เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 187 แผนการล้างแค้น
บทที่ 187 แผนการล้างแค้น
บทที่ 187 แผนการล้างแค้น
เสี่ยวชียืนมือไพล่หลังทำหน้าจริงจังราวกับผู้อาวุโส “พี่ห้า ท่านไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เป็นพี่คนแล้ว ไม่ควรปีนต้นไม้หรือวิ่งเล่นบนหลังคาเหมือนเมื่อก่อน อีกอย่างบนต้นไม้นั่นมีรังผึ้งที่เสี่ยวเป่าเลี้ยงไว้ ท่านอย่าลืมว่าผึ้งมันต่อยเจ็บมากนะ”
คนบางคนฉวยโอกาสฟ้อง
เสี่ยวเป่าจ้องพี่ห้าด้วยสายตาขุ่นเคือง
“พี่ห้า เสี่ยวเป่าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่าอย่ายุ่งกับรังผึ้ง”
หนานกงฉีหลิง “ข้าไม่… เอาเถิด ข้าเข้าใจแล้ว”
เขายอมจำนนแต่ก็ไม่วายส่งสายตาจิกกัดเสี่ยวชี เจ้าเด็กนี่ดูเหมือนเป็นคนเถรตรง ทว่าใจดำอำมหิตเป็นที่สุด!
“เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้น คนของจวนเซวียนผิงโหว จู่ ๆ อะไรนั่นรังแกเจ้าอีกแล้วหรือ?”
หนานกงฉีจวินเอ่ยถามด้วยความโมโห ไม่ใช่โมโหเสี่ยวเป่า แต่เป็นหลี่หนานจูนั่นต่างหาก
กว่าพวกเขาจะรู้เรื่อง เหตุการณ์ก็ผ่านไปแล้ว อีกทั้งตอนที่รู้ก็ดึกมากแล้วด้วย พอส่งคนมาถามข่าวคราวของเสี่ยวเป่าก็ได้ความว่าคนตัวเล็กเข้านอนแล้ว
พวกเขาจึงพากันมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ ทว่าพอได้เห็นเด็กน้อยยังร่าเริงดีพวกเขาก็โล่งใจ
เสี่ยวเป่ากัดซาลาเปาหนึ่งคำ ก่อนจะเปิดปากเล่า
“หา! ผลักเสี่ยวเป่าตกน้ำ”
พี่ชายทั้งหลายของเสี่ยวเป่าใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม น้องสาวของพวกเขายังเด็กมาก หากนางว่ายน้ำไม่เป็น แม้จะมีคนลงไปช่วย แต่ทะเลสาบลึกออกปานนั้น กว่าจะช่วยนางขึ้นมาได้ก็คงขาดอากาศหายใจไปแล้ว หรือไม่นางอาจตกใจกลัวจนป่วยหนักก็เป็นได้
วิชาการแพทย์ในยุคนี้ยังถือว่าล้าหลังนัก ผู้ใหญ่หลายคนยังป่วยเมื่อหวาดกลัวสิ่งใดมาก ๆ นับประสาอันใดกับเด็กสามขวบ
แม้สุดท้ายแล้วจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่พวกเขาก็ยังกลัวว่ามันจะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของอาการป่วย หรือต้นตอของโรคร้าย
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ พวกเขาแทบอยากจะสับสตรีแซ่หลี่นั่นให้เป็นชิ้น ๆ
“นางเป็นคนของจวนเซวียนผิงโหวใช่หรือไม่?”
นัยน์ตาขององค์ชายห้าฉายแววอาฆาตแค้น เขาวางแผนในใจว่าจะหาโอกาสไปทูลขออนุญาตเสด็จพ่อออกนอกวังเพื่อไปหาท่านตาและบรรดาญาติผู้พี่ ญาติผู้น้องของตน แล้วจัดการพาคนเอากระสอบไปคลุมหัวคนในจวนเซวียนผิงโหวในตอนกลางคืน ทุบตีพวกมันให้น่วม
โทสะมีอยู่เต็มอก หากไม่ได้ระบายออกไป เขาต้องอยู่อย่างคับแค้นใจเป็นแน่ ทว่าเขาจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ขององค์ชายไว้ จึงไม่อาจทำการใดที่จะเป็นปัญหาได้อย่างเปิดเผย และไม่อาจลงมือด้วยตนเอง แต่หากเขาทำอย่างลับ ๆ ท่านไม่พูดข้าไม่พูด ผู้ใดจะรู้ ยิ่งเอากระสอบคลุมหัวก่อนตี คนพวกนั้นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือเขา… จริงหรือไม่?
แต่พอองค์ชายห้าเสนอความคิดของตนออกไป สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่เขา
องค์ชายหก หนานกงฉีเฉิน “สมกับเป็นพี่ห้า นี่เป็นสิ่งที่คนจวนเซวียนผิงโหวสมควรได้รับ!”
เสี่ยวปาทำหน้ามุ่งมั่น พลางถูมือไปมาเหมือนคันไม้คันมือ “พี่ห้า ข้าขอร่วมด้วย ข้าเองก็จะไปทูลขอเสด็จพ่อด้วย”
เสี่ยวชีกล่าวเสียงเข้ม “แต่ก่อนอื่นเราต้องศึกษาให้ดีก่อนว่าคนของจวนเซวียนผิงโหวมักจะผ่านไปที่ใด เราต้องวางแผนก่อน”
องค์ชายสี่ได้ยินเช่นนั้นก็เกาหัวแกรก ๆ “เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย ข้าตีคนเจ็บนะ”
“ไม่ได้!” เหล่าองค์ชายที่เหลือพูดพร้อมกัน
เสี่ยวปาโพล่งออกมาเสียงดัง “พี่สี่มือหนักแรงเยอะ ตีครั้งเดียวก็เจ็บจะตายแล้ว หากคนที่ท่านตีเกิดตายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?”
เสี่ยวชีพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ แม้เราจะเป็นองค์ชาย ทว่าโทษของการตีคนเพื่อสั่งสอนกับการตีคนจนถึงตายนั้นแตกต่างกัน โอรสสวรรค์ทำผิดยังต้องรับโทษเฉกเช่นสามัญชน พวกเรา…”
องค์ชายห้า “หุบปากเสีย เจ้านี่ชอบทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปได้ เอาแต่อวดว่าตนเองมีความรู้มากกว่าพี่ชาย”
เสี่ยวชีหน้าหงอย “ข้าแค่พูดตามความจริง!”
เขาไม่เหมือนกับพี่สี่ พี่ห้า และเสี่ยวปา สามคนนั้นโตแต่ตัว สมองไม่โตตาม ช่างต่างจากเขาที่เป็นคนสติปัญญาดี!
หลายหัวขยับเข้าหากันเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการล้างแค้น
“ก่อนอื่นพวกเราต้อง…”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “อืม ๆ”
“จากนั้นค่อย…”
เสี่ยวเป่ากัดซาลาเปาอีกคำแล้วพยักหน้า “ไม่เลว ๆ”
“ต่อไปก็…”
เสี่ยวเป่ากลืนซาลาเปา ลูบท้องแล้วผงกหัว “ดี ๆ”
ทว่าจู่ ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง พอกวาดตามองจึงพบว่าเหล่าพี่ชายกำลังมองนางเป็นตาเดียว
องค์ชายห้าผลักหน้าผากนางเบา ๆ “เด็กไม่ควรแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน”
องค์ชายหก “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี รอฟังข่าวดีจากพวกพี่อยู่ที่นี่ก็พอ”
เสี่ยวชีสอนด้วยท่าทางจริงจัง “เรื่องที่พวกพี่คุยกันไม่เหมาะกับเด็กเล็กที่กำลังเติบโต”
เด็กเล็กที่ถูกพี่ ๆ ‘กีดกัน’ ออกจากการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำหน้าเศร้า
“เสี่ยวเป่าเป็นผู้ถูกกระทำ เสี่ยวเป่าขอร่วมด้วย!”
“ไม่ได้!”
เหล่าพี่ชายปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง เรื่องชั่วร้ายอย่างการคลุมกระสอบตีคน จะให้เทพธิดาตัวน้อยบอบบางไร้เดียงสาเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร?
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าจะไปด้วย”
“เสี่ยวเป่าเด็กดี เด็กผู้หญิงไม่ควรมีเรื่องชกต่อย”
“ใช่ ๆ คนตระกูลหลี่ล้วนมีผิวหนาและหยาบกร้าน เกิดมือเจ้าเจ็บขึ้นมาเล่า?”
“พวกพี่จะสั่งสอนคนพวกนั้นให้เอง”
เสี่ยวเป่าทำหน้าน่าสงสาร “ไม่ให้เสี่ยวเป่าไปด้วยจริง ๆ หรือท่านพี่~ เสี่ยวเป่าจะไม่ดื้อไม่ซน สัญญาว่าจะเชื่อฟังท่านพี่อย่างดี”
นางพูดพลางชูมือขึ้นมาสี่นิ้ว “เสี่ยวเป่าสาบานสี่นิ้วเลยก็ได้!”
เหล่าพี่ชายมองนิ้วกลม ๆ ทั้งสี่ด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“สาบานเขาไม่ทำกันเช่นนั้น”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวแค่จะไปดูพวกท่านพี่เฉย ๆ อีกอย่างเสี่ยวเป่ามีเฟิงเฟิงไปด้วย”
เห็นเหล่าพี่ชายยังลังเล คนตัวเล็กก็ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น อ้าปากกว้าง เริ่มร่ำไห้ให้ดูน่าสงสารจับใจ
“ก็ได้ ๆ อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้”
องค์ชายสี่รีบเข้าไปอุ้มน้องสาวขึ้นมาจากพื้นพลางลูบหัวปลอบนาง
“น้องหญิงอย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้”
เสี่ยวเป่าซึ่งไม่ได้ร้องไห้จริง ๆ ซบหัวบนไหล่พี่ชายอย่างรู้สึกผิดเพียงเล็กน้อย
“เอาล่ะ ให้เสี่ยวเป่าไปกับเราก็ได้ พวกเรามีกันตั้งมาก ไยจะไม่สามารถดูแลเสี่ยวเป่าได้”
ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว แต่จะหาข้ออ้างใดให้เสด็จพ่อยอมปล่อยพวกเขาออกจากวัง?
เสี่ยวเป่ายกมือเสนอความคิด “ไปหาพี่ใหญ่!”
หนานกงฉีซิวกำลังพักฟื้นตัว พวกเขาในฐานะพี่น้องอยากไปเยี่ยมพี่ชายที่ป่วย นี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด
การประชุมจึงยุติลง แต่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นอย่างราบรื่น เสี่ยวเป่ายังคงต้องออดอ้อนเสด็จพ่อ
“ให้เสี่ยวเป่าไป หากเสด็จพ่อจับได้ เสี่ยวเป่าจะถูกดุหรือไม่?”
องค์ชายสี่ยังลังเล
องค์ชายห้าเหล่มองพี่ชาย “ไม่เช่นนั้น ท่านจะเป็นคนไปออดอ้อนขออนุญาตเสด็จพ่อหรือไม่เล่า?”
สายตาหลายคู่กวาดมองร่างกายกำยำของพี่สี่ แล้วจินตนาการถึงภาพที่ชายร่างใหญ่ทำตัวเหมือนเด็กขี้อ้อน
อี๋~~~
พวกเขายังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับเสด็จพ่อ มีแต่จะถูกไล่ตะเพิดออกมาน่ะสิไม่ว่า!
เสี่ยวเป่าตบหน้าอกอย่างมั่นใจพลางให้คำมั่น “เสี่ยวเป่าเอง ๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเสี่ยวเป่า!”
เมื่อหนานกงสือเยวียนกลับมา พระธิดาตัวน้อยก็พาองค์ชายห้าคนที่นอกเหนือจากองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเข้ามาพบ
เขานั่งขมวดคิ้วมองพระโอรสโดยไม่พูดสักคำ เพื่อดูว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
“ท่านพ่อ พวกเราคิดถึงพี่ใหญ่ อนุญาตให้พวกเราไปหาพี่ใหญ่เถิดนะเพคะ~”
เสี่ยวเป่าดึงแขนของหนานกงสือเยวียนมากอดไว้ พร้อมถูไถออดอ้อนอย่างชำนาญ วันนี้นางใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มและหวานหยดย้อย รอยยิ้มสดใสเป็นพิเศษ กะพริบตาปริบ ๆ พยายามทำตัวน่ารักสุดความสามารถที่ตนมี
หนานกงสือเยวียนบีบจมูกกระจิริดของนาง “เพิ่งเกิดเรื่องก็อยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอกแล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าคิดถึงพี่ใหญ่”
หนานกงสือเยวียนหันไปถามบุตรชายทั้งหลายเสียงเข้ม “พูดความจริง”
บรรดาองค์ชายคุกเข่าลงพร้อมคายความจริงออกมาจนหมดเปลือก
“พวกเราคิดจะ… คิดจะเอากระสอบคลุมหัวคนจวนเซวียนผิงโหว แล้วทุบตีพวกเขา”
จู่ ๆ พวกเขาก็สารภาพออกมาโดยไม่รู้ตัว