เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 182 ความกลัวของหนานกงสือเยวียน
บทที่ 182 ความกลัวของหนานกงสือเยวียน
บทที่ 182 ความกลัวของหนานกงสือเยวียน
ในตอนนั้นเอง เซี่ยหลานซูก็รีบแนะนำฐานะของจี้ชิงชิงให้แก่เสี่ยวเป่า
“จี้ชิงชิง เป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมกลาโหม นางมีพี่ชายสองคน เหตุที่ทะเลาะเบาะแว้งก็เป็นเพราะว่า…”
“เสี่ยวเป่ารู้ เสี่ยวเป่ารู้”
เด็กเล็กพูดอย่างกระตือรือร้นและชูมือขึ้นสูง “เสี่ยวเป่ากับท่านอาเจ็ดและท่านอาจารย์ฟังอยู่ด้วยกัน”
เซี่ยหลานซู “…”
หลี่หนานจูรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“กรี๊ดดด!!! จี้ชิงชิงนางคนชั้นต่ำ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปดี หลี่หนานจูเถียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ก็กระโจนเข้าใส่จี้ชิงชิงราวกับถูกกระตุ้นอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างร้องตะโกนด้วยความตกใจ ลำพังแค่โต้เถียงกันก็มิเป็นไรหรอก แต่หากลงไม้ลงมือกันขึ้นมา เรื่องคงจะไม่ดีเป็นแน่
นี่มันในพระราชวังนะ!
“รีบไปห้ามพวกนางเร็วเข้า!”
ผู้คนเข้าไปแยกทั้งสองที่กำลังทึ้งผมกันอยู่ เกิดเป็นเหตุชุลมุนวุ่นวายอยู่พักใหญ่
อีกทั้งตบตีกันไปมาจนตกลงไปในทะเลสาบด้วยกันทั้งคู่
“ช่วย…ช่วยด้วย!”
ทั้งสองกระเสือกกระสนอยู่ในน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็น สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ท่ามกลางเสียงร้องตะโกน
“รีบช่วย…”
เสี่ยวเป่ากำลังจะบอกให้รีบช่วยพวกนาง ทว่าทันใดนั้น ก็มีแรงผลักอย่างแรงจากด้านหลัง เสี่ยวเป่าตกลงไปในน้ำ เสียงโหวกเหวกโวยวายดังยิ่งกว่าเดิม
“องค์หญิง! องค์หญิงตกน้ำ รีบช่วยองค์หญิงเร็วเข้า!”
ชิวหยวนที่ติดตามเสี่ยวเป่าตกใจจนร้องไห้ออกมา พลางร้องตะโกนลั่น
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เซี่ยหลานซูพลันหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด
“ระ…รีบช่วยองค์หญิงเร็วเข้า!”
ชิวหยวนฟุบหน้าลงกับรั้ว ร้องไห้จนตาแดงก่ำ
“องค์หญิงตกน้ำจากตรงนี้ รีบช่วยนางเร็วเข้า!”
ทุกคนต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
“นางหายไปไหนแล้ว?”
ทุกคนมองลงไปในน้ำ คนที่ว่ายน้ำเป็นกระโดดลงไปค้นหาองค์หญิงรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบ ใบหน้าพลันซีดเซียวไปตาม ๆ กัน
หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงน้อย เกรงว่าฝ่าบาทคงได้ประหารคนเป็นแน่!
ในขณะที่ทุกคนกำลังหวาดกลัวและรู้สึกสิ้นหวังนั้นเอง จู่ ๆ ฝูงปลาจิ๋นหลี่ที่อยู่ไม่ไกลนักก็รวมตัวกันและว่ายวนอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นหัวเล็ก ๆ ที่เปียกชุ่มก็โผล่ขึ้นมากลางฝูงปลาจิ๋นหลี่ที่กำลังแหวกว่าย
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”
เมื่อเห็นคนรวมตัวกันอยู่ที่ริมฝั่ง เสี่ยวเป่าก็ใช้มือน้อย ๆ สองข้างผลักหัวปลาจิ๋นหลี่ที่กำลังมุงนางอยู่อย่างแรงและเอ่ยถามเสียงเบา
เหมือนนางจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งคนที่อยู่บนฝั่งและคนที่ลอยอยู่ในน้ำต่างก็ตะลึงงัน
พวกใต้เท้าที่รู้ข่าวและรีบมาที่นี่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
“ฮือออออออ!”
ชิวหยวนร้องไห้จ้า กลัวว่าเพื่อนตัวน้อยจะจากไปแล้วเสียอีก
เสี่ยวเป่า “…”
เซี่ยหวงกุ้ยเฟยเห็นเสี่ยวเป่าอยู่ในน้ำ ก็แทบจะเป็นลมล้มพับลงไปตรงนั้น
โชคดีที่นางกำนัลประคองนางไว้ได้ทัน
ตอนที่มีคนวิ่งไปรายงานว่าองค์หญิงน้อยพลัดตกน้ำ สวรรค์รู้ดีว่าในใจของนางร้อนรนเพียงใด กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับองค์หญิง
“เสี่ยวเป่า รีบขึ้นมาเร็วเถิด ไม่สิ เจ้าอยู่เฉย ๆ พวกเจ้ารีบลงไปช่วยองค์หญิงน้อยเร็วเข้า!” หากไม่เห็นว่าเด็กน้อยปลอดภัยดี เซี่ยชิงหร่านก็คงจะกระโดดลงไปในน้ำและดึงนางขึ้นมาเองแล้ว
“ไม่ต้องเพคะ เสี่ยวเป่าว่ายน้ำเป็น”
แต่นางไม่ทันจะได้ว่าย เหล่าปลาตัวอวบอ้วนก็พลันรวมตัวอยู่ใต้ร่างของเสี่ยวเป่าราวกับพรมที่งดงาม ยกตัวนางให้ลอยขึ้นอยู่เหนือผิวน้ำ ส่ายหางไปมาอย่างมีความสุข และพานางกลับไปที่ริมฝั่ง
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเบิกกว้าง “เอ๋? ตัวเสี่ยวเป่าไม่หนักหรือ?”
ลอยตัวในน้ำย่อมไม่หนักอยู่แล้ว อีกอย่างก็มีปลาตั้งมากมายเพียงนี้
ดูจากขนาดแล้ว คาดว่าปลาคงจะมากันทั้งทะเลสาบเลยทีเดียว
ต่อให้เพิ่งพบเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจมา แต่ทุกคนก็ยังตกตะลึงกับฉากมหัศจรรย์ตรงหน้าอยู่ดี
ปลาจิ๋นหลี่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร บัดนี้องค์หญิงน้อยนั่งอยู่บนฝูงปลาจิ๋นหลี่ที่กำลังแหวกว่าย แม้ว่าเนื้อตัวจะเปียกชุ่ม แต่นางก็ยังคงงดงามราวกับรูปสลัก สถานการณ์เช่นนี้คล้ายเทพธิดาลงมาจุติยังโลกมนุษย์เสียมากกว่า
“องค์หญิงน้อยคงไม่ได้เป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดจริง ๆ หรอกนะ?”
“สวรรค์ทรงโปรด!”
เป็นความเชื่อนับตั้งแต่โบราณกาล ความมหัศจรรย์เพียงน้อยนิดก็สามารถเชื่อมโยงถึงเทพเซียนได้ ภาพเหตุการณ์ที่เสี่ยวเป่าตกน้ำแล้วได้รับความช่วยเหลือจากฝูงปลาจิ๋นหลี่ ย่อมสร้างความตระหนกตกใจแก่พวกนางอย่างไม่ต้องสงสัย
“อมิตาพุทธ องค์หญิงน้อยของเราเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดจริง ๆ!”
เสี่ยวเป่าได้รับความช่วยเหลือจนมาถึงริมฝั่ง ทุกคนต่างใช้สายตาลุกวาวจับจ้องมาที่นาง
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่มีใครคิดว่านางเป็นภูตผี ปีศาจ หรือพวกสัตว์ประหลาดอะไรทำนองนั้น ประการแรกเป็นเพราะนางคือพระธิดาของฮ่องเต้ และพระธิดาของโอรสสวรรค์จะเป็นภูตผีปีศาจไปไม่ได้
ประการถัดมาเป็นเพราะปลาจิ๋นหลี่ สัญลักษณ์แห่งความโชคดี! ทั้งยังมีตั้งมากมายขนาดนั้น!!!
เสี่ยวเป่าเปียกชุ่มไปทั้งตัว เซี่ยชิงหร่านสั่งให้คนรีบพานางไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงน้อยปลอดภัยดี ดวงตางดงามของนางก็จ้องมองทุกคนอย่างเย็นชา
“องค์หญิงน้อยพลัดตกน้ำได้อย่างไร”
นางไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นอุบัติเหตุ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องสืบรู้ให้แน่ชัด แต่ในตอนนั้นสายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่หลี่หนานจูกับจี้ชิงชิงที่กำลังโกลาหลวุ่นวาย จึงไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หนานกงสือเยวียนเองก็ตกใจไม่แพ้ผู้ใด
เขาถึงกับหักพู่กันในมือเมื่อได้ทราบข่าว
หนานกงสือเยวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาลุกขึ้นยืนและรีบมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุทันที
พวกขุนนางที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วระรัว ยามได้เห็นใบหน้าดำคล้ำราวกับเหล็กกล้าของฝ่าบาท และไอสังหารที่แผ่ออกมาทั่วร่างอย่างควบคุมไม่อยู่
เพราะว่าสมาชิกครอบครัวของพวกนางก็อยู่ในหมู่พวกเขาด้วย
จบกัน จบสิ้นแล้ว พวกเขารู้สึกถึงเมฆครึ้มที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ทั้งหมดวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังฝ่าบาทไป มือเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากไม่หยุดหย่อน ในใจพลางสวดภาวนาขออย่าให้ครอบครัวของตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย!
เมื่อหนานกงสือเยวียนมาถึง เซี่ยชิงหร่านก็ควบคุมทุกคนไว้หมดแล้ว
“เสี่ยวเป่าอยู่ไหน?”
ชายหนุ่มรูปงามบัดนี้ราวกับกลายเป็นมัจจุราช ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างหวาดกลัวจนใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ รีบก้มหัวไม่กล้าแม้แต่จะสบมองสายพระเนตรของฝ่าบาท
“ถวายบังคมฝ่าบาท…”
“เสี่ยวเป่าอยู่ที่ไหน?”
หนานกงสือเยวียนตัดบทด้วยสุรเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีดำสนิทลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด แม้แต่เซี่ยชิงหร่านเองก็มองเพียงแวบเดียวและไม่กล้ามองอีก
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย องค์หญิงน้อยปลอดภัยดีเพคะ”
ทันทีที่เซี่ยชิงหร่านพูดจบ เสียงน้อยน่ารักของเสี่ยวเป่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ท่านพ่อ”
หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็ปล่อยผมที่เปียกหมาด และใช้ขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปกอดขาเรียวยาวของบิดาอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตานั้นเอง ทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เมฆทะมึนที่ปกคลุมอยู่บนหัวของตนนั้นได้สลายหายไปแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกท่านพ่อที่คุ้นเคย หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกว่าโลหิตในร่างกายที่ถูกแช่แข็งอยู่พลันถูกสูบฉีดและแทนที่ด้วยความอบอุ่น
เขาโน้มตัวลงไปอุ้มเจ้าก้อนแป้งที่ห้อยเกี่ยวอยู่กับขาของตนเองโดยไม่รีรอ
หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่านิ้วมือของเขาสั่นเทาเบา ๆ อีกทั้งริมฝีปากบางก็ซีดเซียวลงเล็กน้อย
ทันทีที่ทราบข่าว หนานกงสือเยวียนรู้สึกเพียงว่าศีรษะของตนราวกับถูกระเบิดออก เขาเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบไปตลอดทาง ห้ามความคิดเลวร้ายที่ผุดขึ้นภายในใจไม่อยู่
ชั่วขณะนั้นเอง หนานกงสือเยวียนรู้สึกว่า แม้ยามถูกกองทัพนับหมื่นล้อมอยู่กลางสนามรบก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่บัดนี้…เป็นอีกครั้งที่เขาได้รู้ซึ้งว่าความหวาดกลัวเป็นเช่นไร
ครั้งแรกคือตอนที่เสด็จแม่และครอบครัวของนางถูกฆ่าล้างยกตระกูล เขาเผลอคิดว่านั่นจะเป็นครั้งแรกและเป็นเพียงครั้งสุดท้าย