เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 183 สืบสาวราวเรื่อง
บทที่ 183 สืบสาวราวเรื่อง
บทที่ 183 สืบสาวราวเรื่อง
“เสี่ยวเป่าปลอดภัยดี ท่านพ่อไม่ต้องกลัวนะเพคะ”
เสี่ยวเป่าถูกกอดจนแน่นก็พลันรู้สึกอึดอัดในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าท่านพ่อกำลังตัวสั่น เด็กน้อยก็กอดคอของเขาและถูไถคอของบิดาด้วยความรักใคร่พลางปลอบเขาอย่างอ่อนโยน
“อืม”
หนานกงสือเยวียนอุ้มเจ้าก้อนแป้งไว้ในอ้อมแขน ในที่สุดความคิดเลวร้ายในตอนแรกก็สงบลงได้เสียที
ผู้คนบริเวณนั้นที่ได้เห็นฉากนี้ก็มิอาจสงบใจลงได้เลย แม้ว่าข่าวลือต่าง ๆ ในอดีตจะบอกว่าท่าทีที่ฮ่องเต้ผู้นี้มีต่อองค์หญิงน้อยแตกต่างออกไป แต่เมื่อได้เห็นกับตาตนเองในวันนี้แล้ว กลับพบว่ามันต่างจากที่เคยได้ยินหรือได้ฟังมา
ในใจหลาย ๆ คนเริ่มรู้สึกตระหนกเล็กน้อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้พวกเขาล้วนอยู่ด้วย ฮ่องเต้ที่กำลังพิโรธ ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นฮ่องเต้ที่ฆ่าคนในสนามรบเป็นผักเป็นปลา ถึงขนาดสังหารบิดาและญาติพี่น้องของตนได้ลงคอ
ในบรรดาคนพวกนี้ ตระกูลจี้และจวนเซวียนผิงโหวเป็นผู้ที่หวาดกลัวที่สุด เพราะไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เรื่องในวันนี้ก็เกิดขึ้นเนื่องด้วยสตรีของทั้งสองตระกูลทะเลาะกัน
หนานกงสือเยวียนนั่งลงบนที่ประทับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมกับอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขน กลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต่างหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน
ความเงียบที่เงียบกว่าเดิมนั้นชวนให้น่าอึดอัดใจเป็นที่สุด ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่บัดนี้กลับเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มที่หล่นลงพื้น
ในที่สุด ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้น “ว่ามา มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วราบเรียบ แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ว่านี่หมายถึงคลื่นลมสงบก่อนพายุจะมา
“ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันเล่าเถิดเพคะ”
ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จมา เซี่ยชิงหร่านก็รู้เรื่องทุกอย่างชัดเจนแล้ว นางจึงเล่าทุกอย่างที่นางรู้โดยไม่เอนเอียงไปฝ่ายใด
เมื่อได้ฟังแล้ว ดวงตาของหนานกงสือเยวียนพลันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก “แล้วองค์หญิงตกน้ำได้อย่างไร?”
เรื่องนี้เซี่ยชิงหร่านเองก็มิอาจรู้ได้ ตามที่ทุกคนบอก ตอนนั้นต่างกำลังจดจ้องไปที่จี้ชิงชิงและหลี่หนานจู เป็นไปได้ว่าองค์หญิงน้อยอาจจะยืนไม่ดีจึงพลัดตกน้ำไปเอง
เสี่ยวเป่าดึงแขนเสื้อของเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าไม่ได้ลื่น มีคนผลักเสี่ยวเป่า”
เจ้าก้อนแป้งรู้สึกน้อยใจ นางยืนของนางอยู่ดี ๆ ทั้งยังคิดจะเรียกคนให้ไปช่วยพวกนาง แต่จู่ ๆ ก็โดนผลักอย่างแรงจนตกน้ำเสียอย่างนั้น
เพราะโดนผลักจากด้านหลัง เสี่ยวเป่าจึงไม่เห็นว่าคนที่ผลักนางเป็นใคร แต่ทันเห็นชายเสื้อของคนผู้นั้น
“นางสวมชุดสีชมพูอ่อนของนางกำนัลเพคะ”
แม้จะเป็นแค่ชายเสื้อ แต่ชุดของนางกำนัลในวังเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด เสี่ยวเป่าจึงจำได้ไม่ยาก
หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเย็น “ช่างใจกล้าจริงนะ”
เป็นใครก็คาดไม่ถึงว่านางจะถูกผลัก เดิมคิดว่าองค์หญิงน้อยไม่ทันระวังในช่วงชุลมุน จึงลื่นตกลงไปในน้ำเอง
สวรรค์! ผู้ใดกันที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ในวังหลวง ซ้ำยังเป็นในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อองค์หญิงน้อยด้วย
“นำตัวนางกำนัลทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาให้ข้า!”
คนของหนานกงสือเยวียนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม พาตัวนางกำนัลทั้งหมดมาได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
พวกนางก้มหน้าลงกับพื้น ใบหน้าซีดเซียวดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แค่คนผู้เดียวก็สามารถลากผู้เกี่ยวข้องมาได้ไม่น้อยเลย
แต่ว่านางกำนัลมีมากเกินไป อีกทั้งเสี่ยวเป่าก็ไม่ได้เห็นหน้าของคนทำชัด ๆ การจะหาตัวผู้กระทำจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หากจะไต่สวนก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด
ในตอนที่หนานกงสือเยวียนให้ทุกคนกลับไปยืนยังตำแหน่งเดิมในตอนที่เกิดเรื่อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบลง
“มะ…หม่อมฉันจำได้ว่ามีใครยืนอยู่ใกล้ ๆ องค์หญิงบ้างในเวลานั้นเพคะ”
คาดไม่ถึงว่าเสียงนั้นจะเป็นของเจ้าเด็กตัวอวบอ้วน
เป็นชิวหยวน เพื่อนตัวน้อยกินจุทั้งยังคุยถูกคอกับเสี่ยวเป่าที่สุดนั่นเอง
เจ้ากรมชิวพอได้เห็นว่าผู้ที่ก้าวออกมาคือหลานสาวของตนก็แทบสิ้นสติสมประดี
เด็กคนนี้นี่ เรื่องไม่เกี่ยวกับเราก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังกริ้วหนัก หากพูดอะไรไม่เข้าหูแล้วถูกสั่งลงโทษจะทำเช่นไรเล่า!
ฮูหยินชิวเองก็ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
มีคนมองอยู่มากมายเช่นนี้ ชิวหยวนย่อมต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคนที่กำลังอุ้มเสี่ยวเป่า น่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไร
แต่ว่า!
นางเป็นสหายขององค์หญิง องค์หญิงเป็นผู้เดียวที่ไม่รังเกียจเดียดฉันท์นางที่ตัวอ้วนพี ทั้งยังชมว่านางน่ารัก นางจะต้องหาตัวคนโหดเหี้ยมที่คิดร้ายกับองค์หญิงให้เจอให้จงได้!
ดวงตาเป็นประกายของเสี่ยวเป่าสบเข้ากับแววตาสุกใสแน่วแน่ของชิวหยวน
ชิวหยวน: ไม่ต้องกังวลไปนะเพคะ หม่อมฉันจะช่วยพระองค์เอง!
เสี่ยวเป่า: รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง
หนานกงสือเยวียนโบกพระหัตถ์ “มานี่สิ”
ชิวหยวนยิ้มให้เสี่ยวเป่าและเดินเข้าไปอย่างสงบเสงี่ยม
จะว่าไปท่านพ่อของเสี่ยวเป่าก็หล่อเหลาเอาการเลยนะ
เจ้ากรมชิวมองหลานสาวของตน เจ้าลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ*[1] ใครสั่งใครสอนให้สตรีบ้านนี้โง่งมเช่นนี้กันนะ!
“หยวนหยวน”
เสี่ยวเป่าเอื้อมแขนเล็ก ๆ ของตนไปจับมือน้อย ๆ ของชิวหยวน
“ชิวหยวน ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เด็กน้อยเอ่ยเสียงสดใส เพราะที่บ้านอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี นางจึงรู้ว่าท่านปู่ของนางเกรงกลัวบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามาก เมื่อเข้าเฝ้าก็ต้องถวายความเคารพ
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “เจ้าจำได้หรือว่าผู้ใดยืนอยู่ใกล้องค์หญิงในตอนนั้น?”
ชิวหยวนพยักหน้า “จำได้เพคะ หม่อมฉันความจำดี”
“เช่นนั้นก็จงบอกมาว่ามีผู้ใดบ้าง”
ชิวหยวนพยักหน้าอีกครั้ง เบิกตากลมโตเพื่อมองพวกนางทีละคน เหล่านางกำนัลที่ถูกชิวหยวนกวาดสายตามองต่างก็รู้สึกแน่นหน้าอก ใบหน้าซีดเผือดเสียยิ่งกว่าเดิม
“นาง นาง แล้วก็นางเพคะ”
ชิวหยวนชี้ไปที่นางกำนัลสามคน พวกนางล้มพับลงกับพื้นแทบจะในทันที
“ฝ่าบาท ไม่ใช่หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ผลักองค์หญิงจริง ๆ นะเพคะ”
พวกนางปฏิเสธด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว แต่ฮ่องเต้ยังคงนิ่งเงียบอยู่
“ตอนนั้นพวกเจ้ายืนใกล้องค์หญิงใช่หรือไม่”
ทั้งสามกระวนกระวายใจ ทว่าในที่สุดก็พยักหน้ารับเพราะถูกหนานกงสือเยวียนเค้นถาม เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าชิวหยวนไม่ได้ชี้ผิดตัว
แต่เรื่องที่ว่าใครเป็นคนผลัก เหตุการณ์ตอนนั้นชุลมุนจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น
ทว่าเท่านี้วงก็แคบลงแล้ว การสอบสวนก็จะน้อยลง คงสืบหาตัวผู้กระทำได้เร็วขึ้น
หนานกงสือเยวียนสั่งให้คนนำตัวพวกนางไปสอบสวน
ขั้นตอนนี้อาจมีการนองเลือดอยู่บ้างจึงไม่ได้ให้เสี่ยวเป่าดู
ลำพังนางกำนัลเพียงคนเดียวคงไม่มีความกล้าพอจะไปทำร้ายองค์หญิงเป็นแน่ ดังนั้นต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
“ไปสืบดูว่านางกำนัลสามคนนั้นเป็นคนของตำหนักใด หรือเกี่ยวข้องกับใครบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหนานกงสือเยวียนจัดแจงเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว ทั้งสถานที่ก็เงียบลงอีกครา
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัว ให้ความรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นปี ไม่มีผู้ใดในที่นั้นกล้าพูดอะไร แม้จะยังก่นด่าอยู่ในใจก็ตาม
งานเลี้ยงก็จัดของมันอยู่ดี ๆ แท้ ๆ เหตุใดจะต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายด้วย
เวลาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยทูลลาเลยสักคน
“ฝ่าบาท สืบได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาล่วงเลยไปหนึ่งก้านธูป หลินเจิ้งชิงก็กลับมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด
เหล่าสมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรีต่างก็โล่งอก ถึงอย่างไรพวกนางก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องละอายแก่ใจ แม้จะถูกถามแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตน หวังเพียงว่าฝ่าบาทจะไม่ระบายความโกรธเกรี้ยวมาที่พวกนางก็เพียงพอแล้ว
โดยเฉพาะคนตระกูลจี้ ฮูหยินจี้ลอบมองบุตรสาวของตนเองเป็นรอบที่ร้อยแล้วกระมัง
หากครานี้ไม่ใช่เพราะพวกนางก่อเรื่องในวังหลวง ก็อาจจะถูกคิดได้ว่าใช้โอกาสนี้ลอบทำร้ายองค์หญิงก็เป็นได้
“นำตัวเข้ามา”
หนานกงสือเยวียนมองเสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมแขน
“เซี่ยหวงกุ้ยเฟยพาองค์หญิงออกไปก่อน”
“เสี่ยวเป่าไม่ไป”
เด็กเล็กกอดคอของบิดาพลางปฏิเสธ “เสี่ยวเป่าไม่ไป เสี่ยวเป่าจะอยู่กับท่านพ่อ”
[1] เจ้าลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ เปรียบเปรยว่า ยังอ่อนประสบการณ์จึงไม่เกรงกลัว