เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 168 ปลอบเสี่ยวเป่า
บทที่ 168 ปลอบเสี่ยวเป่า
บทที่ 168 ปลอบเสี่ยวเป่า
“ท่านพี่สาม ท่านให้ของเสี่ยวเป่ามาตั้งมากมาย หากท่านพ่อรู้เข้าจะทำอย่างไร?”
เด็กน้อยกังวลเป็นอย่างมาก สิ่งของมากมายเพียงนี้นางคงไม่สามารถเก็บซ่อนมันไว้ได้อย่างมิดชิด บิดาต้องจับได้อย่างแน่นอน
หนานกงฉีอวิ๋นชะงักไปทันที เขาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเสี่ยวเป่าพูดเช่นนั้น
เสี่ยวเป่านั่งอยู่ข้างกายเขาแล้วถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า
“เหตุใดเรื่องนี้ถึงให้ท่านพ่อทราบไม่ได้? เรื่องที่ท่านพี่สามทำนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี สมควรได้รับคำชื่นชมมิใช่หรือ”
หนานกงฉีอวิ๋นทอดถอนหายใจด้วยความเศร้า “แต่มันไม่เหมือนกัน”
ขณะเดียวกัน เขาก็เลียนแบบเสี่ยวเป่าโดยนั่งลงบนเก้าอี้ทรงเตี้ย พร้อมกับเชิดคางขึ้น
“ข้าเป็นองค์ชาย กลับเรียนรู้ในเรื่องที่ไม่สมควรเรียนรู้ หากเสด็จพ่อทรงทราบจะต้องตำหนิข้าเป็นแน่”
ปกติแล้ว เวลาเขาเจอหน้าบิดาก็มักจะเป็นคนที่ขี้ขลาดและไม่กล้าพูด ทั้งยังอยากที่จะหลบมุมเพื่อไม่ให้บิดาพบเห็น หากว่าเขาโดนตำหนิจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเสียน้ำตากับเรื่องที่ถูกตำหนิหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงไม่กล้าออกมาข้างนอกอีกเลย
“อันใดคือเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรเรียนรู้หรือ?”
เพราะว่าในสายตาของเสี่ยวเป่า มันน่าทึ่งมากที่ท่านพี่สามของนางสามารถนำไม้มาทำสิ่งนี้ได้
“คือการไม่ตั้งใจร่ำเรียน ทำให้ช่วยงานเสด็จพ่อไม่ได้”
เสี่ยวเป่ายังคงนั่งเท้าคาง พร้อมกับจ้องมองของเล่นกลไกด้านหน้าด้วยนัยน์ตาสีดำขลับ พลันดวงตาของนางทอประกายแวววาวเมื่อนึกถึงบางสิ่ง
“ช่วยได้สิ ท่านพี่สามมีความสามารถ ต้องช่วยท่านพ่อได้อย่างแน่นอน”
หนานกงฉีอวิ๋นมองน้องสาวของเขาด้วยสายตาว่างเปล่า เขาจะช่วยได้อย่างไร?
“ท่านพี่ของเสี่ยวเป่าสามารถทำให้กลไกเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้ ก็ต้องสามารถทำเครื่องมือที่ใช้เก็บเกี่ยวข้าวหรือข้าวสาลีได้ ทำเครื่องมือที่สามารถช่วยให้วัวสามารถไถนาพรวนดินได้ง่ายขึ้น หรือจะทำสุดยอดอาวุธก็ย่อมได้”
หนานกงฉีอวิ๋น: ในหัวของเขาคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น
ถึงแม้เสี่ยวเป่าจะคิดว่าตัวเองนั้นโง่เขลา แต่หลายร้อยปีที่ผ่านมาในชีวิตที่แล้ว ตัวนางก็ไม่ได้ใช้ชีวิตไปอย่างไร้ประโยชน์ นางเคยเห็นสิ่งของแปลก ๆ มามากมายนับไม่ถ้วน
เพียงแต่นางไม่รู้ถึงหลักการเบื้องหลัง ทำได้เพียงมองมันและอธิบายออกมาเท่านั้น
สิ่งแรกที่เสี่ยวเป่านึกถึงคือ คันไถ เพราะหลังจากที่นางมาอาศัยอยู่ในชนบทของโลกนี้เป็นเวลาสามปี เครื่องมือไถที่นางเห็นคือ เครื่องมือที่ต้องใช้สัตว์สองตัวในการไถดิน
แต่คนธรรมดาจะมีกำลังในการซื้อวัวสองตัวได้อย่างไร คนส่วนใหญ่ใช้กำลังคนไถนา ในเรื่องของประสิทธิภาพก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เสี่ยวเป่าพยายามดึงความทรงจำส่วนลึกของนางออกมา แต่ทำได้เพียงอธิบายลักษณะของคันไถออกมาเท่านั้น กระนั้นนางก็อธิบายออกมาได้ไม่ชัดเจนนัก หากไม่ใช่เพราะหนานกงฉีอวิ๋นมีพื้นฐานในเรื่องงานไม้ สิ่งที่นางสื่อออกไปเกรงว่าจะต้องไร้ความหมายเสียแล้ว
เขาหยิบกระดาษสะอาดและพู่กันออกมา เพื่อบันทึกและวาดลงไปตามคำอธิบายของเสี่ยวเป่า หลังจากเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ออกมาเป็นภาพที่เคยอยู่ในความทรงจำของเสี่ยวเป่า
“ถูกต้อง หน้าตาเช่นนี้เลยเพคะ”
เสี่ยวเป่าอธิบายให้ท่านพี่ของนางฟังจนรู้สึกปากแห้งและกระหายน้ำ
หนานกงฉีอวิ๋นจึงรีบเทน้ำอุ่นให้นางหนึ่งจอก
“ขอบคุณเพคะ”
“หากเจ้ายังรู้สึกกระหายอยู่ก็ให้บอกข้า”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองรูปที่ตนเองวาดออกมาจากคำอธิบายของน้องสาว พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถึงเจ้าจะบอกว่าสิ่งนี้ช่วยให้ทำงานได้ง่ายมากขึ้น แต่ข้าไม่รู้ว่าคันไถนี้ทำงานอย่างไร ดังนั้นข้าอาจจะต้องดูคันไถอื่น ๆ ก่อน”
แต่ว่าคำพูดของเสี่ยวเป่า ก็ทำให้เขามีทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หนานกงฉีอวิ๋นเรียนรู้เรื่องกลไกมาจากตำราที่เสด็จแม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขามีความสามารถในด้านนี้ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่มีใครสอน
กระนั้นบุรุษที่อาศัยอยู่แต่ในรั้วในวัง วิสัยทัศน์ต่าง ๆ ย่อมมีอย่างจำกัด รอบตัวเขาไม่ได้มีผู้ใดคอยชี้นำ ด้วยเหตุนี้กลไกที่ทำจากไม้เหล่านั้น เขาจึงทำออกมาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ และไม่ได้คิดที่จะทำมันออกมาในทางอื่นเลย
ทว่าตอนนี้ เขามีน้องสาวตัวน้อยที่คอยชี้นำเขาแล้ว
หนานกงฉีอวิ๋นหันไปมองเสี่ยวเป่าด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ข้าขอบใจเจ้ามากนะ น้องสาวตัวน้อยของข้า”
ในขณะที่หนางกงฉีอวิ๋นพูด เขาก็กอดตัวน้องสาวเอาไว้ พร้อมกับหอมแก้มนุ่มนิ่มของนาง
เสี่ยวเป่าก็หอมแก้มพี่ชายคืนพร้อมกับยิ้มตาหยี ทำให้ใบหูขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
ท่านพี่สามช่างขี้อายเสียจริง
ในขณะที่หนานกงฉีอวิ๋นกำลังใช้ความคิดกับแบบร่าง เสี่ยวเป่าก็เล่นของเล่นกลไกที่ทำจากไม้เหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน
จนกระทั่งอวิ๋นหมัวมัวมาเรียกไปกินอาหารมื้อบ่ายนางจึงผละออกไป แล้วนางก็ยัดอาหารลงท้อง จนพุงกลม ๆ ยื่นออกมา
หนานกงฉีอวิ๋น “…ในที่สุดข้าก็รู้ว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่ให้เจ้ากินไปมากกว่านี้”
เขาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นมา และลูบท้องของนางเบา ๆ การแสดงออกของหนานกงฉีอวิ๋นนั้นยากที่จะอธิบายออกมา
เขาเองก็คงต้องช่วยเจ้าตัวเล็กควบคุมอาหารเช่นกัน
ท้องน้อย ๆ นี่เหตุใดจึงมีความสามารถในการกินที่มากมายเพียงนี้ แม้จะอิ่มแล้ว แต่นางก็ยังกินต่อได้
เสี่ยวเป่าทำเสียงฮึดฮัด “ท่านพ่อเคยให้เสี่ยวเป่ากินยาช่วยย่อยที่มีรสขม แต่โชคดีที่เสี่ยวเป่าขอให้ท่านหมอหลวงจางเปลี่ยนยารสชมนั้นให้เป็นรสเปรี้ยวอมหวาน”
หนานกงฉีอวิ๋น: …ช่างมีความเพียรพยายามในด้านการกินเหลือเกิน
ขณะเดียวกัน ณ ตำหนักฉินเจิ้ง
หนานกงสือเยวียนวางฎีกาลงแล้วตรัสถามว่า “องค์หญิงน้อยอยู่ที่ใด”
ฝูไห่ที่ให้คนคอยติดตามองค์หญิงเก้ารีบตอบว่า
“ทรงประทับอยู่ที่ตำหนักฉางซิ่นขององค์ชายสาม ตอนนี้น่าจะได้เวลา…เสวยมื้อบ่ายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลอบมองฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวังพร้อมแสดงท่าทีที่อ่อนน้อม เพราะเกรงว่าฝ่าบาทจะกริ้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา “อารมณ์ร้ายไม่เบา”
ฝูไห่ “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงน้อยยังทรงพระเยาว์จึงหลงใหลอยู่กับการละเล่นและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พระองค์เล่นอยู่กับองค์ชายสามจนหลงลืมเวลาไปบ้าง แต่ฝ่าบาทมิต้องเป็นกังวล องค์หญิงน้อยได้เสวยมื้อบ่ายที่ตำหนักขององค์ชายสามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนโบกพระหัตถ์ “เอาล่ะ ให้คนไปติดตามดู แล้วพานางกลับมาอย่างปลอดภัย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากกินอาหารเสร็จ ด้วยความอิ่มเสี่ยวเป่าจึงเรอออกมา และเริ่มคิดถึงบิดาขึ้นมา
“ท่านพี่ เสี่ยวเป่าอยากกลับแล้ว เดี๋ยวท่านพ่อหาเสี่ยวเป่าไม่เจอ เสี่ยวเป่าต้องรีบกลับ”
หนานกงฉีอวิ๋นเหลือบมองนางพลางคิดในใจว่า เมื่อครู่นางยังโกรธเสด็จพ่ออยู่เลยมิใช่หรือ?
“แล้วของพวกนั้น…”
“เสี่ยวเป่าจะเอากลับไปบางส่วน ส่วนที่เหลือท่านพี่สามช่วยเก็บไว้ให้เสี่ยวเป่าก่อน”
พอสองพี่น้องตกลงกันได้แล้ว เสี่ยวเป่าก็เดินกลับไปพร้อมกับกลไกไม้ที่ทำเป็นรูปร่างสัตว์สองสามตัว และตุ๊กตาหุ่นไม้ที่ท่านพี่สามมอบให้นาง
ถวนจื่อขดตัวเป็นก้อนกลม ๆ และหลับไปในอ้อมแขนของนางกำนัลที่ต้องอุ้มมันกลับไป
เมื่อกลับไปถึงตำหนักฉินเจิ้ง เด็กน้อยก็ต้องการไปที่ห้องโถงกลางเพื่อตามหาบิดาของตน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังคงขุ่นเคืองอยู่ ก็ส่งเสียงแง่งอน
“เสี่ยวเป่ายังคงโกรธท่านพ่ออยู่ ไม่ไปหาท่านพ่อแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็กลับไปที่โถงปีกข้างของนางทันที ทว่าเมื่อเข้าไปด้านในก็ต้องพบกับความประหลาดใจ
ตอนนี้ท่านพ่อของนางกำลังนั่งอยู่ในห้อง พร้อมกับถือตำราในมือพลิกดูไปมา
ราวกับว่าได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังลอยมา หนานกงสือเยวียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาสีเข้ม
เมื่อเหล่านางกำนัลได้เห็นสายพระเนตรของฝ่าบาท ทั้งหมดต่างรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ยกเว้นเสี่ยวเป่า
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
เท้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเป่าเคลื่อนเข้าหาบิดาช้า ๆ
“ท่านพ่อมาหาเสี่ยวเป่าหรือ?”
ถ้าท่านพ่อมาหาเสี่ยวเป่า นางก็จะหายโกรธ
หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ใช่”
เสี่ยวเป่า “!!!”
นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ท่านพ่อไม่ได้มาที่นี่เพื่อหานาง!
องค์หญิงน้อยรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม พร้อมกับส่งเสียงที่เจือไปด้วยความไม่พอใจออกมา
“แล้วท่านพ่อมาที่นี่ทำไม!!!”
หนานกงสือเยวียนตอบ “ตำหนักฉินเจิ้งเป็นของข้า ข้าจะไปไหนมาไหนก็ได้ตามที่ใจข้าต้องการ”
เสี่ยวเป่า “…”
ที่ท่านพ่อว่ามาก็มีเหตุผลนะ
เด็กน้อยมองเขาด้วยความเสียใจ เสียงเล็ก ๆ ของนางสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ออกมา “ท่านพ่อไม่ชอบเสี่ยวเป่าแล้ว”
หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าจะโกรธกันหนึ่งวันหรือ?”
จมูกน้อย ๆ และดวงตากลมของเสี่ยวเป่าแดงระเรื่อขึ้นอย่างน่าสงสาร “ตอนนี้… ตอนนี้เสี่ยวเป่าไม่ค่อยโกรธแล้ว ท่านพ่อต้องปลอบเสี่ยวเป่าก่อน เสี่ยวเป่าจะได้หายโกรธ ง่ายที่สุดเลย”