
“เสี่ยวเป่าคิดถึงพี่รอง”
เด็กเล็กจิบนม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้ายามราตรี พลางกล่าวพึมพำออกมาเสียงเบา
“พี่รองจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ”
“ใกล้มาแล้ว”
เป็นเสียงของพี่ใหญ่ที่เอ่ยตอบคำถามนาง
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนราวกับนางฟ้าตัวน้อยให้พี่ชาย
“เสด็จพี่! ท่านดูไข่มุกเม็ดนี้สิ ทั้งใหญ่และกลมโต ข้าวางแผนไว้ว่าจะมอบมันให้แก่หลานสาวตัวน้อยของข้า”
ในขณะเดียวกัน น้ำเสียงช่างเจรจาที่เจือไปด้วยความมึนเมาก็ดังขึ้น
เสี่ยวเป่าที่กำลังเหม่อมองไปที่ดวงจันทร์ หันศีรษะไปมองท่านอาเจ็ดของนางด้วยความงุนงง “???”
หนานกงสือเยวียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดื่มด่ำกับสุราโดยไม่สนใจสิ่งใด อีกอย่างเขาไม่อยากจะสนทนากับคนโง่เขลาด้วย
“เสี่ยวเป่า ช้าก่อน อาเจ็ดให้สิ่งนี้แก่เจ้า!”
แก้มของเขาแดงระเรื่อจากพิษของสุรา และในขณะที่พูดเขาก็เดินโซซัดโซเซไปทางกำแพงพระราชวัง
ทุกคน “…”
ฝูไห่รีบเรียกทหารให้เข้ามาช่วยเหลือท่านอ๋อง
หนานกงหลีรู้สึกไม่สบายตัวที่มีคนมาโอบรัดรอบเอวของเขาเอาไว้ จึงเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย เขายืดแขนขึ้นด้านบนพร้อมกับกระโดดขึ้นเพื่อไขว่คว้าดวงจันทร์
“ปล่อยข้าา ข้าจะคว้ามันลงมา!”
หนานกงหลีพูดเสียงดังด้วยความรำคาญใจ
บุตรชายของเขาปิดหน้าหนีทีละคน พวกเขาไม่อยากยอมรับว่านี่คือบิดาของตน
หนานกงสือเยวียนยังมีท่าทีสงบนิ่ง “พาตัวเขากลับไป”
หากปล่อยไว้ ไม่แคล้วคงได้ก่อความวุ่นวายไม่รู้จบ และการเฉลิมฉลองของครอบครัวในเทศกาลไหว้พระจันทร์วันนี้ก็จะสิ้นสุดลง
ทุกคนต่างก็มีความสุขกับการกินดื่มแบบเรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองเหมือนงานเลี้ยงในวัง
และผู้ที่มีความสุขมากที่สุดก็คือเสี่ยวเป่า ระหว่างทางกลับ นางอยู่ในอ้อมกอดของบิดา เฝ้าพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
หนานกงสือเยวียนฟังบุตรสาวอย่างเงียบ ๆ
เงาของพวกเขาพ่อลูกทอดยาวภายใต้แสงจันทร์ โดยมีฝูไห่เดินตามหลังด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
และแล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ก็ผ่านไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีปัญหา ฝ่าบาทปรากฏตัวอยู่ในงานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ต้องขังตัวเองอยู่ในห้องใต้ดินที่มีแต่กำแพงล้อมรอบอีกต่อไป
ในอดีต เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงของเทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ควรจะเป็นวันรวมญาติและอบอวลไปด้วยความอบอุ่น มันกลับเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่สุดสำหรับพระองค์
ซึ่งในตอนนี้นับว่าดีมากแล้ว…
หลังผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ของขวัญจากพี่รองที่เสี่ยวเป่าเฝ้ารอคอยก็ถูกส่งมาถึงเมืองหลวง
เมื่อเห็นของที่บรรทุกอยู่ในเกวียนหลายเล่ม เสี่ยวเป่าก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
“เยอะ…เยอะมากเลย”
มีข้ารับใช้เดินทางมาพร้อมกับของที่ถูกส่งโดยหนานกงฉีโม่ ประการแรกเพื่อดูแลสิ่งของ และประการที่สองต้องเป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนเท่านั้น จึงจะสามารถอธิบายให้คนในวังได้อย่างชัดเจน
“ไม่มากเกินไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะองค์ชายรองทรงส่งสิ่งมีชีวิตมาด้วย ดังนั้นในการเดินทางครั้งนี้จึงใช้เวลานานกว่าปกติ”
“สิ่งมีชีวิต?”
พูดจบ พวกเขาก็เลิกม่านสีทึบที่ปกปิดสิ่งของด้านในรถม้าออก ปรากฏให้เห็นลูกหมาป่าสองสามตัวอยู่ในกรงเหล็กขนาดสูงเท่ามนุษย์
มีทั้งตัวที่เป็นสีขาวปลอด ตัวที่เป็นสีขาวปนสีเทาอ่อนหรือดำปลอด ทว่าสภาพของแต่ละตัวล้วนไม่ค่อยสู้ดีนัก
“นี่คือหมาป่าสีขาวที่หายากบนทุ่งหญ้า องค์ชายรองได้ลูกหมาป่านี้มาในขณะที่ทรงออกล่า เดิมทีเหล่านายทหารชั้นสูงวางแผนว่าจะนำกลับไปลองดูว่าสามารถเลี้ยงพวกมันได้หรือไม่ แต่องค์ชายรองทรงขอให้ส่งมอบพวกมันมาที่วังหลวง
เมื่อเหล่านายทหารชั้นสูงได้ยินว่าพวกมันจะถูกส่งกลับไปที่วัง พวกเขาจึงมอบหมาป่าสีขาวที่ตั้งใจจะนำไปเลี้ยงให้กับองค์ชายรองโดยไม่คัดค้าน และถือโอกาสนี้บอกให้ข้าน้อยมาทูลองค์หญิงว่า สิ่งของที่พระองค์ทรงส่งให้องค์ชายรอง พวกเขาเองก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งของเหล่านั้นเช่นเดียวกัน จึงฝากมาขอบพระทัยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
พอเสี่ยวเป่าได้ยินเช่นนั้น นางก็ยิ้มออกมาด้วยความปีติยินดี “วันหลัง ข้าจะส่งของไปให้ท่านพี่รองอีกเยอะ ๆ แล้วกันนะ!”
แต่พอเหลือบมองลูกหมาป่าที่อยู่ในกรง นางก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา “ข้ารู้สึกเหมือนพวกมันใกล้จะตายแล้ว”
เสี่ยวเป่าเอนตัวไปด้านหน้าอย่างไม่ได้ระมัดระวังตัว แต่ก็ถูกข้ารับใช้ขวางเอาไว้
“ทูลองค์หญิงเก้า อย่าได้ประมาทลูกหมาป่าเหล่านี้ต่ำไปพ่ะย่ะค่ะ เขี้ยวเล็บของพวกมันหาได้เล็กอย่างขนาดตัว หากถูกกัดเอาจะทรงแย่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่หรอก” เสี่ยวเป่าตอบ
นางพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อ
องค์หญิงเก้าเป็นพระธิดาที่ฝ่าบาททรงรักและหวงแหนมากที่สุด หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เหล่าข้ารับใช้อย่างพวกเขาคงชีวิตหาไม่เป็นแน่
“องค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ ลูกหมาป่าเหล่านี้ แม้พวกมันจะเดินทางอย่างรวดเร็วจากเมืองชายแดนมาที่เมืองหลวง แต่ก็นับเป็นระยะทางที่ไกล พวกเราเดินทางกันมาเกือบครึ่งค่อนเดือน แม้แต่มนุษย์ยังหมดแรง ไม่ต้องกล่าวถึงพวกมัน โชคดีที่ภายในวังมีหมอรักษาสัตว์ สามารถให้เหล่าข้ารับใช้ส่งพวกมันไปรักษาได้”
เสี่ยวเป่าชำเลืองมองลูกหมาป่าที่อ่อนแอเหล่านั้น ก่อนจะพยักหน้าด้วยความสงสาร
เช่นนั้น ข้าก็จะรอจนกว่าพวกมันจะถูกนำตัวไปรักษา!
“องค์หญิง ทั้งหมดนี้ฝ่าบาททรงส่งมอบให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ลูกหมาป่านั้นจะถูกส่งไปให้หมอรักษาสัตว์ดูแล ส่วนลูกแกะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร พวกมันเป็นสัตว์กินพืชที่เชื่องกับคนมาก
แกะน้อยอายุไม่ถึงสองเดือน เป็นแกะน้อยขนปุกปุย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตาหวานใส ดูดีไม่น้อย
แต่เพราะเดินทางยาวนานเกินไป ไม่ว่าสัตว์เหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันแค่ไหน พวกมันก็ดูเหนื่อยล้าและไม่มีชีวิตชีวา
เสี่ยวเป่าสัมผัสแกะตัวน้อยตรงหน้า เพราะมีคนดูแลขนของมันตลอดทาง ไม่เพียงแต่นุ่มฟูเท่านั้น ทว่าสียังขาวสะอาดมากและน่าเอ็นดูอีกด้วย
“เจ้าแกะน้อย!”
เสี่ยวเป่าวางมือนุ่มนิ่มไว้บนหัวของมัน และถ่ายพลังวิญญาณให้มันอย่างเงียบ ๆ ทำให้ลูกแกะที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนแรก เอนตัวเข้าหาฝ่ามือของนางอย่างเสน่หา พร้อมกับส่งเสียงร้องพลางอิงแอบไปกับร่างกายของนาง
เด็กหญิงผู้อ่อนโยนและสัตว์ตัวน้อยน่ารัก เป็นภาพที่ดูน่ามองมาก ทำให้หัวใจของผู้พบเห็นอ่อนโยนขึ้นในฉับพลัน
“ลูกแกะยังไม่หย่านม ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้นำแกะตัวเมียมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่…แกะตัวนี้น่าเกลียดนิดหน่อย ขนหยาบกระด้าง สีออกเหลืองหม่น เนื้อตัวไม่ค่อยสะอาด”
ทว่าดวงตาของเสี่ยวเป่ากลับเป็นประกายขึ้นมา “ไม่เป็นไร ๆ ข้าตัดขนให้มันได้!”
ขนแกะ…นี่เป็นของดี!
จากนั้น ข้ารับใช้ก็อธิบายสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจนทีละเรื่อง ว่าของสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ต้องถวายโอรสพระองค์ใด…
ขนสัตว์ที่หนานกงฉีโม่หามานั้นมีคุณภาพดีที่สุด เมืองชายแดนนั้นล้วนขาดแคลนสิ่งต่าง ๆ ทว่าไม่ขาดแคลนขนสัตว์คุณภาพดี
ซึ่งขนสัตว์ที่มีคุณภาพเหล่านี้ ก็แบ่งออกเป็นหลายประเภท
มีขนเตียวสีม่วงที่มีความนุ่มและงดงาม ขนจิ้งจอกแดงเป็นของเสี่ยวเป่า ขนหมาป่าสีดำปลอดที่หายากมาก เป็นของฝ่าบาท ส่วนขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีอื่นใดเจือปนเป็นขององค์ชายใหญ่หนานกงฉีซิว ส่วนขนหมาป่าสีอื่น ๆ รวมไปถึงขนกระต่าย และขนสุนัขจิ้งจอกเป็นขององค์ชายพระองค์อื่น
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มีสัตว์อยู่ทุกชนิด คนเลี้ยงสัตว์ในท้องถิ่นต่างก็ต่อสู้กับสัตว์เหล่านั้นอย่างมีไหวพริบและกล้าหาญ เพื่อนำขนที่ล่าได้มาแปรรูปและนำไปทำการค้าต่อ