เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 172 เกี่ยวข้าว
บทที่ 172 เกี่ยวข้าว
บทที่ 172 เกี่ยวข้าว
จิ้นอ๋องที่พวกเขาเรียกขานกันในยามนี้ ก็คือองค์ชายใหญ่หนานกงฉีซิวที่ส่งยิ้มให้กับพวกเขา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ใต้เท้าทุกท่านยกยอข้าเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของข้า แต่เป็นน้องหญิงของข้าที่ทำให้ข้าฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้”
หนานกงฉีอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ เดิมทีมักนิ่งเงียบทำตัวราวกับเป็นอากาศธาตุก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริม
“ข้าวพวกนี้เป็นน้องหญิงที่เพาะพันธุ์ต้นกล้า”
เขากล่าวพลางทอดสายตามองข้าวที่เหล่าเสนาบดีชื่นชมมันราวกับสมบัติล้ำค่า เหตุไฉนถึงไม่เคยได้ยินคนพวกนี้กล่าวชื่นชมน้องหญิงของเขาสักประโยคเลยเล่า?
ช่วงเวลาเช่นนี้ หนานกงสือเยวียนมีหรือจะไม่กล่าวเสริมเสียงเรียบ “แนวคิดการเลี้ยงปลาในนาข้าวก็เป็นความคิดขององค์หญิงเก้าเช่นกัน”
ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น*[1] เสี่ยวเป่ายังเด็กถึงเพียงนี้ ทว่าแต่ละเรื่องที่นางทำนั้นเรียกได้ว่าเก่งเกินวัย ในสายตาผู้อื่น นางฉลาดเกินไปจนดูราวกับปีศาจ
แต่สำหรับหนานกงสือเยวียน: หึ! มันผู้ใดกล้าคิดทำร้ายนางก็ดาหน้ากันเข้ามา ข้าจะตามไปบั่นคอมันผู้นั้นเก้าชั่วโคตร
คนเบื้องหลังนางแข็งแกร่ง แม้เสี่ยวเป่าจะทำบางสิ่งที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าคิดร้ายต่อนาง
หากมันผู้ใดกล้าก็แสดงว่าเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วล่ะ
“องค์หญิงทรงเปี่ยมพระกรุณา ปวงประชาจะต้องจดจำบุญคุณขององค์หญิงอย่างแน่นอน”
หลีรุ่นเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นกล่าวชื่นชมองค์หญิงอย่างใจเย็น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง โดยไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด
เสนาบดีคนอื่น ๆ “…”
ไยพวกข้าจะปล่อยให้เจ้าเอาหน้าอยู่ผู้เดียว!
คนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่ห่วงใยราษฎรจากใจจริง หรือจะเป็นผู้ที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองต่างก็ยืนขึ้น และกล่าวสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียง ทว่าคำสรรเสริญที่พวกเขากล่าวออกมานั้นไม่ได้เรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่เป็นคำพูดจากตำราและบทกวีที่ทั้งไพเราะสละสลวย หาได้ออกมาจากใจจริงไม่
แม่ทัพส่วนหนึ่งที่มาด้วยกันถึงขั้นตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น
สวรรค์! แท้จริงแล้วปากคนพวกนี้นอกจากคำด่าทอที่พ่นใส่พวกเขาแล้ว ยังสามารถเปล่งคำพูดสวยหรูเช่นนี้ได้ด้วย!
เสี่ยวเป่าที่ยืนตัวติดอยู่ข้าง ๆ ท่านพ่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ พลางทอดดวงตาสดใสมองคนเหล่านั้น แม้นางจะไม่ได้เข้าใจมันทั้งหมด แต่หากเป็นไปได้นางก็อยากให้พวกเขากล่าวมากกว่านี้อีกหน่อย!
เจ้าตัวเล็กนี่หลงตัวเองไม่เบา หนานกงสือเยวียนยิ้มบางพลางลูบเส้นผมเงางามของนาง
“ระบายน้ำออก แล้วค่อยเกี่ยวข้าว”
สิ้นเสียงสั่งการของหนานกงสือเยวียน ชาวนาผู้กระตือรือร้นก็เริ่มปล่อยน้ำออกจากนาข้าวทันที แน่นอนว่าในนาข้าวมีปลา พวกเขาจึงไม่ได้ปล่อยน้ำออกทั้งหมด และเหลือน้ำไว้ในปริมาณที่ปลาจะไม่แห้งตายเพราะขาดน้ำไปเสียก่อน
องค์ชายห้าเป็นคนแรกที่กระโจนลงไปในนาข้าวพร้อมกระบุงไม้ไผ่ “ข้าจะไปจับปลา”
องค์ชายคนอื่น ๆ ไม่รอช้า แต่ละคนมุ่งหน้าลงไปในทุ่งนาพร้อมกระบุงไม้ไผ่กันอย่างชื่นมื่น
เด็กเล็กขาสั้นอย่างเสี่ยวเป่าก็เช่นกัน นางแอบถอดรองเท้าของตนออกในระหว่างที่ท่านพ่อเผลอ เผยให้เห็นเท้าเล็ก ๆ อวบอ้วนที่กำลังจะจุ่มลงไปในนาข้าว
แต่ทันทีที่ฝ่าเท้าน้อย ๆ สีขาวอมชมพูแตะน้ำ นางก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้าตัวไว้ราวกับเป็นลูกไก่ในกำมือ
เสี่ยวเป่าแกว่งสองเท้าไปมาพลางหันมองเจ้าของมือตาเขียว เป็นองครักษ์หน้าตาคมเข้ม และข้าง ๆ เขาคือพี่ใหญ่ที่กำลังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำยามวสันต์
เสี่ยวเป่ามุ่ยปากเล็ก ๆ สีแดงระเรื่อ ท่าทางดูไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่บอกให้เขาปล่อยเสี่ยวเป่าเร็วเข้า”
เห็นเหล่าพี่ชายได้ลงไปจับปลาในนาข้าวอย่างมีความสุขแล้ว นางก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาดื้อ ๆ
หนานกงฉีซิวกล่าวกับน้องหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสด็จพ่อสั่งให้ข้าเฝ้าเจ้าเอาไว้ เพราะเกรงว่าเจ้าจะลงไปที่นาข้าว แล้วเจ้าก็จะแอบลงไปจริงด้วย”
ยามนี้ทุกคนต่างพุ่งความสนใจไปที่ข้าวและปลาในนา จนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยที่กำลังแอบตามลงไป ‘กวนน้ำจับปลา’*[2]
ทว่า… ผู้เป็นบิดากลับรู้นิสัยบุตรสาวเป็นอย่างดี จึงได้กำชับกับบุตรชายคนโตตั้งแต่เช้าตรู่ว่า ให้คอยเฝ้าดูผู้เป็นน้องไม่ให้คาดสายตา
แก้มนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าพองเป็นปลาปักเป้าในทันใด
“เกินไปแล้ว! ท่านพ่อไม่ไว้ใจเสี่ยวเป่าเลย!”
น้ำเสียงเช่นนี้ ผู้ใดไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นความผิดของผู้อื่น
หนานกงฉีซิวรับคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน เห็นว่านางยังอารมณ์ไม่ดีจึงยกนิ้วเรียวถูสันจมูกกระจิริด
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเด็กเล็กที่กำลังจะแอบลงไปที่นาข้าวเมื่อครู่นี้ไว้ใจได้อย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวเป่าจับนิ้วเท้าที่อวบอ้วนน่ารักของตน พลางกลอกตาไปมาและทำปากขมุบขมิบ
“เสี่ยวเป่าแค่… แค่จะล้างเท้า!”
นางแก้ตัวด้วยเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ พลางยกเท้าขาวนุ่มขึ้นมา
“ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าแค่จะไปล้างเท้าเอง”
หนานกงฉีซิวหันมองน้ำโคลนในนาข้าว ก่อนจะหันกลับมามองเท้าเล็ก ๆ ของนางพร้อมยกยิ้มขบขัน
“ล้างเท้า?”
เสี่ยวเป่าหันมองน้ำในนา จากนั้นก็หดคอเหมือนกลัวความผิด
สุดท้ายเด็กที่อยากจะลงไปในนาข้าวก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจหวัง ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ในอ้อมกอดของพี่ใหญ่บนฝั่ง เจ้าก้อนแป้งนั่งหน้างอทั้งยังถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
หนานกงฉีซิวลูบหัวน้อย ๆ ของน้องสาวพลางกล่าวปลอบโยน “รอให้เจ้าโตก่อน”
เสี่ยวเป่าก้มดูร่างเล็ก ๆ ของตัวเองแล้วก็ยกนิ้วขึ้นมานับ จึงพบว่าต้องใช้เวลาประมาณสองปีกว่านางถึงจะโตพอที่จะสามารถลงไปจับปลาในทุ่งนากับพี่ ๆ ได้ ทันใดนั้น แววตานางก็หม่นลงเหมือนชีวิตนี้มันสิ้นหวังเหลือเกิน
ต้องรออีกตั้งนานกว่าจะโต!
ข้าวพวกนี้ได้รับการตอบรับดีมาก แม้แต่เหล่าขุนนางบุ๋นที่ไม่เคยทำไร่ไถนาซึ่งยืนอยู่บนฝั่งยังรีบร้อนม้วนแขนเสื้อ แล้วหยิบเคียวขึ้นมาตั้งท่าจะเกี่ยวข้าวในทันใด
ทว่าท่าทางการถือเคียวของพวกเขากลับทำให้ชาวนาที่อยู่ใกล้หวาดกลัวจนตัวสั่น กลัวว่าสิ่งที่เคียวเกี่ยวได้จะไม่ใช่ข้าว แต่เป็นนิ้วของพวกเขาเอง!
“ใต้เท้าโปรดช้าลงหน่อย ดูข้าน้อยแล้วทำตามนะขอรับ”
หลังจากถูกองค์เหนือหัวลงโทษอย่างไร้ความปรานี ด้วยการให้พวกเขาวิ่งอยู่ช่วงหนึ่ง กระดูกจึงแข็งขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งผิวพรรณก็คล้ำขึ้น
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เหมาะกับการทำไร่ทำนา อีกทั้งไม่คิดที่จะก้าวขาลงน้ำ พวกเขาจึงยังยืนอยู่บนฝั่งแล้วเกี่ยวเพียงข้าวที่เอื้อมถึง
พอเกี่ยวได้เต็มกำมือของตนแล้วข้าวก็หนักจนแทบจะถือไม่ไหว
ทว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้คนปลาบปลื้มใจ นับประสาอันใดกับพวกเขา แม้แต่ชาวนาเฒ่าผู้อยู่กับการทำนามาทั้งชีวิตยังรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัส ข้าวพวกนี้จะต้องให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน!
ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ไม่มีชาวนาคนใดไม่ยิ้มแย้มด้วยความปีติยินดี
เหล่าชาวนาต่างยิ้มกว้างจนเกิดรอยยับย่นบนใบหน้าคล้ำ ก้มหน้าเกี่ยวข้าวเพียงอึดใจเดียวรวงข้าวก็เต็มกำมือ แต่ยามวางข้าวลงบนพื้น พวกเขามักจะระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากให้เมล็ดข้าวร่วงหล่นลงพื้นแม้แต่เมล็ดเดียว
แม้การทำเช่นนั้นจะดูไม่ทันอกทันใจ แต่ก็พอเข้าใจได้
ทุกคนต่างจับจ้องผู้คนที่กำลังเกี่ยวข้าว ทว่าหนานกงฉีอวิ๋นกลับตั้งใจมองผู้คนที่กำลังนวดข้าว
หลังได้คำแนะนำจากเสี่ยวเป่า เขาก็ตัดสินใจว่าจะสังเกตทุกขั้นตอนให้ดี
เกี่ยวข้าวนั้นดีหน่อย เพราะเคียวเกี่ยวข้าวทั้งหมดในนาหลวงทำมาจากเหล็กกล้าที่ถูกลับจนคมกริบ เหล่าชาวนาที่คุ้นเคยกับงานทำไร่ทำสวนอยู่เป็นทุนเดิมจึงเกี่ยวข้าวได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว
ทว่าขั้นตอนการนวดข้าวนั้นจะทำได้ช้ากว่ามาก
จากที่หนานกงฉีอวิ๋นเฝ้าสังเกตได้สักพักก็พบว่า ชาวนาจะมัดข้าวที่เกี่ยวแล้วเรียงฟ่อนข้าวไว้อย่างเป็นระเบียบ จากนั้นจะใช้ไม้ยาว ๆ หรือที่เรียกว่า ไม้นวดข้าว หนีบฟ่อนข้าวไว้ก่อนจะยกขึ้นแล้วทุบลงบนพื้นเพื่อให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวง
แต่เพราะกลัวว่าเมล็ดข้าวสวย ๆ จะเสียหายจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่การทำเช่นนี้นั้นยิ่งทำให้การทำงานช้าขึ้นไปอีก
หลังจากทุบมันด้วยไม้นวดข้าวแล้ว ก็จะต้องใช้ไม้เล็ก ๆ ค่อย ๆ ตีอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เมล็ดข้าวที่เหลือหลุดออกมาจนหมด
งานที่น่าเบื่อและลำบากเช่นนี้ แต่พวกเขากลับทำมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หนานกงฉีอวิ๋นจับจ้องไปที่มือของพวกเขา มันทั้งด้านและหยาบกร้านราวกับเปลือกไม้แห้ง คนพวกนี้ทำงานหนักเนื้อตัวเปียกซกไปด้วยเหงื่อ ทว่ายังคงมีรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
[1] ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น หมายถึง ทำตัวเด่นจะเป็นภัยต่อตน หากทำตัวเก่งเกินหน้าเกินตาก็จะมีคนหมั่นไส้และริษยา
[2] กวนน้ำจับปลา หมายถึง ฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน