เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 16 เมล็ดพันธุ์เฉ่าเหมย (รีไรท์)
บทที่ 16 เมล็ดพันธุ์เฉ่าเหมย (รีไรท์)
บทที่ 16 เมล็ดพันธุ์เฉ่าเหมย (รีไรท์)
ตอนนี้ยังรุ่งเช้าอยู่ แม้แต่ฝูไห่กงกงก็ยังตั้งใจปล่อยให้ฝ่าบาทพักผ่อนต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน หนานกงสือเยวียนก็สวมเสื้อคลุมประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่จะออกจากห้องบรรทม หนานกงสือเยวียนสูดหายใจลึก หันไปมองซูเสี่ยวเป่าที่ยังคงนอนกรนอยู่บนเตียง สายตาผันผวนไปด้วยความรู้สึกมากมาย
หากเมื่อคืนก่อนยังไม่มั่นใจ เมื่อคืนนี้ก็เป็นข้อยืนยันแล้วว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ หรือเด็กคนนี้มีบางอย่างแตกต่างจากคนปกติ?
หลังจากหนานกงสือเยวียนเดินทางไปว่าราชการ เสี่ยวเป่าก็ตื่น เห็นชุนสี่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
“ท่านพ่อไปไหนแล้ว?”
เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งขยี้ตาบนเตียงนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง สิ่งแรกที่ทำคือมองหาท่านพ่อด้วยสายตางัวเงีย
ชุนสี่และกลุ่มนางกำนัลรับใช้ที่รอนำตัวเด็กหญิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ายิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ฝ่าบาทไปว่าราชการแล้วเพคะ พระองค์จะกลับมาอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม”
เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนเตียง อ้าปากหาวด้วยความมึนงง ปล่อยให้สาวรับใช้จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตนเองเหมือนเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เด็กหญิงก็ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผมให้เรียบร้อย นางเห็นใบหน้าที่งดงามสะท้อนอยู่ในกระจก ก็ถึงกับต้องยกมือลูบคลำใบหน้าของตนเอง
น่ารักอะไรขนาดนี้…
เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปในห้องบรรทมของบิดา นางปีนกลับขึ้นไปบนเตียง เริ่มพับผ้าห่ม ไม่รอให้สาวใช้ช่วยเหลือ
ชุนสี่เอ่ยเสียงหวั่นอย่างอึกอัก “องค์หญิงให้ข้าน้อยทำเถอะเพคะ”
เสี่ยวเป่าโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เสี่ยวเป่าทำได้”
นางไม่ใช่เด็กที่มีดีแค่หน้าตา เสี่ยวเป่าต้องการพิสูจน์ให้ท่านพ่อเห็นว่าตนเองก็มีความสามารถเหมือนกัน!
ดูสิ เสี่ยวเป่าสามารถพับผ้าห่มได้เชียวนะ
นางจัดการพับผ้าห่มอย่างระมัดระวัง แต่จังหวะที่กำลังจะหยิบหมอนใบเล็กนั้นเอง เด็กหญิงก็พบกับลวดลายที่ถูกปักอยู่ด้านล่างของหมอน
เสี่ยวเป่าเบิกตาโตด้วยความตกใจ
ทำไมดอกไม้แห่งชีวิตถึงถูกปักอยู่บนหมอนใบนี้ได้!
ดอกไม้แห่งชีวิตเป็นหนึ่งในพรรณไม้ที่นางเคยปลูกสมัยเป็นภูตพฤกษา มันเป็นดอกไม้ที่มีแต่ปริศนา สามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างสวยงาม
ลวดลายที่ถูกปักอยู่บนหมอนใบนี้เป็นลายของดอกไม้แห่งชีวิตไม่ผิดแน่
เสี่ยวเป่าหยิบหมอนมาดู ใช้มือสัมผัสอย่างแผ่วเบา นางจึงพบว่ามีบางอย่างถูกเก็บอยู่ด้านในหมอนใบนั้น
เสี่ยวเป่าสอดมือเข้าไปในหมอน ก่อนจะดึงถุงใส่เมล็ดพันธุ์สีดำออกมา
“เมล็ดเฉ่าเหมย*[1]?!”
เสี่ยวเป่าจดจำเมล็ดพืชชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือมันเป็นหนึ่งในเมล็ดพันธุ์ของนางเอง! นางเคยเก็บรวบรวมเอาไว้ในชาติที่แล้ว ก่อนที่จะเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ในชาตินี้!
เสี่ยวเป่ารีบสำรวจดูถุงเล็ก ๆ ใบนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วนอกจากเมล็ดเฉ่าเหมย
องค์หญิงน้อยตั้งตัวไม่ทัน
เป็นไปได้อย่างไร? ถ้าที่นี่มีเมล็ดเฉ่าเหมย ก็อาจจะมีเมล็ดพันธุ์อื่น ๆ ที่นางเคยเก็บรวบรวมเอาไว้ในชาติที่แล้วด้วยเช่นกัน
“องค์หญิงน้อย นี่ถุงใส่เมล็ดพันธุ์ขององค์หญิงหรือเพคะ? สวยจังเลย”
ชุนสี่เห็นเด็กน้อยถือถุงใบหนึ่งอยู่ในมือ จึงคิดว่ามันคงเป็นของเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่ารับคำในลำคออย่างลำบากใจ แต่นี่…นี่ก็สมควรเป็นของนางอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
เสี่ยวเป่าห้อยถุงเล็กนั้นไว้ข้างเอวอย่างสวยงาม เวลาเด็กน้อยเดินหรือวิ่ง เมล็ดพันธุ์ภายในถุงก็จะส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง แต่กลับไม่ได้ทำให้ผู้คนรำคาญสักนิด
นางสามารถปลูกต้นเฉ่าเหมยได้แล้ว!
นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่นางคัดเลือกมาอย่างยาวนาน พวกมันสามารถเติบใหญ่และให้ผลที่มีรสชาติหวานอร่อย
เสี่ยวเป่าต้องการปลูกให้ท่านพ่อทาน
“ชุนสี่พวกเราไปปลูกต้นเฉ่าเหมยกันเถอะ”
ระหว่างที่พูดคำนี้ เด็กหญิงก็ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วใช้ขาสั้น ๆ วิ่งไปยังสวนผักที่ตนเองปลูก
ชุนสี่รีบวิ่งตามไปทันที “องค์หญิง ช้าลงหน่อยเพคะ”
ว่าแต่ว่า… ต้นเฉ่าเหมยคือสิ่งใดกัน?!
ขณะเดียวกันนี้…
หนานกงสือเยวียนในชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ แม้เขาจะยังดูหนุ่มมาก แต่กลับมีความน่าเกรงขามอย่างที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พึงมี
บรรดาขุนนางต่างมารวมตัวกันเพื่อรายงานปัญหาต่าง ๆ ให้หนานกงสือเยวียนรับทราบ
“ทูลฝ่าบาท มีรายงานจากเมืองชายแดนว่ากลุ่มคนเถื่อนพร้อมจะเคลื่อนทัพแล้ว ได้โปรดมีคำสั่งให้กองทัพของพวกเราไปขัดขวางพวกมันด้วย และไม่ทราบว่าเงินเบี้ยหวัดของบรรดานายทหารจะได้เมื่อไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฝ่าบาท!” ขุนนางใหญ่อีกคนหนึ่งรีบส่งเสียงทันที
“ได้โปรดช่วยตัดสินพระทัยเรื่องสงครามใหม่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องภาษีเราก็ยังสามารถเก็บทั้งหมดมาได้ ตอนนี้ท้องพระคลังใกล้จะว่างเปล่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่เหมาะสมที่จะทำสงครามในเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเงินเบี้ยหวัดของนายทหารตามที่ท่านแม่ทัพฟ่านกล่าวถึง เท่าที่กระหม่อมทราบมา เงินเบี้ยหวัดล่าสุดที่จ่ายไป มีจำนวนเพียงพอที่พวกเขาจะอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง ไม่ทราบว่าแม่ทัพฟ่านโป้ปดมดเท็จเพราะคิดฉกฉวยประโยชน์จากฝ่าบาทหรือไม่!”
“สามหาว!”
แม่ทัพยศใหญ่โทสะพลุ่งพล่าน ไม่สามารถรักษาความสุภาพได้อีกต่อไป พ่นถ้อยคำหยาบคายยาวเหยียด
“กองทัพต้องเลี้ยงดูผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ละวันทุกคนต้องรับประทานอาหารมากมายเพียงใด? เงินเบี้ยหวัดเพียงเท่านั้นจะอยู่ได้สักเท่าไหร่กัน? นี่ก็ได้เวลาที่สมควรจะออกเงินเบี้ยหวัดแล้ว ทว่าฝ่ายพระคลังกลับพยายามยืดเวลาออกไปให้ยาวนานที่สุดเสมอ กว่าเงินเบี้ยหวัดรอบใหม่จะออก เหล่านายทหารคงอดตายกันพอดี”
ขุนนางใหญ่ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย “แม่ทัพฟ่าน โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย ที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหารของท่าน อย่ามาแสดงพฤติกรรมหยาบคายต่อหน้าฝ่าบาท ท่านไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายกรมพระคลัง ท้องพระคลังว่างเปล่าแล้ว พวกเราไม่สามารถเสกเงินออกมาจากกลางอากาศได้”
“เรื่องที่แม่ทัพฟ่านกล่าวว่าในกองทัพต้องเลี้ยงดูผู้คนเป็นจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน บางส่วนเป็นนายทหารผ่านศึกที่ไม่สามารถออกไปสู้รบได้อีกแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูพวกเขาอีกต่อไป ทุกปีจะมีการเกณฑ์นายทหารรุ่นใหม่ หากไม่เกิดสงครามขึ้นแล้ว ย่อมเป็นการผลาญเงินในท้องพระคลังไปโดยเปล่าประโยชน์!”
ฟ่านหรงเซิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ “ฝ่าบาท โปรดอย่าฟังที่เขาพูด ชาวเผ่าทางเหนือกับชาวซินเจียงตอนใต้ต่างทะเยอทะยานและหมายตาดินแดนของเรามานาน ได้โปรดอย่าลดกำลังทหารลงเลยพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีหวัง หากกองทัพของพวกชาวเหนือมาโจมตีเราจริง ๆ ท่านกล้ารับผิดชอบหรือไม่!”
เสนาบดีผู้ควบคุมกรมพระคลังตอบว่า “หน้าที่ปกป้องชายแดนเป็นของแม่ทัพฟ่านไม่ใช่หรือ?”
แม่ทัพฟ่านตอบว่า “เช่นนั้น กรมพระคลังควรเบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัดให้พวกเราแล้วไม่ใช่หรือ? หากไม่ยอมจ่ายเงินเบี้ยหวัด แล้วจะมีกรมพระคลังไปเพื่ออะไร!”
บรรดานายทหารและขุนนางที่รวมตัวกันอยู่ในท้องพระโรงยามนี้ต่างกำลังโต้เถียงกันวุ่นวาย บรรดาขุนนางระดับสูงสูญเสียกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยไปแล้ว บางคนตะโกนคำหยาบคายออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฝูไห่กงกงเห็นขุนนางผู้หนึ่งถอดหมวกของตนเองออกแล้วขว้างปาใส่นายทหารอีกคนหนึ่ง
ฝูไห่กงกงรู้ดีว่าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป อาจมีการถอดรองเท้าออกมาขว้างปาก็เป็นได้
“อะแฮ่ม…”
ฝูไห่กงกงส่งเสียงไอ แต่ไม่มีผลอะไรเลย
“เงียบ!”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว ทุกคนก็หยุดชะงักทันที
พวกเขารีบเปลี่ยนสีหน้าท่าทาง ส่วนแม่ทัพฟ่านก็กล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ทหารกำลังจะอดตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นายทหารใหญ่ผู้ไม่เคยร้องไห้ยามสูญเสียเลือดเนื้อในสนามรบ แต่ขณะที่อยู่ต่อหน้าหนานกงสือเยวียน พวกเขากลับเรียนรู้ที่จะเสแสร้งแกล้งร้องไห้ออกมาแล้ว
[1] เฉ่าเหมย คือ สตรอเบอร์รี่